“สนธิ” ซัด รบ.อภิสิทธิ์ใช้วิธีต่ำช้า กุข่าวรับเงิน “แม้ว” หวังทำลายการเคลื่อนไหวพันธมิตรฯ เย้ยเด็กประชาธิปัตย์โกหกไม่เนียน อ้างเที่ยวบินผิดสาย ซ้ำคูเวตไม่มีเที่ยวบินตรงฮ่องกง แถมอ้างเลขประจำตัว ตม.ปลอม หวังใส่ร้าย จวกเครือเนชั่นปกป้องรัฐ หวังผลประโยชน์สัมปทานเวลา สุดผิดหวัง “เจิมศักดิ์” เอาข่าวเท็จไปพูดต่อ ทั้งที่เคยเป็นพันธมิตรฯ กัน
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “นายสนธิ ลิ้มทองกุล”
เวลา 20.45 น. วันที่ 8 ก.พ. นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้ขึ้นปราศรัยที่เวทีสะพานมัฆวานฯ ระหว่างการชุมนุม “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” โดยได้กล่าวถึงการเสนอข่าวของหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุกิจ ที่อ้างว่า “มิสเตอร์ เอส.” ซึ่งหมายถึงตัวเขาเดินทางไปรับเงินจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ประเทศคูเวต เพื่อนำมาใช้เคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าเป็นวิธีการของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ที่จะทำลายการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ เหมือนกับรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณในอดีตที่เคยทำลายชื่อเสียงของตนตั้งแต่จัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ด้วยการทำซีดีและหนังสือพิมพ์ออกมาแจก ซึ่งตนก็เฉย ถือว่าการศึกสงคราม หรือการสาดน้ำใส่กันก็มีเปียกกันบ้าง แต่นึกไม่ถึงว่ารัฐบาลหน้าขาวๆ แบบนี้จะใช้ความเลวทรามต่ำช้าทำแบบทักษิณมาทำลายชื่อเสียงคนอื่น ในสมัยรัฐบาลทักษิณมีการจัดทีมมาด่าตนในเว็บไซต์ ทุกวันนี้ก็มีการจัดทีมงานมาปกป้องนายอภิสิทธิ์ในเว็บไซต์เช่นกัน
นายสนธิกล่าวว่า วันนี้จำเป็นต้องพูดถึงหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ที่อ้างรายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลว่ามีเอกสารที่แสดงถึงการเชื่อมโยงการยกระดับการชุมนุมของพันธมิตรฯ กับแกนนำบางคน โดยอ้างถึง “มิสเตอร์เอส” ที่เป็นระดับแกนนำพันธมิตรฯ เดินทางไปฮ่องกงเมื่อวันที่ 22 ม.ค.2554 ด้วยเที่ยวบิน CX0702 พร้อมๆ กับ “นาย ช. นามสกุล ส.” ซึ่งหมายถึงนายชานนท์ สุวสิน คนสนิท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากนั้นทั้งคู่เดินทางออกจากฮ่องกงไปคูเวต และอ้างว่าเป็นเรื่องบังเอิญที่อดีตนายกฯ ผู้นั้นกำลังพำนักอยู่ที่คูเวตพอดี จากนั้นทั้งมิสเตอร์เอสได้เดินทางกลับประเทศไทยในวันที่ 24 ม.ค.พร้อมกัน โดยมิสเตอร์เอสกลับจากคูเวตด้วยเที่ยวบิน KU 0411 ขณะที่ นาย ช.กลับจากคูเวตด้วยบิน TG 0629
นายสนธิกล่าวว่า ในการเดินทางไปต่างประเทศนั้นจะมีตราประทับที่หนังสือเดินทางว่าออกไปเมื่อไหร่ กลับวันที่เท่าไหร่ และมีหมายเลขเที่ยวบิน เวลาจะเข้าฮ่องกงก็มีตราประทับที่ ตม.พอกลับก็จะมีตราประทับว่าออกวันที่เท่าไหร่ ถ้าสิ่งที่หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวรายงานเป็นความจริง ตนเข้าฮ่องกงวันที่ 22 แล้วไปคูเวตวันที่ 23 และออกจากคูเวตวันที่ 24 ก็ต้องมีตราประทับ และหมายเลขเที่ยวบิน
