xs
xsm
sm
md
lg

พธม.ย้ำเจรจา UNSC ไทยไม่ใช่จำเลย สอนเชิง “มาร์ค” ต้องรู้ทันเล่ห์ “ฮุนเซน”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
โฆษกพันธมิตรฯ หยิบยกเอกสารเอ็นจีโอ เตือนสติ รบ.ให้รู้เท่าทันเหลี่ยม “ฮุนเซน” ที่มุ่งขายแผ่นดินล่อผลประโยชน์นานาชาติ หวังเข้าข้างในเวทีโลก ชี้ ไทยไป UNSC ต้องเป็นโจทก์ ไม่ใช่จำเลย ปัดดีเบต “มาร์ค” แต่พร้อมออกจอให้ความรู้ ปชช.จี้ รบ.เอาเวลาทวงคืนดินแดน พร้อมระบุ “สมยศ” ไขก๊อกเหตุถอดใจรู้ตัวสู้ความจริงไม่ได้

วันนี้ (14 ก.พ.) ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ได้แถลงข่าวประจำวันกับสื่อมวลชน โดย นายปานเทพ ได้นำเอกสารเผยแพร่ชื่อ “Country for Sale” ขององค์กรโกล์บอล วิทเนส (Global Witness) ซึ่งเป็นหน่วยงานไม่แสวงหากำไร (NGOs) ที่ทำงานวิจัยไปทั่วโลกมาแสดง พร้อมกล่าวว่า เอกสารชิ้นนี้เป็นการแสดงให้เห็นถึงวิธีการทำงานของนายฮุนเซน ในฐานะนายกฯกัมพูชา ที่ทำให้ประชาชนยากจน และผลประโยชน์ตกอยู่กับครอบครัวนายฮุนเซน และพวกพ้องเท่านั้น เสมือนเป็นการขายชาติ มีการขายทั้งดินแดน ทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้ น้ำมัน ไม่เว้นแม้แต่สินทรัพย์ทางวัฒนธรรม โดยการขายเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทที่มีนายฮุนเซน และนายซกอาน เป็นผู้ถือหุ้น โดยมีภาพที่สะท้อนให้เห็นว่า ประเทศกัมพูชาขายทุกอย่าง เพื่อประโยชน์เฉพาะนักการเมืองเท่านั้น ที่สำคัญ กัมพูชยังใช้วิธีการนี้เป็นแรงดึงดูดให้นานาชาติเข้าข้างตัวเอง เพื่อแลกเป็นผลประโยชน์ของพวกพ้องตัวเอง ซึ่งฝ่ายไทยต้องรู้เท่าทันในเกมเหล่านี้ของกัมพูชา ที่ใช้ผลประโยชน์ต่อรองให้ได้มาซึ่งอำนาจต่อรอง ยกตัวอย่าง การที่ยูเนสโกส่งผู้แทนซึ่งเป็นคนที่รู้เห็นในการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก มาเป็นคนกลางในการเจรจา เห็นได้ชัดเจนว่า เป็นกระบวนการหนึ่งที่หวังแสวงหาประโยชน์จากกัมพูชาทั้งสิ้น

ในส่วนของการต่อสู้ในเวที คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (UNSC) นายปานเทพ กล่าวว่า แม้ตนจะมองว่าฝ่ายไทยได้เปรียบในหลายประเด็น ทั้งการที่กัมพูชาโจมตีไทยก่อน โดยมีเป้าหมายที่ราษฎรไทยชัดเจน อีกทั้งยังมีการใช้อาวุธเคมี และใช้พื้นที่วัดและปราสาทพระวิหารในการซ่องสุมอาวุธสงครามตามภาพจากสื่อต่างประเทศ แต่อาจจะไม่เพียงพอแล้ว โดยไทยต้องยืนหยัด ว่า กัมพูชารุกราน และยิงใส่ราษฎรไทยในแผ่นดินไทย แต่ถึงเวลานี้รัฐบาลก็ยังไม่ใช้ประเด็นนี้ในการต่อสู้แต่อย่างใด กลายเป็นการถียงกันไปมาว่า ใครยิงใครก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่ฝ่ายไทยไปร่วมประชุม UNSC ในฐานะฝ่ายจำเลย แทนที่จะเป็นโจทก์ฟ้องกัมพูชา ทำให้ไทยอยู่ในฐานะฝ่ายตั้งรับและเสียเปรียบ

