xs
xsm
sm
md
lg

กลัวเสียหน้าจนไทยถูกเขมรย่ำยี “อภิสิทธิ์” หมดข้ออ้างกอด MOU 43

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผ่าประเด็นร้อน

แม้หลายคนจะบอกว่า ขนาด “เสื้อแดง” ปิดสี่แยกราชประสงค์-สะพานผ่านฟ้าฯ เกือบ 3 เดือน คนมามากกว่าพันธมิตรฯ หลายเท่า ระเบิดกันสนั่นเมือง เผาทุกอย่างที่ขวางหน้าจนกรุงเทพฯ จมทะเลเพลิง แถมยังมีกองกำลังติดอาวุธเปิดศึกต่อสู้กับทหารตำรวจอย่างไม่กลัวตาย แต่นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยังประคองตัวรอดมาได้

แล้ว “กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” รีเทิร์นสะพานมัฆวานฯ รอบนี้ จะสำเร็จได้อย่างไร?

ของแบบนี้มันต้องดูกันยาวๆ นี่คือคำกล่าวของแกนนำพันธมิตรฯ หลังกระแสไม่เอาด้วยกับอภิสิทธิ์เริ่มขยายวงกว้างไปมากขึ้น และวันนี้พันธมิตรฯ ได้ยกระดับการชุมนุมจากยื่น 3 ข้อเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ปฏิบัติตามมาสู่การเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ “ลาออก” จากตำแหน่งได้แล้ว เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อกรณีเหตุการณ์สมรภูมิรบภูมะเขือ ที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีษะเกษ ซึ่งไทยเปิดฉากรบกับเขมร 2 ครั้งติดต่อกัน คือ วันที่ 4 และ 5 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้มีทหารเสียชีวิต 1 นาย คือ ส.อ.วุฒิชริน ชาติคำดี และทหารบาดเจ็บจากการสู้รบสองครั้งรวม 12 นาย พลเรือนเสียชีวิต 1 รายเป็นชาวบ้านในพื้นที่

แม้การปะทะกันดังกล่าว ทหารจะรักษาเกียรติภูมิทหารไทยไว้ได้ ด้วยการต่อสู้อย่างสมเกียรติ หลังถูกกัมพูชาระดมยิงใส่ก่อนจนทำให้มีเขมรเสียหายอย่างหนัก มีข่าวว่าทหารเขมรเสียชีวิต 60-64 นาย สูญเสียรถถังและยานเกราะ 12-13 คัน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่อภิสิทธิ์ต้องรับผิดชอบก็คือ เหตุการณ์ครั้งนี้แสดงให้เห็นแล้วว่า สิ่งที่นายกรัฐมนตรีพูดหลายต่อหลายครั้งว่าไม่สามารถปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ในเรื่องการยกเลิก MOU 43 ได้ เพราะจะทำให้เกิดสงครามนั้น

บัดนี้ข้อเท็จจริงปรากฏชัดแล้วว่า คำพูดของอภิสิทธิ์หาได้เป็นความจริงไม่!!

เพราะการปะทะที่เกิดขึ้นซึ่งเกิดจากการที่ทหารเขมรไม่พอใจที่ทหารไทยสร้างทางเข้าไปในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ปราสาทเขาพระวิหารที่กัมพูชาอ้างสิทธิมาตลอดว่าเป็นพื้นที่ของกัมพูชา จนเกิดการยิงเข้าใส่ทหารไทยและจากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เปิดฉากยิงตอบโต้กัน

เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้าวันที่ 5 ก.พ.เกิดการปะทะกันบริเวณห้วยตามมาเรีย และอีก 2 จุด ใน พื้นที่ชายแดนด้านทิศตะวันตกของปราสาทเขาพระวิหาร อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีษะเกษ

โดยทั้งสองครั้ง ทหารเขมรเปิดฉากยิงใส่ทหารไทยก่อน ทำให้ทหารไทยยิงตอบโต้

ไหนล่ะ? ที่อภิสิทธิ์บอก เลิก MOU 43 ไม่ได้ เลิกแล้วจะทำให้เกิดสงคราม เกิดการเผชิญหน้ากัน แล้วข้อตกลงในเอ็มโอยูที่บอกว่าหากเกิดข้อพิพาทกันห้ามใช้กำลังทหาร ให้ใช้การเจรจา ถึงเวลาจริงๆ กัมพูชา ก็เปิดฉากเข้าใส่ทหารไทยก่อน

ไม่เห็นว่าทั้ง ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา หรือฮอร์ นัมฮง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชา จะเอา MOU 43 มาประท้วงไทยหากเห็นว่าไทยรุกล้ำดินแดนเขมร

แต่เล่นใช้วิธีไฟเขียวให้ทหารเปิดฉากรบกับไทย แถมยังใช้วิธีสกปรกเล่นยิงอาวุธเข้าใส่พื้นที่พลเรือนที่อำเภอกันทรลักษ์ ส่งผลให้ประชาชน 600 ครัวเรือน 25 หมู่บ้านต้องหนีตายอลหม่าน หลบเข้าหลุมหลบภัย สุดท้ายบ้านเรือนประชาชนได้รับความเสียหายจำนวนมาก แถมต้องอยู่ในสภาพหวาดกลัวเสียงปืน-ระเบิด ไปอีกนาน แม้ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายจะเจรจาหยุดยิงกันไปแล้วก็ตาม

อภิสิทธิ์จึงหมดความชอบธรรมแล้วในการเอาสีข้างเข้าถูกกอด MOU 43 เรื่อยไป

วันนี้ แม้จะช้าเกินไปในการยกเลิก MOU 43 แต่หากอภิสิทธิ์จะผลักดันเรื่องนี้เข้าที่ประชุมครม.-ที่ประชุมรัฐสภา แม้ช้าไปบ้างก็ยังดีกว่าไม่ทำก่อนที่แผ่นดินไทยจะถูกเขมรยึดไปครองมากกว่านี้ อภิสิทธิ์ต้องเลิกคิดว่าหากทำแล้วจะเสียหน้า เสียเชิงพันธมิตรฯ เพราะการเป็นผู้นำประเทศ ต้องยึดถือผลประโยชน์สูงสุดของชาติเป็นสำคัญ หาใช่หน้าตา

อภิสิทธิ์ในฐานะผู้นำประเทศต้องรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะเมื่อคำยืนกรานในการไม่ยกเลิก MOU 43 ได้ถูกพิสูจน์แล้วว่า คำพูดของนายกรัฐมนตรีในฐานะผู้นำสูงสุดไม่เป็นความจริง แล้วอภิสิทธิ์จะทำเป็นนิ่งเฉยได้อย่างไร

การที่ไทยยังคง MOU 43 ความจริงที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทยในพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตรและเหตุการณ์ที่ภูมะเขือได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทำให้เขมรรุกคืบเข้ามายังดินแดนฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง โดยไทยทำอะไรไม่ได้ นอกจากการประท้วงกันไปตามบุญตามกรรม

แถมผู้รับผิดชอบบางหน่วยงาน ก็ทำให้เขมรได้ประโยชน์จากการที่ไทย ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามหลักกฎหมายปิดปาก หรือการเพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นเสมือนหนึ่งยอมรับการกระทำของอีกฝ่ายหนึ่ง อันเท่ากับทำให้การกระทำดังกล่าวถูกต้องสมบูรณ์