นายสนธิได้แสดงภาพหนังสือเดินทาง และชี้ให้ดูตราประทับของ ตม.ไทย ตอนที่กลับเข้าประเทศ ซึ่งไม่ใช่ KU 0411 อย่างที่ข่าวบอก แต่เป็น CX712 และว่า ตนเดินทางไปจีนบ่อย จึงมีหนังสือที่เรียกว่าแทรเวลพาส ที่ทางการจีนออกให้ เพื่อให้สามารถเข้าช่องพิเศษในขั้นตอนตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งตนจะถือเข้าไปพร้อมหนังสือเดินทาง และไม่มีตรงไหนที่มีระบุว่าตนเดินทางกลับด้วยเที่ยวบิน KU 0411 นอกจากนี้ยังมีจดหมายจากผู้จัดการโรงแรมเพนนินซูล่า แสดงความขอบคุณที่ตนไปใช้บริการ ยืนยันว่า ตนอยู่ฮ่องกงตลอดช่วงวันที่ 22-24
นายสนธิกล่าวต่อว่า ข่าวนี้ไปปรากฏในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ในเครือเนชั่น เพราะขณะนี้หนังสือพิมพ์ในเครือเนชั่นเปลี่ยนไป เพราะหวังสินจ้างที่เครือเนชั่นได้ประโยชน์จากรัฐบาลประชาธิปัตย์มากที่สุด ด้วยการได้สัมปทานเวลาในสถานีโทรทัศน์หลายชั่วโมงต่อวัน มีการทำมาหารับประทานโดยละทิ้งอุดมการณ์ของสื่อมวลชนไป
เมื่อก่อนเจ้าของเครือเนชั่นคือสะใภ้ของตระกูลจึงรุ่งรืองกิจ ซึ่งมีอยู่ช่วงหนึ่งที่สถานีโทรทัศน์ช่องเนชั่นจะมีรายการสัมภาษณ์ที่เข้าข้างทักษิณ ชินวัตร ตามความต้องการของเจ้าของ แต่ต่อมาพวกจึงรุ่งเรืองกิจออกไปเพราะเห็นว่าทักษิณคงไม่ได้กลับมาแล้ว จึงขายหุ้นให้นายเสริมสิน สมะลาภา ซึ่งเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ เครือเนชั่นจึงเปลี่ยนไป
นายสนธิกล่าวต่อว่า หากมีข้อมูลจากทำเนียบรัฐบาลนั้น สามารถตรวจสอบได้ทันที ไม่ใช่เรื่องยาก มีการกล่าวหาว่าตนรีบกลับในวันที่ 24 ม.ค.เพื่อให้ทันกับการชุมนุมวันที่ 25 ม.ค.โดยเดินทางจากคูเวตมาเปลี่ยนเครื่องที่ฮ่องกง เช่นเดียวกับนายชานนท์ ซึ่งเป็นการโกหกที่ไม่แนบเนียน เพราะสายการบินของคูเวตที่บินตรงไปฮ่องกงไม่มี นอกจากนี้ยังมีการใส่หมายเลขประจำตัว ตม.ปลอม เพื่อที่จะอ้างว่าตนมาพร้อมเที่ยวบิน KU 0411 ทั้งที่ ตม.มีแค่พันกว่าคน แต่ใส่หมายเลข 5 หมื่นกว่า
นายสนธิกล่าวอีกว่า ที่ตนเสียใจคือ นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง เอาเรื่องจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ไปอ่านทางวิทยุ 92.25 ของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ซึ่งเป็นพวกของพรรคประชาธิปัตย์ไปแล้ว และอยากได้ทีพีไอคืน จึงไม่กล้าตำหนิพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายเจิมศักดิ์จัดรายการคู่กับนายจิตรกร บุษบา ที่แดกดันพันธมิตรฯ อยู่ตลอด แล้วนำเรื่องดังกล่าวไปพูดแบบกำกวม
