“สอดแนมการเมือง”
โดย…ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาในขณะนี้ เต็มไปด้วยคำถามและคำตอบ ที่มีทั้งบิดเบือน-โกหก-ไม่จริงบ้าง-จริงบ้าง ฯลฯ
แต่ของจริงที่หลอกผู้คนไม่ได้แน่ๆ ก็คือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กับ ฮุนเซน แตกต่างกันทั้งชาติตระกูล การศึกษา คนหนึ่งนุ่มนิ่มทำทีเป็นสุภาพบุรุษ แต่อีกคนโผงผางและเถื่อนแบบมหาโจร ทว่า..ทั้งสองคนเหมือนกันตรงที่ มีตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีเหมือนกันครับ
แต่..อภิสิทธิ์กับฮุนเซนบริหารชาติบ้านเมืองแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน!
อภิสิทธิ์-เป็นนายกฯของประเทศไทย ที่บริหารชาติอย่างอ่อนแอ-หน่อมแน้ม-เหยาะแหยะ ทว่า..เนื่องจากเป็นคนพูดเก่ง..เก่งจนเข้าขั้น“กะล่อนทอง” จึงใช้คำพูดที่มีทั้งจริงบ้าง-ไม่จริงบ้าง-โกหกแบบเนียนบ้าง-ไม่เนียนบ้าง มาแก้ปัญหาบ้านเมืองแบบรายวัน
อภิสิทธิ์..เลยกลายเป็นคนชอบพูด-มากกว่าชอบทำ จนเข้าตำราใครก็ไม่รู้ที่ว่า “คนดีชอบแก้ไข-คนจัญไรชอบแก้ตัว-คนชั่วชอบเอาตัวรอด-ทอดทิ้งชาติและประชาชน”ไงล่ะครับ
ฮุนเซน-เป็นนายกฯของประเทศกัมพูชา ผ่านชีวิตสู้รบหรือทำสงครามมาอย่างโชกโชน การศึกษาในระบบน้อย แต่ในด้านกร้านโลกและเจ้าเล่ห์แสนกลแล้ว อภิสิทธิ์จะกลายเป็น“เด็กดูดขวดนม”ไปเลยครับ
ดังนั้น เมื่อดูผลลัพภ์การบริหารชาติบ้านเมือง ของนายกรัฐมนตรี 2 คนนี้แล้ว จะแตกต่างกันราวกับฟ้ากับดิน..หรือ..หน้ามือเป็นหลังตีน!
ฮุนเซน-รู้ว่านักการเมืองไทยส่วนใหญ่ ล้วนซื้อเสียงจากการเลือกตั้งเข้าไปเป็นรัฐบาล และยังรู้อีกว่า บรรดาพวกนักการเมืองสายพันธุ์ชั่วพวกนี้ จะเข้าสภาฯและเป็นรัฐบาลอยู่ในทำเนียบฯ เพื่อถอนทุนบวกกำไรจากการโกงกินกันชนิดไม่อายฟ้าดิน
ฮุนเซน-จอมเจ้าเล่ห์ยิ่งกว่า“หมาจิ้งจอก” จึงเสนอผลประโยชน์จากน้ำมัน ที่ทับซ้อนอยู่ในแผ่นดินใต้ทะเลไทย-เขมร มูลค่ากว่า 5.5 ล้านล้านบาท ให้“ตัดเค้ก”แบ่งผลประโยชน์ระหว่างนักการเมืองทั้งเขมรและไทย โดยฝ่ายนักการเมืองไทยจะต้องเอื้อประโยชน์ ให้ฮุนเซนนำเอาดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหารไปขึ้นทะเบียนมรดกโลก
ต้นเหตุ-ปัญหาไทย-กัมพูชาจึงก่อเกิดในยุครัฐบาล“ชวน1”และ“ชวน 2”
รัฐบาล“ชวน 1”เริ่มในวันที่ 23 กันยายน 2535 ถึงวันที่ 13 กรกฏาคม 2538 และรัฐบาล“ชวน 2” เริ่มเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2540 ถึง วันที่ 17พฤศจิกายน 2543
รัฐบาล“ชวน 1” มี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และหมอกระแส ชนะวงศ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ ส่วนรัฐบาล“ชวน 2”นั้น ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการและช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศ
ยุค น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นรมว.กระทรวงการต่างประเทศนั้น ประเทศไทยไม่มีอะไรเสียหายในศักดิ์ศรีและผลประโยชน์ชาติ ประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย...โดยเฉพาะกัมพูชา ไม่กล้าล่วงละเมิดดินแดนไทยเลย
พอมายุค“คนหน้าเหลี่ยม”เป็นรมว.กระทรวงต่างประเทศ “คนหน้าเหลี่ยม”ได้ใช้ข้าราชการกระทรวงนี้บางคน ไปแสวงหาผลประโยชน์และรับใช้การงานของตนเอง โดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของชาติเท่าที่ควร
โดยเฉพาะการเอาใจเขมรฮุนเซนเป็นพิเศษ เพราะ“คนหน้าเหลี่ยม”เคยจ้างคนเขมรและไทย ไปก่อการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลฮุนเซน..แต่แพ้ จนลูกน้องมือขวาที่เป็นหมอ กับนายตำรวจใหญ่ไทยบางคนที่ร่วมทำงานใหญ่ครั้งนั้น ต้องหนีหัวซุกหัวซุนจากการไล่ล่าคร่าชีวิต ของเขมรฮุนเซนกลับประเทศไทยอย่างทุลักทุเล
พอมาถึงรัฐบาล“ชวน 2” ข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ ก็เสนอให้รัฐบาล“ชวน 2 เซ็น MOU2543 ยอมรับในแผนที่ฯมาตราส่วน1 ต่อ2 แสน โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัฒน์ เป็นผู้ลงนาม
MOU2543 ได้ทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบเขมรทันที เพราะดินแดนหลังแนวสันปันน้ำและหลักปักปันเขตแดน ที่ทำกันมาตั้งแต่ ค.ศ.1904 และ1907หรือเมื่อ103 ปีก่อน ที่เป็นแผ่นดินของประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว โดยฮุนเซนไม่เคยแอบอ้างได้ว่า..เป็นดินแดนของกัมพูชา
ทว่า..แผนที่ฯมาตราส่วน1ต่อ2แสน ที่ลากเส้นกินลึกเข้ามาในดินแดนไทย ได้กลายเป็นผืนดินอ้างสิทธิ์ทับซ้อนระหว่างไทย-กัมพูชาทันที จนเป็นต้นเหตุความขัดแย้งตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยเฉพาะพื้นที่ 4.6 ตร.กม.รอบตัวปราสาทพระวิหาร
เพราะขณะที่อภิสิทธิ์ผู้หน่อมแน้มอ้างว่า ประเทศไทยยังไม่เสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวให้กัมพูชา แต่ฮุนเซนกลับประกาศว่า..ดินแดนในแผนที่ฯ มาตราส่วน 1 ต่อ 2 แสนนั้น เป็นดินแดนของกัมพูชาแต่เพียงผู้เดียว และยังอ้างว่า..ประเทศไทยชอบส่งทหารมารุกรานยึดครองอยู่เสมอ
อีกทั้งในทางปฏิบัติที่เป็นจริง ฮุนเซนยังมีกำลังทหารเขมร ยึดยอดภูเขาบางลูก ตั้งหมู่บ้าน-ตลาด-วัดบนผืนแผ่นดินไทย ตั้งแต่สมัยรัฐบาล“ชวน2”หรือนานนับ10 ปีแล้ว