เมื่อเป็นแบบนี้ หลายปีที่ผ่านมา กองกำลังเขมรและคนเขมรจึงเข้ามาตั้งรกรากและที่มั่นในฝั่งไทยเป็นเวลาช้านาน ทั้งที่ก่อนหน้าจะมีMOU 43 ไม่เคยมีทหารเขมรหรือคนเขมรเข้าไปล่วงล้ำตั้งรกรากในฝั่งไทยเลย แต่พอมีMOU 43 เขมรก็เข้ามาล่วงล้ำดินแดนฝั่งไทย จนทำให้เกิดกรณี 7 คนไทย นำโดยนายวีระ สมความคิด ถูกทหารเขมรจับในแผ่นดินไทย

จึงเห็นได้ชัดว่า แทนที่MOU 43 จะทำให้ไทยได้เปรียบแต่กลับกลายเป็นมรดกบาปจากรัฐบาลประชาธิปัตย์ในอดีตที่ทำให้ลูกหลานไทยต้องแบกรับภาระนี้ต่อไปในอนาคต ซึ่งมีแต่จะทำให้ไทยเสียดินแดนมากขึ้นเรื่อยๆ

มิหนำซ้ำรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งตัวนายกรัฐมนตรีอ้างมาตลอดว่า หากทำให้ไทยเสียดินแดนแม้แต่ตารางนิ้วเดียวก็ไม่ขออยู่เป็นคนไทย กลับไม่เคยเปิดหูเปิดใจรับฟังข้อมูลรอบด้าน แทนที่จะกดดันเขมร และผลักดันให้ทหาร-คนเขมรออกไปดินแดนไทย กลับมองกลุ่มพันธมิตรฯ ว่าสร้างเงื่อนไขที่ทำไม่ได้

ทั้งที่จริงในใจของอภิสิทธิ์ตั้งกำแพงมาตั้งแต่ต้นว่า ให้พันธมิตรฯยื่นเงื่อนไขอะไรมาก็จะปัดตกโต๊ะให้หมด

การกอด MOU 43 เอาไว้อีก บนข้ออ้างเดิมๆ จึงเป็นสิ่งที่อภิสิทธิ์ทำไม่ได้อีกแล้วในยามนี้

ขณะเดียวกันแม้ตอนนี้ แนวรบภูมะเขือสถานการณ์จะดีขึ้น หลังมีข้อตกลงอันเป็นการเจรจาร่วมกันสองฝ่าย คือ พล.ท.ธวัชชัย สมุทรสาคร แม่ทัพภาคที่ 2 กับ พล.ท.เจีย มอน ผบ.ภูมิภาคทหารที่ 4 ของกัมพูชา เมื่อวันเสาร์ที่ 5 ก.พ. จนได้ข้อตกลงร่วมกัน 4 ข้อคือ

1.หยุดยิง 2.ห้ามเพิ่มกำลังทหาร 3.ดูแลไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ 4.ประสานงานด้านข้อมูลให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

ทว่า สันดานเขมร รู้กันดี รู้หน้า ไม่รู้ใจ ไทยเผลอ มันก็เอาเลือดไทยมาเซ่นดวงวิญญาณทหารพวกมันคืน

การรักสงบ ใฝ่สันติ ผูกมิตรประเทศเพื่อนบ้านเป็นสิ่งดี แต่ฝ่ายไทยต้องไม่ประมาท

MOU 43 ใหญ่กว่าการเจรจาของแม่ทัพภาคสองฝ่ายหลายสิบเท่า เขมรมันยังไม่สน ถ้าฮุน เซน มันจะเรียกคะแนนจากประชาชนคืนมา หลังฝ่ายเขมรเสียหายอย่างหนัก มันก็สั่งกดปุ่มลุยได้ทุกเมื่อ แล้วก็อ้างไม่รู้ไม่เห็น

สรุปได้ว่า แนวรบชายแดนไทย-กัมพูชา อย่าได้ชะล่าใจมองว่าสถานการณ์กลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว รู้สันดานฮุนเซนกันดีอยู่แล้ว วันดีคืนดีอาจส่งทหารมาลอบกัดทีเผลอ ระวังไว้ก่อนเป็นดีที่สุด
กำลังโหลดความคิดเห็น