“ที่เสียใจคือ คุณเจิมศักดิ์เป็นพันธมิตรฯ ของผมเขาจะใช้เวลารายการรู้ทันประเทศไทยในเอเอสทีวีเพื่อปกป้องพรรคประชาธิปัตย์ ผมก็ไม่ว่าอะไร คุณเจิมศักดิ์ก็ได้เวลาในสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ไม่ต่างจากเนชั่น และมีรายการในเอเอสทีวี 3 รายการ โดยที่เราไม่คิดค่าเวลาเลยแม้แต่ 1 บาท เพราะเห็นว่าเป็นเพื่อนร่วมรบ ส่วนรายได้จากรายการก็เข้ากระเป๋าคุณเจิมศักดิ์หมด เราสู้กับทักษิณแล้วประชาธิปัตย์มาเหยียบศพพวกเราเข้าไปมีอำนาจแล้วมาแกล้งเรา
ผมจึงจำเป็นเป็นต้องพูดถึงคุณเจิมศักดิ์ ทั้งที่ผมไม่เคยพูดเลยแม้แต่ครั้งเดียว ผมไม่เคยขออะไรเขา อยากพูดอะไรก็พูดไป เป็นสิทธิเสรีภาพของคุณ ผมไม่เคยพูด เพราะว่าผมเห็นใจคุณที่ภรรยาคุณเป็นรองปลัดกระทรวงการต่างประเทศ คุณจึงทิ้งหลักการที่จะทำเพื่อชาติบ้านเมืองเพื่อเอาใจนายกษิต ภิรมย์ เผื่อภรรยาของคุณจะได้เป็นปลัดกระทรวงการต่างประเทศ”
นายสนธิกล่าวต่อว่า หากนายเจิมศักดิ์พูดสักคำหนึ่งว่าเรื่องนี้ยังไม่เชื่อ ถ้ามีโอกาสได้คุยกับนายสนธิแล้วจะเอาข้อมูลมาบอกอีกครั้ง ถ้านายเจิมศักดิ์พูดอย่างนี้จะไม่ว่าสักคำ แต่เรื่องนี้ ตนเชื่อว่าเป็นขบวนการ ซึ่งตนยังไม่รู้ว่าใครทำ อยากถามนายเทพไท เสนพงศ์ และนายศิริโชค โสภา ว่าพอจะรู้หรือไม่ว่าวิธีการที่สถุนแบบนี้ใครเป็นคนทำ
“ทีหลังถ้าจะทำก็ให้มันเนียนหน่อย อย่าหลวมให้คนจับได้ นายเทพไทชอบตอบโต้นายจตุพร แต่เขาเหนือกว่านายจตุพรแค่หน้าตาดีกว่าเท่านั้น แต่ข้างในก็เหมือนๆ กัน เป็นคนนครศรีธรรมราชเหมือนกัน คนนครฯ ถ้าดีก็ดีจริงๆ รักชาติบ้านเมือง แต่ถ้าเลวก็เลวจริงๆ”
นายสนธิกล่าวอีกว่า นายเทพไทนั้นเคยเป็นหน้าห้องรัฐมนตรีช่วยมหาดไทยมาก่อน เคยมีเรื่องอื้อฉาวกรณีการซื้อลูกถ้วยฉนวนสายไฟฟ้า ซึ่งถือว่าซื้อมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ใช้ 20 ปีก็ไม่หมด ซีเมนต์ที่ซื้อมาทำนั้นมีปริมาณมากพอที่จะถมถนนไปแอฟริกา วนไปยุโรปได้ 3 รอบ เมื่อก่อนนายเทพไททำหน้าที่ปกป้องนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ตอนนี้เลื่อนชั้นมาปกป้องนายกฯ
“เด็กที่กรุงเทพธุรกิจ มันก็หลุดปากออกมา คุณไม่ต้องห่วง ผมเป็นซือแป๋ในวงการ ลูกศิษย์ผมมีอยู่ทุกฉบับ เขาบอกว่าพี่ลองไปถามนายเทพไทดู ผมไม่ติดใจ แต่พี่น้องรู้นัยไหมว่ามันต้องการทำลายความน่าเชื่อถือของการชุมนุม เขาคงคิดแบบโง่ๆ ตามประสาลูกถ้วย คงคิดว่าจะแสดงให้เห็นว่าทักษิณกับสนธิจับมือกัน การยกระดับการชุมนุมเป็นไล่รัฐบาลนั้น เป็นเพราะเราจับมือกับทักษิณเพื่อไล่อภิสิทธิ์ ทำไมคิดโง่ๆ อย่างนี้”
นายสนธิกล่าวต่อว่า นายอภิสิทธิ์จะบอกว่าไม่รู้เรื่องนี้ไม่ได้ ต้องแสดงความรับผิดชอบ ไปหาตัวการที่ทำร้ายทำลายคนอื่นแบบนี้มาให้ได้ เชื้อชั่วพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยตาย ไม่ว่าเรื่องจ้างคนตะโกนในโรงหนังเพื่อใส่ร้ายนายปรีดี พนมยงค์ ไล่มาจนกล่าวหาว่า พล.ต.จำลองพาคนไปตาย ล่าสุดหาว่าตนรับเงินทักษิณ 3 รุ่นมาแล้วเชื้อชั่วไม่เคยตาย ผสมกับมีนักหนังสือพิมพ์ที่ไม่มีอุดมการณ์เห็นแก่ประโยชน์จากสัมปทานเวลา ก็ปกป้องประชาธิปัตย์เพื่อจะได้สิทธิพิเศษ คิดโง่ๆ แบบนี้ ไม่เห็นชาติบ้านเมืองอยู่ในสายตา
