“สมเกียรติ” อ่อนใจ รบ.ไม่หนักแน่นเรื่องเขตแดนเหมือนตอนเป็นฝ่ายค้าน ปูดข้อมูลลับทหารรายงานเบื้องบน “เขมร” สร้างวัด-ชุมชน รุกลำแผ่นดินไทยหลายครั้ง แต่ไม่มีการแก้ไขอย่างไดเลย
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย “อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์”
วันที่ 1 ก.พ. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) กล่าวว่า ประจักษ์พยานหลักฐานที่ทำให้ศาลกัมพูชาตัดสินจำคุก 5 คนไทยในช่วงแรกแล้วให้รอลงอาญา กับอีก 2 คนไทยช่วงหลังไม่รอลงอาญานั้นเกิดจากฝ่ายไทยทั้งสิ้น ตนรู้สึกห่อเหี่ยวใจอย่างมาก ที่รัฐบาลไม่หนักแน่นเรื่องเขตแดนเหมือนตอนเป็นฝ่ายค้าน อย่าง 7 คนไทยถูกจับวันแรก คนในรัฐบาลก็ระดมพูดเป็นเสียงเดียวกัน “ว่าคนไทยรุกล้ำเขตแดนเขมร” นอกจากนี้ยังออกมายืนยันอีกว่า “สระน้ำยูเอ็นอยู่ในฝั่งกัมพูชา”
ทั้งนี้ คำพิพากษาของศาลกัมพูชาทั้งสองครั้ง ล้วนแล้วแต่อ้างสิทธิในแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทั้งสิ้น อย่างไรก็ดีเมื่อข้อห้ามในแผนที่ 1 ต่อ 200,000 กำหนดห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมและห้ามใชกำลังถือว่าเป็นข้อตกลงที่ดี แต่การสร้างเอ็มโอยู 43 นี้ เป็นการทำขึ้นมาหลังจากเขมรรุกล้ำเข้ามาอยู่ในพื้นที่ของไทยแล้ว เท่ากับเราเสียพื้นที่โดยพฤตินัย อีกอย่างทุกวันนี้ทางกัมพูชาเขายึดถือเหมือนกันหมดทั้ง รัฐสภาอ้างแผนที่ 1 ต่อ 200,000 ทางศาลเขาก็อ้าง 1 ต่อ 200,000 แล้วอย่างนี้ไทยจะไปตกลงอะไรได้
นายสมเกียรติเปิดเผยข้อมูลลับจากทางทหารให้เห็นถึงข้อเท็จจริงปัญหาไทย-กัมพูชา ก่อนบานปลายมาถึงทุกวันนี้ว่า ปัญหาเขตแดนเขาวิหารเมื่อ พ.ศ. 2541 เริ่มมีชาวกัมพูชารุกล้ำเข้ามาอยู่บริเวณทางขึ้นเขาพระวิหาร ส่งผลให้ปัจจุบันมีชาวเขมรปลูกบ้านเรือนกว่า 500 หลังคา ต่อมาเมื่อ พ.ศ. 2542 มีการสร้างวัดแก้วฯ ซึ่งกินเนื้อที่ไทย 300 เมตร และเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2546 หลังจากมีการขอให้ร่วมกันพัฒนาเขตแดน ระบุเส้นแขตแดนล้ำมาในเขตไทย 300 เมตร ชาวกัมพูชาสร้างข่าวสารให้ร้ายไทยเสมอ แต่ไทยไม่เคยโต้แย้งเลย นอกจากนี้เมื่อ พ.ศ. 2548 ชาวกัมพูชาสร้างถนนจากบ้านโกมุยถึงตัวปราสาทเขาพระวิหาร ปรากฏว่ารุกล้ำเขตไทย 200 เมตร ประเด็นนี้ไทยเขียนจดหมายประท้วงแล้วถึง 11 ครั้งแต่ทำอะไรไม่ได้
และเมื่อเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2550 มีการร้องเรียนว่าชุมชนกัมพูชาบริเวณเขาพระวิหาร ถ่ายเทน้ำเสียไหลลงแม่น้ำสะตราวโดยช่วงเรกมีการตกลงกันโดยไทยจะก่อสร้างฝายเชื่อมบำบัดน้ำเสียซึ่งกัมพูชาก็เห็นด้วย ต่อมากัมพูชากลับประท้วงว่าสร้างรุกล้ำละเมิดเอ็มโอยู 43 ทั้งนี้ปัจจุบันไทยยึดเอ็มโอยู 43 ในข้อ 5 กำหนดไม่เปลี่ยนแปลงสภาพ เมื่อเขมรละเมิดข้อตกลง ทหารไทยได้รายงานให้หน่วยเหนือทราบตลอด แต่ไม่มีการแก้ไขอย่างไดเลย
ส่วนเรื่องมรดกโลก เมื่อ พ.ศ. 2546 สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี มีการตั้งคณะกรรมการร่วมพัฒนาเขาวิหาร ต่อมา พ.ศ. 2547 ประชุมสรุป ประเทศไทย-กัมพูชาจะร่วมกันเสนอจดทะเบียนปราสาทเขาวิหารเป็นมรดกโลก แต่ พ.ศ. 2548 กัมพูชาชิงเสนอจดทะเบียนเขาวิหารโดยให้ 7 ชาติเข้าร่วม จากนั้น พ.ศ.2550 ยื่นขอจดทะเบียนเป็นมรดกโลก โดย 7 ชาติที่เข้าร่วม เช่น ฝรั่งเศส เบลเยียม สหรัฐฯ ก็ดูจะเอนเอียงไปทางข้างกัมพูชา ดังนั้น รัฐบาลชุดนี้อย่าได้ฝ่าฝืนกระแสสังคม วันนี้แม้ผู้เข้าร่วมชุมนุมจะไม่มาก แต่นับแต่ “วีระ-ราตรี” ถูกจำคุกทำให้คนที่ยังไม่เห็นผลเสียของเอ็มโอยู 43 จะตาสว่าง แล้วมวลชนจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
นายสมเกียรติกล่าวว่า ตนถูกคนของนายเนวิน ชิดชอบ ฟ้องคดีหมิ่นเบื้องสูงเมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2551 กรณีที่ตนพูดเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2551 ว่า “ครูในสมเด็จฮุนเซน” ต่อสู้จนถึงวันที่ 21 ธ.ค. 2553 อัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง ตนสู้คดีเดินขึ้นศาลไม่เคยใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง ทั้งหมดอยากแจ้งให้ทุกท่านทราบว่า คนที่เป็นหัวหน้าสอบสวนตนตอนนั้นชื่อ พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน อย่างไรก็ดี เรื่องนี้ตนกำลังให้ทนายศึกษาหาทางฟ้องกลับฐานทำให้เสื้อมเสียอิสรภาพ ถ้าตนฟ้องอะไรแล้วไม่มีทางถอนคำฟ้อง อย่างกรณีนายการุณ โห่สกุล ตนก็ยังฟ้องอยู่
“สดุดี วีระ-ราตรี พวกท่านได้เสียสละเปิดประเด็นทางสังคม จนทำให้ฉีกหน้ากากคนในรัฐบาลให้เห็นจะจะ ถ้าไม่มีสองคนนี้ เป็นที่แน่นอนว่า เราต้องประท้วงเงียบๆ ไปเรื่อยๆ” นายสมเกียรติกล่าว