xs
xsm
sm
md
lg

“ปณิธาน” ลั่นไม่ยกปัญหารบเขมรขึ้นเวทีนานาชาติ-หนุนกองทัพเต็มที่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด (แฟ้มภาพ)
รัฐบาล-กองทัพ ตั้งโต๊ะแถลงเหตุปะทะเขมร เผยเสียใจชาวบ้านได้รับผลกระทบ ลั่นหนุนทหารปฏิบัติการตอบโต้เต็มที่อย่างสมเหตุสมผล พร้อมไม่ยกปัญหาขึ้นเวทีนานาชาติ "สรรเสริญ"ย้ำไม่ได้เปิดฉากยิงก่อน ซัดเขมรบิดเบือนเปิดโต๊ะเจรจา ติงสื่อเผยแพร่ภาพข่าว อาจเป็นการชี้พิกัดทหาร ขณะที่กต. เตรียมส่งหนังสือแจงยูเอ็น-เชิญทูต 16 ประเทศรับฟังเหตุถูกละเมิดอธิปไตย


วันนี้ (7 ก.พ.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก และนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ร่วมกันแถลงข่าวถึงสถานการณ์การปะทะกันระหว่างทหารไทยกับทหารกัมพูชา บริเวณภูมะเขือ อ.กัณฑรักษ์ จ.ศรีสะเกษ โดยนายปณิธาน กล่าวว่า การที่ทหารไทยถูกโจมตีและถูกปะทะจากประเทศเพื่อนบ้านนั้น เราจำเป็นต้องโต้ตอบเพื่อป้องกันตนเอง ในลักษณะที่สมเหตุสมผล และมีการโจมตีกลับไปยังจุดที่เป็นพื้นที่ที่มีการใช้อาวุธสงครามเข้ามายังประเทศไทย รวมทั้งขอบคุณประเทศเพื่อบ้านที่แสดงความเห็นใจเราและรับฟังความคิดเห็น ถึงแม้ว่าจะมีการแถลงข่าวในทำนองที่ปรักปรำประเทศไทย แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความคิดเห็นของประเทศต่างๆที่มีความเชื่อมั่นกับ เราจากวิธีทางทางการทูตของเราที่เรารักสงบอย่างต่อเนื่อง

นายปณิธาน กล่าวต่อว่า ส่วนการเข้าไปชี้แจงกับองค์กรในระดับนานาประเทศ เช่น องค์การสหประชาชาติ หรือยูเอ็น เรามีนโยบายที่ยึดมั่นในการเป็นสมาชิกที่ดีกับสหประชาชาติ เราได้ร่วมมือกับยูเอ็นในการรักษาสันติภาพในพื้นที่ต่างๆ เราขอสงวนสิทธิ์ในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ไว้ในระดับทวิภาคี เนื่องจากเห็นว่าดีที่สุด และยืนยันอีกครั้งว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจาก มีความพยายามที่จะยกระดับเรื่องนี้ไปสู่นานาชาติ มี่ความพยายามในการแก้ปัญหาเรื่องของพรมแดน ดินแดน อธิปไตย โดยนำเอาบุคคลหรือประเทศอื่นๆเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย และให้เกิดผลกระทบบานปลายออกไป เราก็ยืนยันกับองค์กรเหล่านั้นว่า คงจะต้องให้ไทยลกัมพูชาแก้ปัญหานี้ด้วยตัวเอง ตามวิธีทางของทั้งสองประเทศ ซึ่งโดยรวมแล้วความสัมพันธ์ก็ดีมาตามลำดับ

นายปณิธาน กล่าวอีกว่า ส่วนแนวทางในการปฏิบัติที่จะทำต่อไป คือขณะนี้รัฐบาลได้จัดตั้งจุดประสานงานด้านการข่าวสองจุด คือกองทัพบกและสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ซึ่งมีพ.อ.สรรเสริญ รับหน้าที่เป็นผู้ประสานงานของจุดประสานงานดังกล่าว ส่วนการแถลงข่าวในเรื่องของการเคลื่อนไหวในเรื่องของการปะทะและสถานการณ์ใน พื้นที่ จากช่อง 5 เพียงช่องเดียวขอความร่วมมือสื่อมวลชนไปเกี่ยวสัญญาณจากช่อง 5 เพื่อให้เกิดความสะดวกและเป็นระบบ ซึ่งพ.อ.สรรเสริญพร้อมที่จะช่วยประสานงานในทุกด้าน สำหรับการประสานงานด้านการข่าวและการปฏิบัติในส่วนของรัฐบาล จะอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกฯได้มอบหมายให้สภาความมั่นคงแห่งชาติหรือสมช.จัดคณะทำงานร่วมกับ หน่วยงานของทำเนียบรัฐบาล เช่น หน่วยงานด้านการข่าว และนายกฯมอบหมายให้นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นฝ่ายประสานกับสื่อมวลชนและสถานีวิทยุของกรมประชาสัมพันธ์ เพื่อให้มาประสานงานที่ทำเนียบรัฐบาลเพียงแห่งเดียว เพื่อที่จะให้การแถลงข่าวการประสานงานออกจากทำเนียบรัฐบาล โดยสองจุดจะเป็นจุดหลัก

โฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวต่อว่า ขอความร่วมมือในเรื่องข้อมูลข่าวสารที่เราจะเดินหน้าให้ข้อมูลข่าวสาร เรื่องเกี่ยวกับข่าวสารความมั่นคง ซึ่งพ.อ.สรรเสริญจะได้พูดในเรื่องนี้ ส่วนทางด้านการต่างประเทศจะให้กระทรวงต่างประเทศประสาน สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเคยผ่านในหลายประเทศ ซึ่งเราจำเป็นต้องซักซ้อมทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะสื่อมวลชนเพราะขณะนี้เป็นสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อน ข้อมูลบางอย่างอาจจะมีการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงแห่งชาติ ข้อมูลบางอย่างอาจจะเป็นประโยชน์ต่อบางกลุ่ม บางประเทศที่ไม่หวังดีนำไปใช้ทำให้เกิดปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา ตรงนี้จึงขอให้ช่วยกันตรวจสอบอาจจะประสานงานกับกองทัพ กระทรวงการต่างประเทศดูว่าตรงไหนเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อน แต่เราก็ยืนยันในสิทธิ์เสรีภาพของสื่อไม่ได้มีเจตนาที่จะไปแทรกแซงสื่อในการ ดำเนินการใดๆ แต่ในยามที่บ้านเมืองประสบสภาวะปัญหาการร่วมมือกันเป็นแนวทางที่ทุกประเทศ เห็นว่าดีที่สุด

ขณะที่พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า สิ่งที่กองทัพไทยย้ำมาตลอดยึดในกติกาและไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน การตอบโต้นั้นกระทำเพื่อหยุดการยิงของกัมพูชา และจะพยายามเปิดเจรจาฝ่ายเดียวไม่ได้เพราะกัมพูชาจะยกไปกล่าวอ้างและบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เห็นว่าไทยตกเป็นฝ่ายเพลี้ยพล้ำและไม่ปิดโอกาสการเจรจาเพราะไทยไม่ได้เปิดฉากยิงก่อน สรุปยอดการปะทะสองวันคือ วันแรก12ราย วันที่สอง13ราย รวม25ราย เสียชีวิต 2 รายคือ พลเรือน 1 ราย ทหาร1ราย ส่วนประชาชนที่อพยพจากตำบลเสาธงชัยนั้นตอนนี้ไปอยู่ในพื้นที่ส่วนหลังของอ.กันทรลักษ์ซึ่งปลอดภัย โดยฝ่ายกิจการพลเรือนประสานกับฝ่ายกครองและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ดูแลประชาชนตามสถานการณ์ให้ปลอดภัยที่สุด เเละตำบลเสาธงชัยนั้นจะเหลือชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านชุดละ 15 นายไปดูแล13หมู่บ้าน

ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวชี้แจงว่า ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ ได้เชิญเอกอัครราชทูตทั้งหมด 16 ประเทศ มาทำความเข้าใจและได้มีการชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นว่า ไมได้เป็นการรุกรานจากฝ่ายไทย ตรงกันข้ามเราถูกรุกรานอธิปไตย เราได้ใช้ความอดกลั้นอย่างถึงที่สุด นอกจากนี้กระทรวงการต่างประเทศได้มีการเจรจาผ่านไปยังรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา คือนายฮอร์นัมฮง เพื่อที่จะหาทางออกร่วมกัน โดยทั้ง 2 ฝ่ายเห็นตรงกันว่า ปัญหาชายแดนนั้นควรจะถูกหยิบยกขึ้นมาบนโต๊ะเจรจาผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา หรือจีบีซี และเห็นตรงกันว่า ควรจัดมีการประชุมเจบีซีให้โดยเร็วที่สุด โดยเบื้องต้นสรุปกันได้จัดประชุมกันได้ช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากนั้นทางรัฐมนตรีต่างประเทศของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประธานอาเซียนในขณะนี้ก็ได้แสดงความห่วงใย และอยากเดินทางมาเพื่อรับทราบข้อมูล แต่ไม่ได้เดินทางมาเพื่อเป็นผู้ไกล่เกลี่ยในกรณีดังกล่าว โดยท่านรัฐมนตรีต่างประเทศอินโดนีเซียจะเดินทางมาประเทศไทยในช่วงบ่ายของวันอังคารที่ 8 ก.พ.นี้ ส่วนช่วงเช้าเดินทางไปประเทศกัมพูชาก่อน

