xs
xsm
sm
md
lg

เตือน สุเทพ-กษิต หยุดใช้วาทะ “สงคราม” บิดเบือน!!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สำนวนบู๊ลิ้มที่ว่า “รู้จักหน้า ไม่รู้จักใจ” มันใช้ได้จริงๆ กับคนที่ชื่อ กษิต ภิรมย์ และถือว่ามาได้เหมาะเจาะถูกที่ถูกเวลาอย่างเหลือเชื่อ และบางครั้งคนเราสามารถ “บิดเบือน” อะไรก็ได้เพื่อดิ้นรนให้ตัวเองได้อยู่เก้าอี้ต่อไป

เวลานี้หากสังเกตให้ดีจะเห็นว่าสิ่งที่รัฐบาล คนสำคัญในรัฐบาลและพรรคประชาธิปัตย์ต่างออกมาพูดเน้นย้ำในประเด็น “สงคราม” กับกัมพูชากันมากผิดปกติ โดยเฉพาะหากมีการยกเลิกเอ็มโอยูปี 2543 จะส่งผลให้เกิดสงครามกับประเทศเพื่อนบ้าน

หากชี้ให้เห็นคนที่พยายามออกมาพูดในลักษณะดังกล่าวแบบเรียงตัว หลักๆ ก็จะมี รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์บางคน และล่าสุดก็มี กษิต ภิรมย์ นี่แหละ และยังบิดเบือนเพิ่มเติมไปอีกว่าเป็นข้อเสนอที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน การทำมาค้าขายต้องสะดุด

ล่าสุด เมื่อวานนี้ (28 มกราคม) กษิต ภิรมย์ คนเดิมก็ยังทวิตเตอร์ออกมาอีกว่า ข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ ต้องการให้ขับไล่แรงงานกัมพูชาออกไป รวมทั้งต้องการให้ปิดชายแดนไทยเพื่อบีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามต้องทำตาม

หรือบอกว่าหากต้องถอนตัวออกจากการเป็นภาคมรดกโลก จะทำให้เกิดผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เกิดความเสียหายกับโบราณสถานที่ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไปก่อนหน้านี้ เช่น สุโขทัย และอยุธยา โดยพยายามสร้างภาพให้เห็นเป็นความแตกแยกกับชาวบ้านในพื้นที่นั้นว่าจะเกิดปัญหา หากยินยอมทำตามข้อเรียกร้องของพันธมิตรฯ

พร้อมกันนี้ยังได้บิดเบือนอีกว่าข้อเสนอดังกล่าวจะเป็นการขัดขวางการเป็น “ประชาคมอาเซียน” ในอนาคต ที่ทุกประเทศในแถบนี้จะต้องพึ่งพาอาศัยพัฒนาร่วมกัน ไปมาหาสู่กันได้โดยสะดวก ทั้งที่ความหมายคนละอย่าง แต่หากจะให้ใกล้เคียงกับ “สหภาพยุโรป” นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า กรณีของฝรั่งเศส เยอรมนี รวมทั้งประเทศอื่นๆ จะไม่นำพาเรื่องเขตแดน หรืออธิปไตยของชาติ หาใช่ไม่

อย่างไรก็ดีเพื่อทบทวนความจำก็ต้องย้ำถึงข้อเรียกร้อง 3 ข้อของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้รัฐบาลปฏิบัติ คือ 1.ให้ยกเลิก เอ็มโอยู 2543 แล้วเจรจาทำเอ็มโอยูใหม่เพื่อให้เกิดความยุติธรรม 2.ถอนตัวจากการเป็นภาคีมรดกโลก เนื่องจากไม่คุ้มค่าหากต้องสูญเสียอธิปไตยกรณีการขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร และ 3.ต้องผลักดันทหารกัมพูชา และชุมชนกัมพูชาที่เจตนาบุกรุกเข้ามาตามแนวชายแดนออกไปทันที

เห็นได้ชัดว่าไม่มีข้อเรียกร้องให้ “ทำสงคราม” กับ กัมพูชา หรือกับ “กุ๊ย-ฮุนเซน” ตามที่ กษิต ภิรมย์ เคยขึ้นเวทีพันธมิตรฯ เหยียดหยามผู้นำประเทศเพื่อนบ้านแต่อย่างใดไม่ รวมไปถึงข้อเรียกร้อง ก็ไม่มีคำว่าให้ “ปิดชายแดน” หรือ “ขับไล่แรงงานกัมพูชา” ออกไปให้พ้นจากประเทศไทยเลยแม้แต่คำเดียว


เห็นได้ชัดว่านี่คือการบิดเบือน เพื่อเจตนาสื่อสารให้คนไทยเข้าใจผิด และทำลายความชอบธรรมของภาคประชาชน โดยปิดบังความจริงอย่างร้ายกาจที่สุด

ไม่น่าเชื่อว่าจะได้เห็น “ตัวตน” ของ กษิต ในครั้งนี้ และน่าเจ็บปวดที่เคยมีหลายคนออกมาปกป้องชายคนนี้เมื่อถูก “เครือข่ายทักษิณ” รุมกระหน่ำโจมตีก่อนหน้านี้