ส่วนกรณีการเจรจาที่สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เสนอเป็นตัวกลางนั้น นายปานเทพ กล่าวว่า ตนย้ำอีกครั้งว่า ขณะนี้เลยขั้นตอนการเจรจาแล้ว อยากให้รัฐบาลนำเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า ยิ่งเมื่อพันธมิตรฯยื่นขอเสนอ 3 ข้อ และมีการยกระดับให้นายกฯรับผิดชอบด้วยการลาออกจากตำแหน่ง เมื่อเป็นเช่นนี้การเผชิญหน้ากันในเวทีสาธารณะไม่เกิดประโยชน์อะไร โดยหากสมาคมนักข่าวฯ มีเจตนาดี ตนจึงขอเสนอให้สมาคมนักข่าวฯนำเนื้อหาสาระการอภิปรายบนเวทีพันธมิตรฯ โดยเฉพาะในส่วนด้านวิชาการที่ไม่มีโอกาสถูกถ่ายทอดทางสื่อเลย จึงอยากให้สมาคมนักข่าวฯไปเผยแพร่ให้ประชาชนได้รับทราบถึงข้อเท็จจริงเพื่อให้ทราบว่าภาคประชาชนอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่เห็นด้วยกับภาครัฐได้นำเสนอข้อมูลที่แตกต่าง เพื่อให้ประชาชนเปรียบเทียบข้อมูล หรือหากสมาคมนักข่าวฯอยากจัดรายการในลักษณะนำเสนอข้อมูลทั้งสองฝ่าย เพื่อเป็นประโยชน์กับประชาชน พันธมิตรฯยินดีให้การสนับสนุน แต่ไม่ใช่ลักษณะการดีเบต

“ผมเสนอให้มีการกำหนดหัวข้อและคำถามชัดเจน แล้วให้เวลาฝ่ายรัฐบาลชี้แจงนำเสนอข้อมูลอย่างเต็มที่ โดยไม่มีใครโต้แย้ง หลังจากนั้น อีกวันสมาคมนักข่าวฯอาจจะจัดอีกรายการหนึ่งโดยให้เวลากับภาคประชาชนนำเสนอข้อมูลในหัวข้อเดียวกันในเวลาเท่ากัน โดยพันธมิตรฯจะจัดทีมงานไปนำเสนอข้อมูล หากทำได้เช่นนี้เชื่อว่าภาคประชาชนจะได้ประโยชน์มากที่สุด” นายปานเทพ กล่าว

โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวต่อว่า การดีเบตนั้นเลยเวลาไปแล้ว โดยเฉพาะปัญหาคู่ขัดแย้งไม่ใช่พันธมิตรฯกับรัฐบาล แต่ปัญหาชายแดนเป็นไทยกับกัมพูชา รัฐบาลควรใช้เวลานี้ในการแก้ไขปัญให้ตรงจุดดีกว่า โดยเฉพาะการทวงดินแดนคืนจากกัมพูชาอย่างน้อย 3 จุด ได้แก่ พื้นที่ภูมะเขือ เขาพระวิหาร และที่บ้านหนองจาน จ.สระแก้ว ที่บัดนี้ได้กลายเป็นฐานทัพที่กัมพูชาใช้ทำร้ายราษฎรไทย รัฐบาลควรจัดการหากไม่ต้องการให้เกิดเหตุปะทะขึ้นอีก

