“สอดแนมการเมือง”
โดย…ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
พุทธศาสนาสอนว่า..จะดับทุกข์ทั้งปวงได้อย่างแท้จริง ก็ต้องรู้ซึ้งถึงต้นเหตุและต้องแก้ที่ต้นเหตุแห่งทุกข์ให้ได้เสียก่อน..ทุกข์จึงจะมลายหายไป!
สงครามชายแดนไทย-เขมรที่สู้รบโรมรัน จนทหารและประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย ต้องบาดเจ็บล้มตายกันอยู่ในขณะนี้ เกิดและบานปลายเพราะคนไทยและคนเขมรชั่วๆเพียงไม่กี่คนเท่านั้นครับ
คนเขมร-ที่เป็นต้นเหตุสำคัญสงครามชายแดนไทย-เขมร ชื่อ “ฮุนเซน” นายกรัฐมนตรีของประเทศกัมพูชานั่นเอง
หากฮุนเซนผู้นำประเทศกัมพูชาเป็นคนดี ให้เกียรติ์และไม่เอาเปรียบประเทศเพื่อนบ้าน ที่สำคัญไม่คิดจะยึดครองแผ่นดินไทย 4.6 ตร.กม.รอบปราสาทพระวิหาร และที่ดินบนบกตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชาอีก 1.5 ล้านไร่ อ้อ..รวมทั้งที่ดินใต้ท้องทะเลที่มีน้ำมัน มูลค่ากว่า 5.5 ล้านๆบาท ปัญหาร้ายๆ ทั้งปวงของชน 2 ชาติก็ไม่เกิดขึ้น
แต่ฮุนเซนนั้นเป็นคนละโมบโลภมาก ทั้งเงินทองและอำนาจทางการเมือง แถมยังเจ้าเล่ห์แสนกลยิ่งกว่า“สุนัขจิ้งจอก” ที่สำคัญเห็นแก่ตัว-ดุร้าย-เหี้ยมโหด-สามานย์สุดจะบรรยาย
ดังนั้น นอกจากผลประโยชน์มากมาย และน้ำมันมูลค่ากว่า 5.5 ล้านล้านบาทแล้ว ฮุนเซนยังเกิดกระสันต์แรงกล้าจนหักห้ามใจไม่อยู่ จึงอยากจะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศเขมรอีกครา
นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ “ฮุนเซน” กลายเป็นต้นตอ หรือต้นเหตุของปัญหาเลวร้ายทั้งมวล ที่ทำให้เกิดขบวนการขายชาติ ที่เป็นทั้งคนไทยและคนเขมรในวันนี้ไงล่ะครับ
หลังสงครามกลางเมืองในประเทศเขมรยุติลง ในปี 2534 ฮุนเซนก็เถลิงอำนาจทางการเมืองอย่างเบ็ดเสร็จต่อเนื่อง “หน้าเหลี่ยม”เป็นหนึ่งในนักลงทุนไทย ที่มีความขัดแย้งกับรัฐบาลฮุนเซน จนถึงขั้นว่าจ้างคนเขมรและคนไทย ก่อการรัฐประหารหวังล้มรัฐบาลฮุนเซน แต่พ่ายแพ้อย่างหมดรูป
คนไทย-ที่เป็นต้นเหตุของปัญหาเลวร้ายไทย-กัมพูชา ก็คือ “หน้าสเหลี่ยม” ที่ได้เป็นเสนาบดีกระทรวงต่างประเทศ ยุครัฐบาล ชวน หลีกภัย ครองอำนาจในปี 2535-2538 “หน้เหลี่ยม”ได้สมานแผลใจกับฮุนเซน ด้วยการเอาอกเอาใจฮุนเซนอย่างเต็มที่ จนมีการตกลงกันอย่างลับๆในการแสวงหา-แบ่งปันผลประโยชน์ ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในหลายๆ เรื่องโดยเฉพาะผลประโยชน์น้ำมันในทะเล
เมื่อการเจาจรเรื่องผลประโยชน์ในที่ลับลงตัว ก็มีการจัดวางตัวข้าราชการบางคนบางกลุ่มในกระทรวงต่างประเทศ ซึ่งพร้อมจะทำงานขายชาติชิ้นนี้ โดย“หน้าเหลี่ยม”ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ในทุกด้าน
งานลับขายชาติข้ามชาติครั้งนี้..วางแผนทำกันอย่างต่อเนื่อง แม้น“หน้าเหลี่ยม”จะพ้นจากตำแหน่งเสนาบดีในภายหลัง เพื่อสนองความต้องการทั้งของ“หน้าเหลี่ยม” และฮุนเซนให้สำเร็จลุล่วงอย่างเป็นระบบ
การจะยกหรือยึดดินแดนของประเทศใดก็ตาม หากทำไม่แนบเนียน..คนทำจะถูกประณามว่าขายชาติ-ขายแผ่นดิน แต่ด้วยสมองของคนกระทรวงต่างประเทศบางคน ย่อมรู้ว่า..เบื้องต้น..ต้องทำให้ดินแดนที่เคยเป็นของประเทศหนึ่งมาอย่างยาวนาน กลับกลายเป็นดินแดนที่มีเขตแดนไม่ชัดเจน-คลุมเคลือ-ทับซ้อนเสียก่อน!