หากพิจารณากันอย่างเป็นธรรม ข้อเรียกร้องของภาคประชาชนในนามกลุ่มพันธมิตรฯ ไม่ได้เป็นการเรียกร้องให้ทำสงครามอย่างแน่นอน เพียงแต่ต้องการให้รัฐบาลเจรจาเรื่องเขตแดนและอำนาจอธิปไตยอย่างยุติธรรม และ “รักษาศักดิ์ศรี” ของกองทัพแห่งชาติเท่านั้น แต่ที่ผ่านมารัฐบาลที่นำโดยนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และฝ่ายความมั่นคง รวมไปถึงผู้นำกองทัพกลับเพิกเฉย ไม่แสดงท่าทีกระตือรือร้น จนสร้างความเคลือบแคลงสงสัยว่ามีวาระซ่อนเร้น หรือมี “ผลประโยชน์” ระหว่างกันหรือไม่

สังเกตได้จากกรณีกัมพูชาปักป้าย ทั้งเริ่มแรกด้วยข้อความประณามกองทัพไทย และคนไทยว่าเป็นผู้รุกราน แต่เมื่อถูกภาคประชาชนทักท้วงกดดันโวยวายทำให้ต้องสั่งการเจรจาและนำไปสู่การทุบป้ายที่เขียนว่า “ทีนี่กัมพูชา” ทิ้งไป แต่ถามว่าป้ายที่ประณามไทยนั้นไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันสองวันนี้ แต่เกิดขึ้นมานานนับเดือนแล้ว และจนบัดนี้ยังมีการปักธงชาติกัมพูชาไว้บนวัดแก้วศิขาคีรีสวาระ ใกล้กับปราสาทพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร ที่พันธมิตรฯและคนไทยไม่น้อยยืนยันว่านี่คือพื้นที่ของไทย แต่รัฐบาลที่นำโดย นายกฯ อภิสิทธิ์ กลับบอกว่านี่คือพื้นที่ทับซ้อน

อย่างไรก็ดี หากเป็นพื้นที่ทับซ้อนจริง ก็ต้องเข้าไปสู่เงื่อนไขของเอ็มโอยู 43 ที่ระบุว่าห้ามทั้งสองฝ่ายเข้าไปก่อสร้างอาคาร ชุมชน วางกำลังทหาร หรือการทำลายสภาพแวดล้อมเดิมโดยเด็ดขาด แต่ในความเป็นจริงทำไมฝ่ายกัมพูชาละเมิดมาตลอด ขณะที่รัฐบาลไทยกลับยืนยันว่าต้องใช้วิธีเจรจา ดังนั้นเมื่อใช้ไม่ได้ผลหรืออีกฝ่ายไม่ทำตามข้อตกลง ไทยก็มีสิทธิ์ยกเลิก

กรณีที่นายกฯ อภิสิทธิ์ อ้างว่า ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชามีปัญหามาหลายรัฐบาล ไม่มีใครเถียง หรืออาจยกเว้นกรณีการสร้างวัดแก้วศิขาฯ ที่สร้างมาก่อนที่รัฐบาลของเขาจะเข้ามา แต่คำถามกรณีของป้ายหินอัปยศดังกล่าว ทำไมรัฐบาลไทย และกองทัพไทยปล่อยเอาไว้ตั้งนาน หรือยังมีอีกหลายกรณีที่มีเจตนาซ่อนเร้นอื่นๆ เช่นกรณี 7 คนไทยถูกจับกุม แทนที่รัฐบาลไทยจะออกมาปกป้อง และมีเจตนารักษาอธิปไตย เพราะพื้นที่ที่ถูกจับกุมเป็นที่มีปัญหา ซึ่งต่อมานายกฯก็ยอมรับเองว่า ยังปักปันเขตแดนไม่เรียบร้อย ไม่ชัดเจน แต่ทำไมไปยอมรับตั้งแต่แรกว่า “รุกล้ำ” และให้ยอมรับศาลกัมพูชา นั่นเท่ากับว่าเราได้ยกอธิปไตยทางศาลให้เขาไปด้วย

ดังนั้น หากย้ำกันอีกครั้ง ข้อเรียกร้องของภาคประชาชนในนามกลุ่มพันธมิตรฯไม่มีข้อไหนที่ต้องการให้ทำสงคราม ข่มเหงประเทศเพื่อนบ้าน เพียงแต่ที่ผ่านมามีความเห็นว่าการคงอยู่ของเอ็มโอยู 43 รังแต่จะทำให้ไทยเสียเปรียบ ดังเห็นได้จากกรณีปักป้ายประณามไทย ซึ่งได้ใช้วิธีเจรจาแต่ไม่ได้ผล จึงต้องใช้แสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่าเข้าไปกดดัน ความหมายก็คือเพื่อทวงถามความยุติธรรม และรักษาอธิปไตยของเราที่ถูกละเมิดเท่านั้น ไม่ได้ให้ทำสงครามข่มเหงคนอื่น

เจตนาที่แท้จริงไม่ได้ก้าวล่วงไปถึง ฮุน เซน ที่ กษิต ภิรมย์ ก่อนเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ เคยหยามเหยียดว่าเป็น “ผู้นำกุ๊ย” เพียงแต่เราต้องการพิทักษ์รักษาสิทธิโดยชอบเท่านั้น อย่าบิดเบือน!!


กำลังโหลดความคิดเห็น