นายกฯ โยนความผิด พธม.ปิดช่องทางไม่ยอมเจรจารัฐบาลเอง แสร้งย้อนรอยถามหากถอนตัว คกก.มรดกโลก เสมือนโยนผ้าขาวยอมแพ้ แล้วใครจะรับผิดชอบหากเสียอธิปไตย วางกล้ามปฏิเสธ 3 ข้อเรียก พธม. อ้างสั่งทูตไทยภาคพื้นยุโรปในประเทศสมาชิกมรดกโลกล็อบบี้ค้านแผนพัฒนาพื้นที่พิเศษในเวทีมรดกโลกมิถุนายนนี้ ตลบตะแลงยืมปากชาวบ้านหนองจาน ชี้สระน้ำยูเอ็นอยู่ในดินแดนเขมร ยันเปิดสงครามกัมพูชาเป็นทางเลือกสุดท้าย
วันนี้ (31 ม.ค.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการออกแถลงการณ์ตอบโต้กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา แสดงจุดยืนกัมพูชารุกล้ำดินแดนไทยว่า ตนได้บอกไปเมื่อวันเสาร์ที่ 29 ม.ค. รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะกลับมาไทยในวันพุธที่ 2 ก.พ.นี้ คิดว่าคงไม่มีปัญหาอะไร เรายืนยันจุดยืนเดิมของเราอยู่แล้ว ผู้สื่อข่าวถามว่า คิดว่าการใช้กระบวนการต่างประเทศตอบโต้ทางการกัมพูชาคิดว่าจะได้ผลหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า คำว่าได้ผล ถ้าบอกว่าจะทำให้กัมพูชาเปลี่ยนแนวทางอะไรคงยาก เหมือนที่เขาออกแถลงการณ์มา ก็ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรเราได้เหมือนกัน มันก็มีความแตกต่างกันอยู่ เพียงแต่เป็นการยืนยันว่า ความเห็นของ 2 ประเทศก็ยังไม่ตรงกันในบางเรื่องเท่านั้นเอง
เมื่อถามว่า ธงยังไม่ถูกลดลงกลายเป็นการขยายผลทางการเมืองภายในประเทศเวลานี้ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตรงนี้ก็ต้องเดินหน้า ตนยังไม่ทราบว่าดำเนินการถึงไหนอย่างไร เมื่อถามต่ออีกว่า จำเป็นต้องใช้มาตรการทางทหารเข้ามาเสริมด้วยหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า เราดำเนินการเหมือนตอนที่เราทราบเรื่องใต้ เราก็ดำเนินการให้สำเร็จ เราบอกมาตลอดว่า การที่จะมีลักษณะเป็นสัญญาลักษณ์ที่แสดงออก ถึงการมีอธิปไตยในดินแดน ซึ่งยังมีปัญหากันอยู่คงไมได้
ส่วนความคืบหน้าในการเปิดการเจรจากับกลุ่มพันธมิตรฯนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนเห็นจากข่าวว่า เขาไม่เจรจา แต่ตนไม่มีปัญหาอยู่แล้ว มีหลายคนในพรรคประชาธิปัตย์ ในรัฐบาล พยายามดูความเป็นไปได้ในช่องทางที่จะพูดคุยกัน เมื่อถามว่า คิดว่าวันนี้มีความเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมีการเปิดช่องทางการเจรจากัน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คงต้องถามพันธมิตรฯ เพราะฝ่ายรัฐบาลไม่ได้มีปัญหาอะไร ตนคิดว่าเห็นไปฟ้องศาลแล้วก็อยากให้ช่วยคิดถึงว่าที่ชุมนุมกันอยู่ ถ้าจุดยืนไม่ตรงกัน ถ้าไม่พูดคุยกันแล้วจะทำกันอย่างไร