เท่านั้นไม่พอ..ฮุนเซนยังนำเอาตัวปราสาทพระวิหาร และพื้นที่ 4.6 ตร.กม.ที่เป็นของไทย ไปขอขึ้นทะเบียนมรดกโลกแต่เพียงผู้เดียว โดยรัฐบาลนอมีนีของทักษิณ-สมัคร สุนทรเวช ได้ส่งนายนพดล ปัทมะ รมว.กระทรวงต่างประเทศ ไปเซ็นยินยอมให้ประเทศกัมพูชา ให้ขึ้นทะเบียนมรดกโลกถึงประเทศฝรั่งเศสอีกด้วย
เขมรหยามศักดิ์ศรีและล่วงล้ำอธิปไตยไทย ผู้คนทั้งโลกเห็นกันอยู่ตำตาตำใจ ยกเว้นนายกฯอภิสิทธิ์ที่ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่กล้าหือ-กล้าอือกับเขมรฮุนเซนแล้ว รัฐบาลอภิสิทธิ์ผู้อ่อนแอยังแอบถอนทหารไทย ออกจากพื้นที่ 4.6 ตร.กม. ที่ฮุนเซนอ้างเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวอีกด้วย
เขมรฮุนเซนเลยหยามน้ำหน้าชาติไทยอีกครั้ง ด้วยการขึ้นป้าย HERE IS CAMBODIA และโกหกหน้าตาเฉยว่า..ทหารไทยเคยบุกมายึดครองดินแดนเขมรในจุดนี้ เท่านั้นไม่พอ..เขมรฮุนเซนยังปักธงชาติเขมร ประกาศความเป็นเจ้าของแผ่นดิน 4.6 ตร.กม. ขึ้นที่วัดแก้วสิกขาคีรีศวรอีก 2 จุด
ทั้งยังจับคนไทย 7คนบนผืนแผ่นดินไทยไปขึ้นศาลเขมร ศาลเขมรได้บีบบังคับให้คนไทย 5 คน ทำตามความต้องการของเขมร ก่อนจะให้ประกันตัวชั่วคราว5 คน ส่วนนายวีระ สมความคิด กับ นางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ที่โดนยัดข้อหาจารกรรม ศาลเขมรได้ตัดสินให้ติดคุก 8 ปีและ 6 ปีตามลำดับ
กรณีทหารเขมรจับคนไทยทั้ง 7 คนนั้น ทำให้คนไทยได้เห็นพฤติกรรมอ่อนแอของรัฐบาลอภิสิทธิ์อย่างชัดเจน เพราะอภิสิทธิ์มีแต่กระทำตัวหงอและขลาดกลัวไม่กล้าตอบโต้หรือกดดันหรือต่อรองกับรัฐบาลเขมรฮุนเซนเลย แถมยังทำตัวเป็นพยานปากเอกให้กับเขมรฮุนเซน ด้วยการพูดให้ร้ายและพิพากษาแทนศาลเขมรว่า คนไทยทั้งหมดได้รุกล้ำดินแดนของกัมพูชาอีกด้วย
การบริหารชาติบ้านเมืองสไตล์-อภิสิทธิ์ ที่เต็มไปด้วยความอ่อนแอ-ขลาดกลัว-ไม่มีศักดิ์ศรีเพียงเพราะหวังจะได้เป็นนายกฯอีกครั้งหนึ่ง ถึงกับยอมจำนนต่อคนชั่วทั้งในประเทศ และนอกประเทศได้ขนาดนี้ จนทำให้“คอมวย”บวก“คอการเมือง”รู้ตัวตนอภิสิทธิ์ว่า
รัฐบาลอภิสิทธิ์-ที่มีทุกอย่างเหนือกว่า-รัฐบาลฮุนเซน แต่รัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่เคยใช้ฝีไม้ลายมือที่เหนือชั้นกว่า ออกหมัดแย็ปหรือชกคู่ต่อสู้เลย มีแต่ปล่อยให้เขมรฮุนเซนชกซ้ายชกขวาอยู่ข้างเดียว ชนิดขัดสายตาคนดูทั้งสนามแบบนี้
ภาษาวงการมวย-เขาจะตะโกนบอกกันแล้วว่า เฮ้ย..นั่นมัน“มวยล้มต้มคนดู”นี่หว่า เผลอๆอาจมีรองเท้าและขวดลอยลงกะบาลนักมวยด้วยซ้ำไป และหากมีกรรมการบนเวทีระหว่างมวยคู่อภิสิทธิ์กับฮุนเซนแล้วล่ะก็
อภิสิทธิ์-โดนไล่ลงจากเวทีไปนานแล้ว เพราะชกไม่สมศักดิ์ศรี หรือไม่ก็ถูกกรรมการจับแพ้ฟาล์ว..โทษฐานล้มมวยไงล่ะครับ
นักมวย-ไม่เคย“มวยล้มต้นคนดู”ฟรี ทุกครั้งต้องมีการรับเงินใต้โต๊ะ100% ครับ!