เลขาฯ รมว.ต่างประเทศ กล่าวต่อว่า กระทรวงการต่างประเทศได้มีหนังสือไปยังประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หนังสือลงเมื่อวันที่ 5 ก.พ. โดยสาระหลักยึดมั่นในหลักการตามกฎบัตรสหประชาชาติ และเรายึดมั่นแก้ข้อขัดแย้งใดๆ โดยสันติวิธี นอกจากนั้นจะมีหนังสือจากกระทรวงการต่างประเทศไปยังคณะกรรมการมรดกโลก รวมทั้งผู้อำนวยการใหญ่ของยูเนสโก เพื่อชี้ให้เห็นว่า การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกก็เป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างไทยกับกัมพูชา ซึ่งขัดหลักการธรรมนูญของยูเนสโกเองที่ต้องการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเพื่อต้องการเสริมสร้างวัฒนธรรม เสริมสร้างสันติภาพในพื้นที่ในภูมิภาค แต่พื้นที่ยังมีความขัดแย้ง มีการอ้างสิทธิทับซ้อนกันอยู่ เราก็ยืนยันกับยูเนสโกว่าไม่ควรให้มีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกให้สมบูรณ์ที่บาเรนในปลายปีนี้ ตรงกันข้ามควรมีการพิจารณาทำอย่างหนึ่งอย่างใดให้ทั้ง 2 ประเทศได้กลับมาคุยกันก่อน

“อย่างไรก็ดีมีการปะทะกันอีกเมื่อวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา เวลา 18.30 น.ก็ชัดเจนว่า ทางกัมพูชาได้ก่อขึ้นมาก่อน และทำให้ข้อตกลงที่มีกันระหว่าง 2 ประเทศ และทำให้ข้อตกลงที่มีกันระหว่าง 2 ประเทศไม่ถูกนำมาปฏิบัติจริง เราจึงยืนยันว่า การปะทะกันเมื่อวันที่ 6 ก.พ.อาจจะมีเจตนาแอบแฝงของทางฝั่งกัมพูชา ที่ต้องการขยายผลเรื่องนี้ไปสู่เวทีระหว่างประเทศ เนื่องจากจังหวะเวลาเดียวที่มีการปะทะกันนั้น กัมพูชาก็ได้มีหนังสือไปถึงคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติในเวลาเดียวกัน ซึ่งค่อยข้างแปลกใจที่หนังสือออกไปได้เร็ว ในขณะที่ยังไม่มีการหยุดปะทะด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้นก็ตั้งข้อสังเกตไปยังคณะมนตรีความมั่นคงว่า นี้เป็นความขยายผลของกัมพูชาในการยกระดับเรื่องนี้ไปสู่เวทีนานาชาติ”นายชวนนท์ กล่าว

เมื่อถามว่า การประสานงานมีผลอย่างไรบ้าง พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า คงยึดกรอบกติกาเดิม 4 ข้อ หยุดยิง ไม่เพิ่มเติมกำลัง ผู้บัญชาการกำกับดูแลการปฏิบัติไม่ให้เกิดการเสี่ยงที่จะปะทะกัน ถ้าชุดประสานงานทั้ง 2 ฝ่ายมีความพร้อม แล้วสถานที่ที่เป็นจุดประสานซ่อมแซมเรียบร้อยคงมีการจัดชุดไปประสานงานเช่นเดิม คงเป็นกรอบลักษณะเดิม ในส่วนกองทัพบกเราพยามประสานงานการติดต่อในหน่วยพื้นที่ของเรากับผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นไม่ว่าจะเป็นแม่ทัพ ผบ.ทบ. รมว.กลาโหม นายกรัฐมนตรี เราเป็นไปด้วยความแน่นแฟ้น ทุกท่านสามารถมองภาพสิ่งที่เกิดในพื้นที่ได้อย่างทันท่วงที แต่เรายังสงสัย ว่าสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกัมพูชาได้รับทราบจากหน่วยทหารในพื้นที่ ทันต่อเหตุการณ์ ตรงตามข้อเท็จจริงหรือไม่ เพราะสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาระดับสูงกัมพูชาแถลงมาส่วนใหญ่จะขัดกับข้อเท็จจริง เราก็พยามยามสื่อตรงนี้ออกไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาโดยเนื้อแท้แล้วเป็นอย่างไร เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทางการทูตเขาไม่ทำกัน ระหว่างที่รัฐมนตรีประชุมที่นั่น ก็มีการเปิดฉากยิงกัน และได้มีการเจรจาระหว่างในพื้นที่เหตุการณ์ยังไม่ยุติ ทางเราไม่ทราบก่อนล่วงหน้าว่าเขามีการวางแผนอย่างไรหรือไม่ ปล่อยให้ประชาชนแตกตื่นโดยไม่ปรากฏมาก่อน นายชวนนท์ กล่าวว่า เป็นเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ตนคิดว่าแนวนโยบายของกระทรวงการต่างประเทศ ก็พยายามจำกัดวงว่าไม่ให้ขยายตัวออกไป บานปลายถึงความสัมพันธ์ เรื่องอื่นๆ แต่ได้ระมัดระวังการดำเนินการทางการทูตมากขึ้น ตอนนี้มีการประชุมดกันถึงมาตรการที่เตรียมไว้ กรณีที่เหตุการณ์ต่อเนื่องเป็นอย่างไร แต่มีการเตรียมการต่อเนื่องทุกวัน มีการส่งจดหมายไปยูเอ็นเอชซีอาร์ไป 1 ครั้งแล้ว พร้อมๆกัมพูชา โดยไม่ได้คำถึงว่ากัมพูชาดำเนินการอย่างไร ไม่ใช่การตอบโต้หรือตามหลัง แต่เรารอข้อมูลแน่นอน มั่นใจว่าเป็นเรื่องถูกต้องในการยืนยันกับองค์กรระหว่างประเทศ หรือประชาคมโลก

เมื่อถามว่า ในส่วนกองทัพบกเองปัญหาเรื่องชายแดนเป็นเรื่องเรื้อรัง การพิจารณาต้องมององค์รวมไม่ใช่แก้ปัญหาเป็นทีละจุด ไม่ทราบว่านโยบายเรื่องนี้จะให้ความมั่นใจกับประชาชนในชายแดนอย่างไร พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ตนคงตอบแทนกัมพูชามากไม่ได้ ว่าทำไมถึงเปิดฉากการยิง แต่กองทัพในฐานะที่มีหน้าที่รักษาอธิปไตยโดยยึดมั่นในกรอบนโยบายที่รัฐบาลให้ว่าเราไม่เคยรุกใครก่อน แต่เมื่อเราโดนกระทำเราก็มีความจำเป็นต้องตอบโต้ มันไม่มีทางเลือกอย่างอื่น เมื่อเขาเปิดการยิง หรือเปิดการปะทะ เราตอบโต้ตามกรณีไม่ให้เสียเปรียบ และไม่ให้การปะทะขยายออกไป

ขณะที่นายปณิธาน กล่าวต่อว่า เราต้องชัดเจนเรื่องข้อเท็จจริง เนื่องจากเราถูกกล่าวหาอย่างรวดเร็ว ทำให้เราต้องระมัดระวังข้อเท็จจริง เพื่อที่จะไปชี้แจง ทำให้เรามีน้ำหนักมีความน่าเชื่อถือ ประเทศไทยเป็นสังคมเปิด เราต้องรับฟังประชาชนด้วยว่าประชาชนต้องการอย่างไรในพื้นที่ ไม่สามารถตัดสินใจตามลำพังในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเพื่อเดินหน้าในเรื่องอย่างนี้ได้ สังคมเราแตกต่างจากประเทศเพื่อนบ้านบางประเทศ ฉะนั้นเราให้โอกาสประชาชนสะท้อนความต้องการ และเดินหน้าเต็มที่แก้ปัญหา คือเราทำ 2 หน้าที่ คือ รักษาความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านในฐานะมิตรประเทศเพื่อนบ้าน และเราเชื่อว่ากรอบอาเซียน เพื่อนบ้านจะทำให้เราคลี่คลายปัญหาโดยเร็ว และปกป้องอธิปไตย