เมื่อถามว่า ถ้าไม่มีการพูดคุยกัน หากปล่อยให้คาราคาซัง สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนต่อไปหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ทางตำรวจได้ทำอย่างต่อเนื่อง ในความพยายามที่จะทำให้ไม่เกิดความเดือดร้อน หรือผลกระทบลดลง ส่วนความคืบหน้าในการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น มีคืบบ้างถอยหลังบ้าง แต่ก็ได้ย้ำไปแล้วว่าพยายามอย่าให้กระทบคนส่วนใหญ่ ส่วนที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้เวลาตำรวจคิดหามาตรการเพื่อให้กลุ่มพันธมิตรฯแบ่งช่องทางจราจรนั้น นายกฯ กล่าวว่า ให้ตำรวจพิจารณา โดยใช้หลักว่า ควรผ่อนปรน หรือสร้างความเดือดร้อนให้น้อยที่สุด เพราะจริงๆ แล้วมันน่าจะใช้สิทธิโดยไม่กระทบกระเทือนคนอื่นได้
เมื่อถามว่า ภายในประเทศที่คนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับความเดือดร้อนจากผู้ที่มาชุมนุม นายกฯ กล่าวว่า เราก็พยายามทำความเข้าใจ และเห็นใจเจ้าหน้าที่ เพราะเวลาที่มีปัญหาขึ้นมา เขาก็ต้องรับผิดชอบ เหมือกับที่ผ่านมา เวลาที่เราแก้ไขปัญหาการชุมนุมไป ในช่วงที่มีการชุมนุมก็อาจจะอารมณ์หนึ่ง แต่พอจัดการไปแล้ว เราก็ต้องมานั่งแก้ จัดการกันที่หลัง ผู้สื่อข่าวถามว่า หากไม่เกินกว่าเหตุคงไม่มีใครว่าอะไร นายกฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเราพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ให้มันเกิดการใช้วิธีการต่างๆ ที่มันเกินกว่าเหตุ เมื่อถามต่อว่า ก็เห็นรัฐบาลปล่อยเฉยๆ พวกนั้นก็ร้องรำทำเพลงไปเรื่อยๆ นายกฯ กล่าวว่า เมษาฯ และพฤษภาฯ ที่ผ่านมา พอเราแก้ปัญหาก็เห็นไหมว่าตอนนี้ยังไม่จบ เมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า อันนั้นมันไม่ใช่แก้ไขปัญหามันเป็นการถล่ม นายอภิสิทธิ์ได้เพียงแต่หัวเราะไม่ได้ตอบคำถามแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่นายกฯสงสัยว่า การที่พันธมิตรฯไม่มาเจรจาแสดงว่า มีนัยแอบแฝงมากกว่านี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ตนเพียงแต่ใช้เหตุผลว่าถ้าข้อมูลไม่ตรงกัน เราควรมาแก้ปัญหาร่วมกัน โดยเฉพาะเรื่องที่เป็นเรื่องระหว่างประเทศ เรื่องที่เห็นว่าเราจะต้องไปดำเนินการกับประเทศอื่น แทนที่จะมาผนึกกำลังกัน ทำอย่างนี้ก็ทำให้การทำงาน มันยากขึ้น เมื่อถามว่า ปัญหาเก่ายังไม่หมด ปัญหาใหม่เข้ามาอีก มันก็หมักหมมกัน นายกฯ กล่าวว่า ไม่หมักหมม ปัญหาพื้นฐานของประเทศ ปัญหาความสัมพันธ์ หรือปัญหาอื่นใดเราก็เดินหน้าแก้ไข แต่ปัญหาที่เป็นความแล้คิดเห็นที่แตกต่างทางการเมือง เราต้องหาความพอดี ระหว่างการที่คนจะใช้สิทธิ กับการจะคุ้มครองคนที่เขาได้รับผลกระทบ
ผู้สื่อข่าวถามว่า การไม่กำหนดเงื่อนเวลาจะทำให้ยืดเยื้อไปได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในทางกลับกัน หากไปกำหนดอะไรตายตัวเกินไป หากทำให้เกิดความตึงเครียด ทำให้เกิดปัญหา ฉะนั้นต้องให้ตำรวจใช้ดุลยพินิจตามสมควรว่าจะดำเนินการอย่างไร เมื่อถามว่า การยุติการชุมนุมด้วยการเจรจา จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนยังสงสัยอยู่ว่าในเมื่อเป้าหมายไม่น่าจะต่างกันในเรื่องรักษาผลประโยชน์ของประเทศ ก็น่าจะมาแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เพราะจุดยืนที่ต่างกัน ก็มาจากข้อมูลที่ต่างกัน แล้วทำไมไม่เอาข้อมูลมาดู มากล่าวหากันไปมาก็ไม่ถูกต้อง ตนเห็นไปพูดว่าตนโกหกเรื่องนั้นเรื่องนี้ บอกมาสักเรื่องสิ เอาคำพูดตนมาเลย บอกมาสักเรื่องว่าเรื่องไหนที่โกหก