ส่วนกรณี พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธ์ม่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร.ถอนตัวออกจากหัวหน้าพนักงานสอบสวนในคดีที่กล่าวหาแกนนำพันธมิตรฯเป็นผ็ก่อการร้ายยึดสนามบิน นายปานเทพ กล่าวว่า การถอนตัวครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ก่อนหน้านี้ มีการถอนตัวไปแล้ว 1 คน คือ พล.ต.ท.วุฒิ พัวเวส ผช.ผบ.ตร.ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ทั้ง 2 คนเล็งเห็นถึงข้อเท็จจริงที่พันธมิตรฯไม่ได้เข้าข่ายผู้ก่อการร้าย อีกทั้งเมื่อมีการต่อสู้ในชั้นสอบสวนยิ่งพิสูจน์ได้ว่าการปิดสนามบินไม่ได้เกิดจากการชุมนุมของพันธมิตรฯ แต่เป็นการตัดสินใจของ ผอ.สนามบินเอง ทำให้ พล.ต.ท.สมยศ ทราบในประเด็นนี้ดี และหากดำเนินการต่อก็จะต้องถูกฟ้องกลับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 ในการกล่าวหาที่เป็นเท็จ ที่จะมีโทษเท่ากับข้อกล่าวหาต่อพันธมิตรฯในฐานะผู้ก่อการร้าย ซึ่งทำให้ พล.ต.ท.สมยศ อาจจะต้องถูกลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ซึ่งที่ผ่านมา น่าสังเกตว่า พล.ต.ท.สมยศ ในฐานะพนักงานสอบสวนนั้น พยายามเลื่อนการสั่งฟ้องมาโดยตลอด ยิ่งเมื่อ พล.ต.จำลอง ได้ฟ้องร้องไปทางแพ่ง และอาจมีผู้เสียหายคนอื่นฟ้องร้องอีก ก็อาจเป็นผลให้ พล.ต.ท.สมยศ ที่ได้รับคำสั่งจากฝ่ายการเมืองถอดใจ และถอนตัวออกไป รวมทั้งกรณีที่มีกระแสข่าวที่ตำรวจจะยื่นฟ้องต่อศาลแพ่ง เพื่อเอาผิดการชุมนุมของพันธมิตรฯในครั้งนี้ ซึ่งขณะนี้เท่าที่ทราบคงไม่มีการยื่นฟ้องแล้ว ทำให้เห็นว่าตำรวจทราบดีว่าการชุมนุมของพันธมิตรฯไม่ได้ทำให้เกิดความเสียหาย

ผู้สื่อข่าวถามถึงการยื่นฟ้องต่อศาลปกครองในการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายของรัฐบาล นายปานเทพ กล่าวว่า จากการศึกษาข้อกฎหมาย ทำให้ทราบว่าการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงเพื่อป้องกันการชุมนุมนั้น อาจทำได้ แต่หากประกาศหลังจากมีการชุมนุมแล้ว อาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญ โดยเฉพาะในมาตรา 7(4) ใน พ.ร.บ.ความมั่นคง ได้ระบุถึงการส่งเสริมให้ประชาชนปกป้องอธิปไตยของชาติ ดังนั้น การที่พันธมิตรฯมาทำหน้าที่โดยตรง การประกาศกฎหมายนี้จึงขัดทั้งตัวบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ความมั่นคง เอง และขัดรัฐธรรมนูญด้วย ซึ่งหากมีการออกหมายจับก็จะมีการฟ้องร้องกลับแน่นอน โดยเดิมทีภาคประชาชนที่มาชุมนุมมีเจตนารมณ์ในการอารยะขัดขืน เพื่อกดดันให้รัฐบาลทำหน้าที่ปกป้องดินแดนอธิปไตยของชาติ เต็มที่ก็เพียงผิด พ.ร.บ.จราจร เท่านั้น ซึ่งในการยื่นคำร้องต่อศาลปกครองต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ โดยต้องมีผู้เสียหายเกิดขึ้นก่อน จึงต้องรอดูมาตรการต่างๆ จากภาครัฐ หากมีความเสียหายก็จะฟ้องทันที
กำลังโหลดความคิดเห็น