ผ่าประเด็นร้อน
ไม่น่าเชื่อว่านายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะเป็นคนใช้ “โอกาส” ที่เปลืองมากที่สุด เพราะแทนที่จะใช้โอกาสที่มีอยู่อันจำกัดของตัวเองมุ่งมั่นสะสางปัญหา เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง แต่นี่กลับเดินย่ำรอย “นักการเมือง” ประเภทที่เป็น “นักเลือกตั้ง” ประสานประโยชน์เพื่อหวังต่ออายุในตำแหน่ง “รักษาเก้าอี้” ไปวันๆเท่านั้น
หลายปัญหาแทนที่เขาจะใช้ “ความกล้าหาญ” ขจัดปัญหาคอรัปชั่นในรัฐบาล มุ่งแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างเหมือนกับที่เคยอ้างเอาไว้ตลอด แต่ในทางปฏิบัติกลับออกมาในทางตรงกันข้าม กฎเหล็ก 9 ข้อ ที่วางเอาไว้สวยหรู เอาเข้าจริงมันเป็นแค่การสร้างภาพให้ดูดี หรืออย่างมากก็ทำเป็นขึงขัง แต่ในที่สุดแล้วแทบทุกโครงการ หรือไม่ว่ารัฐมนตรีคนใดก็ตามที่ถูกกล่าวหาในเรื่องทุจริต ก็ไม่มีการลงโทษในทางการเมือง อย่างมากก็ทำได้เพียงแค่ “ชะลอ” ไปก่อน แต่เมื่อเรื่องเงียบ หรือมีแรงกดดันที่แข็งขืนเขาก็ยอมให้ผ่านไป พร้อมกับคำแก้ต่างให้เสร็จสรรพอย่างสวยหรู
ตัวอย่างกรณีการย้ายสนามบินดอนเมืองมาที่สุวรรณภูมิ ที่นายกฯอภิสิทธิ์ ไม่เห็นด้วยและให้รอผลศึกษาผลดีผลเสียเปรียบเทียบก่อน แต่ในที่สุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม โสภณ ซารัมย์ จากพรรคภูมิใจไทย ดึงดันที่จะย้ายก็ดึงดันเดินหน้าจนสำเร็จโดยที่นายกรัฐมนตรีได้แต่มองตาปริบๆ
การทุจริตโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสารพัดสีที่เริ่มทยอยประกวดราคา ลงนามก่อสร้าง ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีเคยออกมาพูดด้วยตัวเองในเรื่องการ “ตั้งราคากลาง” ที่สูงเกินจริงทำให้เกิดการ “ฮั้ว”ซึ่งบางเส้นทางมีผลสรุปของคณะกรรมาธิการ ปปช.ของสภาผู้แทนฯสรุปว่ามีการทุจริต แต่ก็ยังเดินหน้า
กรณีการทุจริตในกระทรวงพาณิชย์ ไม่ว่าจะเป็นการ “ระบายข้าว” อันอื้อฉาว หลายต่อหลายครั้ง หรือล่าสุดกรณีการอนุมัติขึ้นราคาน้ำมันปาล์มอีกขวดละ 6 บาทเป็นการเปิดทางให้บริษัทในกลุ่มการเมืองได้ผลประโยชน์นับพันล้านบาท ก็ปล่อยให้ผ่านไปไม่มีการตรวจสอบอย่างเอาจริงเอาจังแต่อย่างใด
กลายเป็นว่ารัฐบาลชุดนี้มีการทุจริตมากกว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ ทักษิณ ชินวัตร เสียอีก เพราะมีการผ่องถ่ายโครงการเข้าไป “สวมแทน” ได้อย่างแนบเนียนภายใต้ภาพลักษณ์ที่มีต้นทุนสูง และมีวาทศิลป์ในการพูดที่โดดเด่นสร้างความเคลิบเคลิ้มไปได้ตลอด
หรือแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเข้าพิจารณาในวาระที่สองในวันนี้(25 มกราคม) ที่ก่อนหน้านี้มีท่าทีคัดค้าน แต่เมื่อตัวเองได้ผลประโยชน์ มีความได้เปรียบในเรื่องเลือกตั้ง เอาใจพรรคร่วมรัฐบาล เขาก็ยอมกลับลำหน้าตาเฉย เหตุผลเพียงแค่ต้องทำตามคณะกรรมการปฏิรูปฯที่มีข้อสรุปเท่านั้น
กรณีล่าสุดที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ที่สะท้อนให้เห็นว่าภาวะผู้นำของ นายกฯอภิสิทธิ์ กำลังมีปัญหาอย่างหนัก ทำลายศรัทธาของประชาชนจนแทบป่นปี้ การออกรายการพิเศษชี้แจงกรณีทหารกัมพูชาจับกุม 7 คนไทยเมื่อค่ำวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมาเหมือนกับ “เปลือยกาย” ล่อนจ้อน เพราะนอกจากสวนทางกับความเป็นจริงแล้ว ยังขัดแย้งกันเองทั้งท่าทีและคำพูดของตัวเองและคนในรัฐบาลก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง
แม้รู้ดีว่าการออกมาชี้แจงดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อสกัดการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและกลุ่มคนไทยรักชาติต่างๆที่ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลไทยยกเลิกบันทึกความเข้าใจในเรื่องการสำรวจและปักปันเขตแดนทางบกร่วมไทย-กัมพูชาปี 2543 และยกเลิกบันทึกการประชุม 3 ฉบับของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา(เจบีซี) เนื่องจากเห็นว่าทำให้ไทยเสียเปรียบ เสียดินแดน และยังเห็นว่าการที่รัฐบาลยังดึงดันเดินหน้าในเรื่องเอ็มโอยูดังกล่าวเพื่อกลบเกลื่อนความผิดของตัวเองในอดีต
ในคำชี้แจงของนายกรัฐมนตรี มีสาระสำคัญก็คือยังยืนยันไม่ยกเลิกเอ็มโอยู โดยอ้างว่ามีผลดีเพราะทำให้กัมพูชาต้องเคารพข้อตกลงที่เคยลงนามเอาไว้ อีกทั้งยังอ้างว่าปัญหาชายแดนมีความสลับซับซ้อนแตกต่างกันและต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล ซึ่งแต่ละพื้นที่ไม่อาจใช้วิธีแก้ปัญหาที่เหมือนกันได้ตายตัว
อย่างไรก็ดีในประเด็น “บริเวณ” จุดที่ 7 คนไทยถูกกัมพูชาจับกุมตัวไปรวมไปถึงอำนาจศาลของกัมพูชากลายเป็นว่าเป็นคำพูดที่ “ขัดแย้ง” กันเองทั้งในเรื่องท่าทีของตัวเอง และบุคคลสำคัญในรัฐบาลหลายคน กลายเป็นว่าพวกเขา ได้ “สรุปความผิด” ให้กับคนไทย และยอมรับคำตัดสินของศาลกัมพูชาตั้งแต่ต้น แต่ล่าสุดในวันชี้แจงทางโทรทัศน์กลับพูดตรงกันข้าม
นายกรัฐมนตรีระบุว่า “ไม่แน่ใจ” ว่าจุดที่คนไทยถูกจับกุมเป็นพื้นที่ของใครกันแน่ เพราะยังไม่มีการสำรวจปักปันเขตแดนตามเอ็มโอยู 43 และ เจบีซี รวมทั้งคำตัดสินของศาลกัมพูชาไม่มีผลผูกพันกับไทย แต่ถ้าย้อนกลับไปเมื่อครั้งที่คนไทยเพิ่งถูกจับกุมใหม่ๆ ท่าทีของนายกฯบอกว่าคนไทยทั้ง 7 คนรุกล้ำ รวมไปถึง รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ด่วนสรุปทันทีว่า ล้ำแดนลึกเข้าไปถึง 1.2 กิโลเมตร กษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม รวมทั้งรองเจ้ากรมแผนที่ทหารที่มียศพลตรีคนหนึ่งก็ระบุในทำนองเดียวกันระหว่างมาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการต่างประเทศสภาผู้แทนที่มี ต่อพงศ์ ไชยสาส์น จากพรรคเพื่อไทยเป็นประธาน จนมีการแถลงในทำนองว่าคนไทยดังกล่าวสร้างความวุ่นวายทำนอง “แส่หาเรื่อง” ทำลายความสัมพันธ์เสียอีก
ถัดมาหลังจากนั้นคนสำคัญในรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าให้ยอมรับในกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชา โดยมีการตั้งทนายต่อสู้คดีตามขั้นตอน แทนที่จะมีการประท้วงให้มีการปล่อยตัวอย่างไม่มีเงื่อนไข ต้องรอการพิสูจน์เสียก่อน หรือแม้กระทั่งกำหนดการเดิมศาลกัมพูชานัดพิจารณาคดีในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ แต่กลับมีการขอร้องจนเลื่อนมาพิจารณาตัดสินเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้ รองนายกฯสุเทพถึงกับ “กราบ” ขอบคุณ ฮุนเซนที่กรุณาเห็นใจ
การออกมาชี้แจงทางโทรทัศน์ของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นอกจากหวังผลเพื่อสกัดกั้นการชุมนุมเปิดโปงของพันธมิตรฯและกลุ่มคนไทยรักชาติแล้ว ยังหวังทำลายความชอบธรรมของคนไทยดังกล่าว เนื่องจากเชื่อว่าด้วยภาพลักษณ์ที่ดี ลักษณะคำพูดที่ลื่นไหลฟังดูรื่นหู คงจะทำให้สังคมคล้อยตามว่า เขาฟังเหตุผลยึดผลประโยชน์ของชาติ ขณะที่ฝ่ายผู้ชุมนุมดื้อรั้น ก่อความวุ่นวาย อะไรประมาณนั้น แต่ถ้าสังเกตให้ดีในคำชี้แจงแทบทั้งหมดล้วน “ขัดกันเอง” และเป็นการกลบเกลื่อนความผิดของตัวเอง โดยเฉพาะกรณี “เอ็มโอยู 43” และ เจบีซี เท่านั้น
นาทีนี้ใครกันแน่ที่ดันทุรัง ทำลายศักดิ์ศรีของคนไทยและของชาติ !!