เมื่อถามว่า อยากให้ยันยืนข่าวที่กัมพูชายึดปราสาทโดนตวล พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ไม่มีการเข้ามาบุกยึดตามข้อมูลข่าวสารที่เป็นข่าวกันอยู่ ยังอยู่ในความควบคุมเจ้าหน้าที่ทหารของเรา เพราะเป็นเขตพื้นที่ของเรา ยืนยันว่าทุกพื้นที่ที่เป็นอาณาเขตของเรายังไม่มีกำลังของกัมพูชาเข้ามายึดพื้นที่ตามที่เป็นข่าวมาโดยตลอดทั้งคืน

เมื่อถามว่า กรณีการจับกุมตัวทหารไทย 1 คนที่ถูกกัมพูชาจับตัวไปและเผยแพร่ภาพถ่ายตอนนี้ขั้นตอนถึงไหนอย่างไร พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า หลังจากที่เปิดด่านและมีกรตรวจยอด พบว่ามีนายทหารนาย 1 พลัดหลงเข้าไป ในขั้นการคุยของ พล.อ.เตียบัน กับรมว.กลาโหม เขายอมรับว่ารับตัวไว้จริงๆ แล้วจะส่งตัวให้โดยเร็ว แต่ตอนหลังมีข่าวว่าจะนำไปขึ้นศาล ตนไปดูข้อกฎหมาย ทราบว่ามีข้อกฎหมายที่เรียกกันว่าการขัดกันด้วยอาวุธ หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับสงคราม ประกอบกับอนุสัญญาเจนีวา เขาบอกว่าถ้ามีการจับตัวกันได้ในระหว่างที่มีการปะทะเขาเรียกว่าเชลยศึก สิ่งที่ทำได้คือควบคุมตัวไว้จนกระทั่งการขัดกันด้วยสงครามจึงจะคืนตัว หรือถ้าหาก 2ประเทศสามารถตกลงกันได้ ก็สามารถคืนตัวได้ก่อนการขัดกันทางสงครามสิ้นสุดลง และไม่สามารถนำตัวไปขึ้นศาลใดๆได้ นี่คือหลักกฎหมาย ฉะนั้นเรายึดกรอบนี้ในการเจรจากับกัมพูชา เพื่อขอตัวกลับมา

เมื่อถามว่าแต่ยังไม่มีความชัดเจนว่านำตัวขึ้นศาลจริงหรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ก็เป็นเพียงข่าวสาร เมื่อถามว่าการปกป้องประเทศทำอย่างสมศักดิ์ศรีแล้วหรือไม่ เพราะมีข่าวค่อนข้างสับสนว่าผู้นำกัมพูชาจะขอกำลังของยูเอ็นเข้ามาดูแลจะทำให้สถานการณ์ลุกลามหรือไม่ พ.อ.สรรเสริญ กล่าวว่า ในความรู้สึกของกองทัพก็คิดว่าเราทำสมศักดิ์ศรีและทำดีที่สุด เราไม่รุกรานใครก่อน และตอบโต้ตามความจำเป็น ที่มันเกิดการปะทะเพราะ เป็นลักษณะพื้นที่ติดกัน มีการพิพาทเขตแดนไม่ใช่สงครามระหว่างกัน ฉะนั้นเมื่อการปะทะเกิดขึ้นในช่วงสั้นๆ เราก็ไม่อยากให้ประชาชน 2 ประเทศ ได้รับความเดือดร้อน เช่น การปิดจุดผ่านแดนต่างๆ จะต้องคิดถึงความเดือดร้อน 2 ประเทศเป็นหลัก หลังการเจรจาจบสิ้นลงของแม่ทัพภาคที่ 2 กับทางกัมพูชา จะเห็นว่าเราสั่งเปิดจุดผ่านแดน แสดงให้เห็นว่าเรามีเจตนาที่ดี เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลายในทางที่ดีขึ้น

นายปณิธาน กล่าวต่อว่า มี 2 -3 ประเด็น ที่เราคำนึงในเรื่องศักดิ์ศรีประเทศชาติ คือเราเข้าใจความรู้สึกคนไทยทั้งหมดที่ต้องการให้เราปกป้องอธิปไตย ซึ่งเราก็ทำอย่างที่เห็น ภาพทหารที่บาดเจ็บ ชาวบ้านเสียชีวิต ไม่มีใครอยากเห็น เป็นภาพเตือนความจำเราในการทำงานหนักเพื่อแก้ปัญหาร่วมกันกับทุกฝ่าย
กำลังโหลดความคิดเห็น