เมื่อถามว่า การชุมนุมที่เกิดขึ้นทำให้การบริหารงานชะงักไปหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า การทำงานเชิงนโยบายไม่มีอะไร แต่เราเป็นห่วงคนที่ได้รับผลกระทบจากเรื่องการจราจร และทำให้เราต้องนำกำลังใจเจ้าหน้าที่มาอยู่ที่นี่เยอะ เมื่อถามต่อว่า คิดว่าจะเริ่มต้นอย่างไรในการที่จะพูดจากัน นายกฯ กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมพูดคุย และมีคนพยายามประสานงาน แต่ทางพันธมิตรฯเขาบอกเขาไม่พูดคุยเวลานี้ เมื่อถามต่อว่า ตำรวจระบุว่า รัฐบาลไม่ส่งสัญญาณ นายกฯ กล่าวว่า ไม่จริง ถามตำรวจได้ตั้งแต่ก่อนที่พันธมิตรฯ จะมา เฉพาะกลุ่มที่อยู่บริเวณถนนพิษณุโลก ตนบอกตำรวจตั้งแต่ระดับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จนถึงนครบาล ชัดเจน ไม่มีที่บอกว่า รัฐบาลไม่บอก ไม่ถามทางศูนย์ติดตามสถานการณ์ (ศตส.) ดูว่าจะหาทางออกอย่างไรในเรื่องนี้ นายกฯ กล่าวว่า เพราะทุกคนก็รับทราบในเรื่องนี้ เพราะว่าทางกรอบของ กอ.รมน. และที่มติคณะรัฐมนตรีได้มอบหลังเลิกพระราชกำหนดการบริหาราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินไป ทุกคนก็รับรู้รับทราบกันดี เมื่อถามว่า จำเป็นต้องประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงหรือยัง นายกฯ กล่าวว่า ยัง
ผู้สื่อข่าวถามว่า คราวที่แล้วก็มีการเปิดเวทีพูดคุยกับพันธมิตรฯ แล้วครั้งหนึ่ง แต่ก็ดูเหมือนว่าข้อมูลไม่ตรงกัน ถ้าจะมีการเปิดคุยกันอีกจะเกิดความเข้าใจกันหรือยัง นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ก็ต้องถามเขา ตนเห็นให้สัมภาษณ์บอกว่าถ้าไม่ยอมตามเขาก็ไม่ต้องคุยกัน ถ้ายอมตามก็ไม่ต้องคุยกันอยู่แล้ว ฉะนั้นต้องมาดูเหตุดูผล ในเมื่อ 3 ข้อที่เขาเรียกร้องตนเห็นว่า ทำแล้วประเทศชาติเสียหาย มากกว่าได้ และตนต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจ
“ผมยกตัวอย่างว่า ถ้าวันนี้ผมยอมทำตามถอนตัวจากมรดกโลก และไม่มีใครไปค้านกัมพูชาเลย ในเดือนมิถุนายน และกัมพูชาเดินหน้าได้ในมรดกโลก คนที่เรียกร้องให้ถอนตัวจะมารับผิดชอบหรือไม่ครับ จะมารับผิดชอบไหม นี้คือสิ่งที่ต้องเข้าใจว่าผมตัดสินใจไม่ใช่เพราะว่าผมมีประโยชน์อื่นใด แต่ผมเห็นว่าถอนตัวจากมรดกโลกตรงนี้ก็เข้าทางกัมพูชาที่จะผลักดันแผนบริหารจัดการพื้นที่ต่างๆ ให้ง่ายยิ่งขึ้น ผมก็ถือว่าเรายังมีช่องทางในการที่จะคัดค้านดำเนินการ ผมไปยุโรปคราวนี้ได้กำชับกับเอกอัครราชทูตในภาคพื้นยุโรปทั้งหมดของไทยว่า ให้คุยกับประเทศที่เป็นกรรมการมรดกโลกให้เห็นถึงจุดยืนของเรา มันต้องทำต่ออยู่ดี จะไปทิ้งเฉยๆ ผมก็ไม่เห็นด้วย นี้ก็เป็นตัวอย่างข้อเดียวเองครับ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