อาวุธหรือข้ออ้างทางเทคนิคอันซับซ้อน และยากต่อการที่ใครหน้าไหนจะมาจับได้ไล่ทันดีที่สุด ก็คือ อาศัยประเด็นที่ศาลโลกตัดสินให้ไทย ต้องยกตัวปราสาทพระวิหารให้กัมพูชา ในปี 2505 เพราะไทยปิดปากไม่ได้คัดค้านแผนที่ฯมาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสน แต่ศาลโลกก็ไม่ได้รับรองแผนที่ฯดังกล่าวในการตัดสินครั้งนั้น
แต่..กลุ่มคนกระทรวงต่างประเทศ ก็ปลุก“ผีแผนที่ฯ 1 ต่อ 2 แสน” แล้วสร้าง“ผีศาลโลก”และ“ผียูเอ็น” ให้รัฐบาล “ชวน2” ซึ่งบริหารชาติ ในช่วงปี 2540-2543 ที่ขาดความรู้ให้ขลาดเขลาหวาดกลัวกันจนตัวสั่น
โดยอ้างว่า..รัฐบาลเขมรขู่จะใช้แผนที่ฯ 1 ต่อ 2 แสน ที่ลากเส้นกินดินแดนของไทยอย่างมากมาย ไปร้องต่อศาลโลกและยูเอ็น เพื่อทวงดินแดนคืนจากประเทศไทย หากเขมรทำเช่นนั้น...ไทยจะต้องเสียดินแดนให้เขมรอีกครั้งอย่างแน่นอน
กลุ่มคนกระทรวงต่างประเทศเสนอให้รัฐบาล“ชวน2” ใช้วิธียับยั้งรัฐบาลกัมพูชาไม่ให้ นำเรื่องดังกล่าวไปขึ้นศาลโลกและยูเอ็น ด้วยการสร้างเวทีเจรจาขึ้น และตั้งคณะกรรมการเจบีซี มาปักปันเขตแดนไทย-กัมพูชากันใหม่
“ชวน 2”กับ“ฮุนเซน”จึงเซ็นเอกสาร MOU 2543 โดยฝ่ายไทยได้ยอมรับแผนที่ฝรั่งเศสมาตราส่วน1ต่อ2 แสน ที่รัฐบาลกัมพูชาเรียกร้องต้องการ
แผนเบื้องต้นสำเร็จแล้ว..เพราะแผ่นดินหลังสันปันน้ำ ที่เคยเป็นของไทยประเทศเดียว แต่หลังเซ็น MOU2543 ซึ่งรับรองแผนที่ฯ1ต่อ2 แสน ได้ทำให้แผ่นดินรอบปราสาทพระวิหาร ไม่ชัดเจน-คลุมเคลือ-เบลอจนไม่รู้ว่า เป็นดินแดนของประเทศไทยหรือของกัมพูชากันแน่?
แต่“ฮุนเซน”กลับตาดีเห็นชัดจนถึงกับประกาศต่อชาวโลกว่า เส้นแบ่งเขตแดนแผนที่ฯ 1ต่อ 2 แสนลากไปถึงตรงไหน ตรงนั้นล้วนเป็นดินแดนของประเทศกัมพูชาทั้งสิ้น ดังนั้น ที่ดิน 4.6 ตร.กม.รอบตัวปราสาทพระวิหาร จึงเป็นของประเทศกัมพูชาแต่เพียงผู้เดียวด้วยประการฉะนี้แล
ห้วงรัฐบาล“ชวน 2”นั่นแหละ ที่“ฮุนเซน”สั่งให้ทัพเขมรเข้ายึดดินแดนของประเทศไทยด้วยการยึดยอดภูสำคัญทางยุทธศาสตร์ ตั้งหมู่บ้าน-ตลาด-วัด-สร้างถนน-ขนอาวุธยุทโธปกรณ์ ฯลฯ ละเมิด MOU2543 กันอย่างสนุกสนาน โดยรัฐบาลไทยไม่กล้าหือ-ไม่กล้าอือใดๆ เลย แถมยังมีการสั่งให้ทหารไทยใจกล้า ที่รักชาติรักอธิปไตยให้ทำหน้าที่แค่ยืนดูทำตาปริบๆ ห้ามปะทะ-ผลักดัน-กระทบกระทั่งกับทหารเขมร เพราะจะทำให้เสียบรรยากาศแห่งมิตรภาพที่ดีของไทย-กัมพูชาครับ
เวลาเปลี่ยน..แต่ฮุนเซนยังครองกัมพูชาเหมือนเดิม ทว่ารัฐบาล“ชวน2”เปลี่ยนไป...รัฐบาล “หน้าเหลี่ยม”เพื่อนซี้ของฮุนเซน ได้ขึ้นครองอำนาจนับแต่ปี 2544- 2549 ซึ่งทำให้กระบวนการขายชาติ และแสวงหาผลประโยชน์ของนักการเมืองไทยกับกัมพูชาก้าวกระโดด
รัฐบาล“หน้าเหลี่ยม”ส่งมือขวาเข้าคุมกระทรวงพลังงาน ทำบันทึกความเข้าใจเบื้องต้น เกี่ยวกับเขตแดนทางทะเลด้วยการเซ็น MOU2544 หลังจาก“หน้าเหลี่ยม”เข้าเป็นรัฐบาลเพียงไม่กี่เดือน
แหม..ต้องร้อนรนด่วนจี๋เป็นพิเศษสิ เพราะน้ำมันมูลค่ากว่า5.5 ล้านล้านบาท ใต้ท้องทะเลไทย-กัมพูชา ทำให้“หน้าเหลี่ยม”กับ“ฮุนเซน”เก็บอาการละโมบไม่อยู่ไงล่ะครับ
ทว่า..ฮุนเซน-ใกล้จะหมดวาระในการเป็นนายกฯ เขมร ดังนั้น การวางแผนให้ฮุนเซนชนะเลือกตั้ง เพื่อกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีเขมรอีกครั้ง จึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับฮุนเซน “หน้าเหลี่ยม”จึงให้การช่วยเหลือทั้งเงินทอง และยกดินแดนไทยให้เขมรฮุนเซนไปหาเสียง
ฮุนเซนจึงเตรียมหาเสียงชูประเด็น จะต่อสู้เอาแผ่นดินเขาพระวิหารคืนจากไทย ด้วยการนำตัวปราสาทพระวิหารและแผ่นดิน 4.6 ตร.กม.ของไทย ไปขอขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก!
แต่เวรกรรมตามทันในชาตินี้ เพราะรัฐบาล“หน้าเหลี่ยม”ที่โกงกินชาติบ้านเมืองอย่างมโหฬาร ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเป็นขบวนการ สมคบกับต่างชาติเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ให้ตนและพวกพ้อง ด้วยการแอบยกดินแดนไทยให้เขมร ฯลฯ
รัฐบาล“หน้าเหลี่ยม”ก็โดนพันธมิตรฯ ออกมาชุมนุมขับไล่กันอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะโดนคณะนายทหารที่นำโดย พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ก่อการรัฐประหารจนรัฐบาล“หน้าเหลี่ยม”ล้มครืนลง ในวันที่ 19 กันยายน 2549!
รัฐบาล“หน้าเหลี่ยม”ที่ชาตะในปี 2544 แต่ต้องมรณะก่อนวัยอันสมควร ในปี 2549
แต่..การขายชาติยกแผ่นดินไทยให้เขมรฮุนเซน ของกลุ่มคนไทยที่ละโมบโลภมาก ยังไม่หยุดและไม่เคยหยุด..ยังรุดหน้าทำกันต่ออย่างลับๆ!!!