นายสนธิย้ำว่า ที่เสียใจที่สุดคือกรณีนายเจิมศักดิ์ ซึ่งตนก็เงียบเรื่องของเขามาตลอด แต่พอเอาเรื่องนี้มาพูด ก็ต้องชี้แจงให้ฟังเพื่อความเข้าใจอันดี เราไม่คิดค่าเวลารายการทั้ง 3 รายการมา 4 ปีเป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้นแล้ว วันนี้ในเมื่อนายเจิมศักดิ์เข้าพรรคประชาธ์ปัตย์ได้ แล้วได้สัมปทาน ก็เชิญไปอยู่ที่นั่นเลย นายสนธิเหมือนพี่น้องที่นี่ คือชัดเจน รักเป็นรัก เกลียดเป็นเกลียด เอายังไงก็ได้ทั้งนั้น
นายสนธิกล่าวต่อว่า ถ้ายังไม่หยุด ตนจะขุดเอาเรื่องเก่าๆ แต่ละเรื่องๆ ออกมา เพราะตนมีเพื่อนที่นครศรีธรรมราชจำนวนมาก และรู้ว่านักการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ทำอะไรไว้บ้าง
“ต่อไปคุณกับผมต้องเจอกัน จนกว่าใครคนใดคนหนึ่งจะตายไปก่อน ผมไม่มีวันลืม ผมไม่ได้อาฆาตแค้นอะไร แต่ผมคิดด่าคุณเป็นคนใช้ไม่ได้ เพราะคุณทำลายคนโดยไม่มีพื้นฐาน ทำลายพี่น้องพันธมิตรฯ ที่มาด้วยใจบริสุทธิ์ ไปหาว่าการยกระดับการชุมนุมไล่เจ้านายคุณเพราะสนธิไปรับเงินทักษิณมา มันไม่ได้ดูถูกผมอย่างเดียว แต่ดูถูกพี่น้องทุกคนที่มาที่นี้ด้วย”
นายสนธิได้กล่าวถึงการเดินทางไปฮ่องกงว่า เป็นการเดินทางที่ต่อเนื่องจากที่เคยไปเซี่ยงไฮ้เมื่อเดือนธันวาคม โดยได้รับเชิญให้ไปงานแต่งงานลูกชายชาวจีนชื่อ จาง กว๋อ ลี่ ที่ตนเคยช่วยเหลือไว้เมื่อครั้งที่เรียนปริญญาตรีที่สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันเป็นเจ้าของกิจการลอจิสติกส์ที่ใหญ่ที่สุดในเขตตอนใต้แม่น้ำแยงซีเกียง มีรถบรรทุก 5,000 คัน วิ่งทั่วประเทศจีน โดยก่อนกลับได้ให้ลูกชายนำของขวัญคริสต์มาสมาให้ตน 1 กระเป๋า เป็นเงินดอลลาร์ที่ตนนำมาจ่ายเป็นเงินเดือนพนักงานวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมา
นายสนธิกล่าวต่อว่า เมื่อวันที่ 20 ม.ค.นายจาง กว๋อ ลี่ ได้โทรศัพท์มาชวนตนไปรับประทานอาหารที่ฮ่องกงด้วยกันในระหว่างที่ไปซื้อของเตรียมงานตรุษจีน ตนจึงเดินทางไปพักที่โรงแรมเพนนินซูล่า และได้รับประทานอาหารร่วมกัน ซึ่งตนได้ขอยืมเงินมาจ่ายค่าดาวเทียมที่ค้างอยู่ 4 เดือน จึงได้เงินไปจ่ายค่าดาวเทียมที่ฮ่องกง ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย
นายสนธิกล่าวว่า ถ้าต้องการเงินจากทักษิณ ตนคงรับไปแล้ว เพราะทักษิณเสนอให้มาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกผ่านนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ 500 ล้านบาท ครั้งที่ 2 ผ่านวาณิชธนกิจคนหนึ่งเป็นเงิน 1,500 ล้านบาท
“แต่ผมรับไม่ได้ที่จะให้ลูกชายผมอยู่แล้วมีคนมาชี้หน้าด่าลูกผมว่าพ่อมึงขายตัว แต่คุณเทพไท พวกคุณไม่รู้เอาเงินทองมาจากไหน มาทำสื่อกันเยอะเหลือเกิน อยากซื้ออุปกรณ์อะไรก็ซื้อ ของผมกว่าจะได้แทบตาย ได้พี่น้องช่วยมา ก็ไม่ใช่เพื่ออะไร แต่เพื่อความถูกต้อง เพื่อบ้านเมืองเท่านั้น ถ้าพวกคุณรักชาติบ้านเมือง บอกพวกคุณให้รับประทานน้อยลงหน่อย แล้วที่ฮุนเซนเอารองเท้าตบหน้านายกฯ ทุกวัน คุณรู้สึกอะไรไหม” นายสนธิกล่าว