เมื่อถามว่า ในฐานะประเทศอาเซียนด้วยกัน ทำไมไม่มีทางที่จะพูดคุยกับทางกัมพูชา เพราะเราเคยช่วยเขามาหลายครั้งเหมือนกัน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ขณะนี้กรอบของการพูดคุยในระดับทวิภาคีก็เดินอยู่ ยกตัวอย่างพื้นที่จังหวัดสระแก้วก็มีข้อตกลงกันในช่วงปี 49 ว่าให้ เจบีซีทำงานให้เรียบร้อย หากเรียบร้อยแล้ว ใครรุกล้ำอยู่ก็จะออกไป ตามที่ตกลงกันในเจบีซี ฉะนั้นถ้าเจบีซีก็ไม่ให้เดิน มันจะแก้ปัญหากันได้อย่างไร อันนี้คือสิ่งที่เราพยายามแก้ไขปัญหากันอยู่ แม้กระทั้งก่อนหน้านี้เรื่องมรดกโลกเขาก็คุยกันด้วยแล้วว่าจะมีการพูดคุยกันนอกรอบก่อนเดือนมิถุนายน ส่วนเจบีซีที่ขณะนี้เดินช้าหน่อย เพราะอยู่ในขั้นตอนรัฐสภาในการพิจารณาบันทึกการประชุม ซึ่งเขาเข้าใจกฎหมายภายในประเทศเป็นอย่างไร เมื่อถามว่า ถ้าเข้าใจกันดี บรรยากาศก็น่าจะดีกว่านี้ ไม่ใช่ทะเลาะกัน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า เรากับกัมพูชาต่างต้องแสดงการรักษาสิทธิของตัวเอง เพื่อยืนยันสิทธิของตัวเอง แต่ทั้ง 2 ประเทศยังยืนยันแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี ด้วยกรอบเจรจา
ส่วนกรณีที่ชาวบ้านชาวหนองจาน ต.โนนหมากมุ่น อ.โคกสูง จังหวัดสระแก้วมาพบนายกฯ และระบุว่าบ่อน้ำเป็นของกัมพูชานั้น นายกฯ กล่าวว่า ถึงได้บอกว่าอยากให้เปิดใจกว้างว่า ข้อมูลจริงๆ มันเป็นอย่างไร ถูกผิดค่อยมาว่ากัน แต่ว่าถ้ามาถึงกล่าวหากันอย่างเดียว มันก็ไม่มีทางได้ข้อยุติ ส่วนจะเป็นข้อมูลจริงหรือไม่จริงค่อยมาว่ากัน ก็ไปตรวจสอบกันได้ อย่างที่บอกว่า จะไปฟังหรือจะไปดูแค่จุดหนึ่งจุดใด หรือกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดไม่ได้ เราก็มาดูชาวบ้านมีความคิดเห็นที่หลากหลายก็มี และมีสารที่มาแสดงก็มาดูกัน มันก็ได้ข้อยุติที่ตรงกัน แต่ถ้าไม่ยอมดูกันเลย
“พอมีข้อมูลด้านที่ไม่สนับสนุนความคิดของตัวเอง แล้วไปกล่าวหาเป็นเท็จโดยที่ยังไม่ฟัง ความจริงผมก็ไม่เคยกล่าวหาข้อมูลว่า ฝ่ายนั้นฝ่ายนี้จะต้องเป็นเท็จ ผมถือว่าบางทีก็เป็นมุมมองที่แตกต่างกันได้ แต่ข้อเท็จจริงบางอย่างมันพิสูจน์ได้ เรื่องที่ผ่านมา 20-30 ปีก็อาจต้องมาดูรายละเอียดว่าอะไรจริง อะไรเท็จ” นายกฯ กล่าว
เมื่อถามว่า เป็นห่วงสถานการณ์ชายแดนหรือไม่ เพราะว่ามีการขนอาวุธยุทโธปกรณ์มาประชิดชายแดน นายกฯ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้เรามีการฝึกตามวงรอบของเรา เมื่อถามต่อว่า นายกฯจะชี้แจงคนไทยอย่างไร เพราะรู้สึกว่าเวลามีปัญหาเรากับกัมพูชา เรามักจะตกเป็นเบี้ยล่างหรือเดินตามเกมเขาตลอด นายกฯ กล่าวว่า ตนไม่ได้คิดอย่างนั้น 2 ปีที่ผ่านมาหยุดยั้งเรื่องมรดกโลกมาได้ และพยายามไม่ให้เรื่องนี้เป็นปัญหา เมื่อถามต่อว่า คิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดการปะทะกันระหว่างไทยกับกัมพูชาหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนเชื่อว่ารัฐบาลของ 2 ประเทศต้องการหาแนวทางเจรจาหาข้อยุติกันมากกว่า ไม่เคยมีการปะทะ เสร็จแล้วจะไปแก้ปัญหาได้เบ็ดเสร็จ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ไทยกลัวสงครามที่จะเกิดขึ้นหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องกลัวหรือไม่กลัว แต่ต้องถามว่า ปัญหาที่มีทางแก้หลายทาง สงครามควรเป็นเลือกแรก หรือทางเลือกสุดท้ายต้องตอบตัวเองให้ได้ เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่า การประชุมเดือนมิถุนายนเราจะไม่เสียเปรียบกัมพูชา นายกฯ กล่าวว่า เสียเปรียบจริงก็ค่อยมาว่ากัน แต่ทำไมจะยอมแพ้ตั้งแต่ตอนนี้ อยู่ดีๆ ถอนตัวออกมา ให้เขาได้มติที่เขาต้องการเพื่ออะไร
“ผมยังไม่กล่าวหาเลยว่าไปรับเงินกัมพูชามาหรือเปล่า ถึงได้ไปสู้กับเขา ผมก็ไม่พูดอย่างนั้น ผมก็เห็นว่าก็เป็นความคิดเห็นที่แตกต่าง ผมเพียงแต่มองว่าในมุมของผมอยู่ตรงนั้นแล้วคัดค้านถึงที่สุดก่อน มันก็น่าจะเป็นประโยชน์กับประเทศไทยมากกว่า อยู่ดีๆ โยนผ้ายอมแพ้ถอนตัว ไม่เอาข้อมูลไปให้ประเทศอื่นเลย แล้วเราจะมีแนวร่วมเพิ่มได้อย่างไร แต่ผมก็เข้าใจว่า เขาคงมีความเห็นอีกอย่าง ไม่จำเป็นต้องมากล่าวหากัน ทำไมผมไม่เคยกล่าวหาว่าเขาชาติละครับ ผมเพียงคิดว่าเขาประเมินไม่ถูกต้อง แต่เวลาที่ผมมีแนวทางอย่างนี้ ทำไมกลายเป็นผมขายชาติ ที่ผมไม่เข้าใจคือตรงนี้” นายกฯ กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าแสลงใจหรือไม่ เพราะเมื่อก่อนเคยเป็นมิตรที่ดีต่อกัน นายกฯ กล่าวว่า ไม่มีปัญหา เราเข้าใจคนที่เคลื่อนไหวชุมนุม มีความจำเป็นเรื่องของการปลุกเร้าอารมณ์ของคนเป็นปกติอยู่แล้ว แต่อยากให้อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ส่วนการช่วยเหลือนายวีระ สมความคิด และนางราตรี พิพัฒนไพบูรณ์ ว่า จะต้องดูว่าผลการตัดสินของศาลในวันที่ 1 ก.พ. ก่อนว่าเป็นอย่างไร และตนขอเรียนตรงๆ ว่าเราเสียดายที่คุณราตรีไม่ได้ตัดสินใจในการให้ตัดสินพร้อมกับ 5 คนที่ได้กลับมาแล้ว เพราะว่าส่วนของคุณราตรีจะไปพันอยู่กับคุณวีระ เราจึงพยายามหาทางให้คุณราตรีได้อออกมากับคุณวีระด้วย แต่บังเอิญว่า เมื่อเขาเลือกแนวทาง การต่อสู้อีกแบบหนึ่ง เราจึงต้องให้เขาทำตามแนวทางนั้น
เมื่อถามว่าการที่กลุ่มผู้ชุมนุมปราศรัยโจมตีกัมพูชา ออกไปแรงๆ จะส่งผลต่อ 2 คนไทยที่เหลือหรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า ตนจึงได้พูดมาตั้งแต่ตนต้นว่า เวลาที่เราพูดอะไรต้องนึกถึงคนที่อยู่ที่โน่นด้วย แต่เขาคิดอีกแบบ เขาคงคิดว่าถ้าพูดแรงคงจะเป็นการช่วยกดดัน แต่ตนมองว่าอาจจะไม่ใช่ จึงเป็นอย่างที่บอกว่าเป็นมุมมองที่ต่างกัน เมื่อถามว่าหากทางศาลกัมพูชาตัดสินโดยที่นายวีระ และนางราตรีไม่ได้ตัดสินให้ออกมา นายกฯ กล่าวว่า เราต้องช่วยต่อ ตาถ้าพ้นเรื่องจากฝ่ายศาลไปแล้ว เราจะเดินกับฝ่าบริหารต่อ ซักต่อว่าทางฝ่ายบริหารจะช่วยเจรจาเพิ่มอีกใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า มีการเตรียมการไว้ ซึ่งจะต้องดูด้วยว่า ทั้ง 2 คนมีท่าทีอย่างไรด้วย แต่หากจะมีการขออภัยโทษจะเป็นเรื่องของเจ้าตัว ไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล