xs
xsm
sm
md
lg

ครม.ไฟเขียว มท.จัดงบหนุน อสม.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ศุภชัย ใจสมุทร
ที่ประชุม ครม.อนุมัติให้ ก.มหาดไทย จัดงบหนุน อสม.ชี้ช่วยเสริมสร้างการมีส่วนร่วมตามนโยบายของ รบ.ไฟเขียวร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายแก่ผู้ที่ไม่ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันอันตรายจากสาธารณภัย รับทราบความคืบหน้ามาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ จัดสรรอัตรา ขรก.จากผลการเกษียณอายุ พร้อมยุทธศาสตร์การบริหารจัดการ หนุนข้อตกลงความร่วมมือทาง ศก.ไทย-สโลวีเนีย ผ่านการกำหนดสินค้าและบริการควบคุมตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ.2542 พร้อมรับทราบ ความคืบหน้าการดำเนินโครงการจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการ พร้อมแต่งตั้งเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเบลารุสประจำประเทศไทย และกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร


วันนี้ (24 ม.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีแถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้กระทรวงมหาดไทย ดำเนินการตามมติ ครม.เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2552 เรื่อง เงินค่าใช้จ่ายสนับสนุนการดำเนินงานของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อให้องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) สามารถพิจารณาโครงการ อสม.เชิงรุกปี 2553 ได้ตามหน้าที่และเจตนารมณ์ของการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อให้เกิดกระบวนการมีส่วนร่วมในการพัฒนาท้องถิ่นและการมีส่วนร่วมตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงตอบสนองความต้องการของประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย นายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ จะจัดประชุมเพื่อหาข้อยุติเกี่ยวกับข้อทบทวนเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.52

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า ที่ประชุมเห็นว่า การพัฒนางานด้านสาธารณสุข เป็นภาระหน้าที่ของ อสม.และเป็นอำนาจหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ในด้านการรักษาพยาบาล การควบคุมโรค ที่จะต้องจัดทำแผนสาธารณสุขร่วมกับ อบจ.และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด จึงมีมติให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการตามมติ ครม.วันที่ 1 ธ.ค.52 ไปก่อน และให้สำนักงานคณะกรรมการการกระจายอำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไปเสนอต่อคณะอนุกรรมการเพื่อทบทวน และ ครม.เห็นสมควรให้ อบจ.ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ของ อบจ.ก่อน

ครม.ยังอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการชดเชยความเสียหายแก่ผู้เสียหาย ซึ่งไม่ใช่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการบำบัดภยันตรายจากสาธารณภัย พ.ศ. ... ตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา โดยให้รับความเห็นชอบของสำนักงบประมาณไปประกอบการพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไปได้

โดยให้ผู้อำนวยการท้องถิ่น หรือผู้ช่วยผู้อำนวยการกรุงเทพมหานคร ในพื้นที่ที่มีทรัพย์สินอยู่ รายงานต่อผู้อำนวยการจังหวัดหรือผู้อำนวยการกรุงเทพมหานคร เมื่อทรัพย์สินเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย จากการปฏิบัติงานตามอำนาจหน้าที่ในการป้องกันละบรรเทาสาธารณภัย โดยให้ผู้อำนวยการจังหวัด หรือผู้อำนวยการกรุงเทพมหานครแต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อทำหน้าที่ตามที่กำหนด

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า 1.กรณีที่ผู้เสียหายมิได้อยู่ในบัญชีรายชื่อผู้เสียหายและทรัพย์สินที่เสียหาย ผู้เสียหายนั้นอาจร้องขอชดเชยความเสียหายต่อผู้อำนวยการท้องถิ่น หรือผู้ช่วยผู้อำนวยการกรุงเทพมหานครในพื้นที่ที่ทรัพย์สินของผู้เสียหายตั้งอยู่ โดยให้ผู้อำนวยการท้องถิ่น หรือผู้ช่วยผู้อำนวยการกรุงเทพมหานครออกใบรับคำขอแก่บุคคลดังกล่าวไว้เป็นหลักฐาน แล้วส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าชดเชยความเสียหายแก่ทรัพย์สินของผู้เสียหายดำเนินการโดยเร็ว 2.ให้คณะกรรมการดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับการแต่งตั้ง หากไม่ดำเนินการได้ทันภายในกำหนดจะต้องรายงานปัญหาและอุปสรรคให้ผู้มีอำนาจแต่งตั้งทราบ เพื่อพิจารณาอนุมัติขยายระยะเวลาออกไปอีกไม่เกินสามสิบวัน 3.ให้คณะกรรมการพิจารณากำหนดค่าชดเชยความเสียหายโดยคำนึงถึงสภาพของทรัพย์สิน ราคาที่ซื้อขายกันตามปกติในท้องตลาด หรือเทียบราคาที่อ้างอิงจากราคากลางที่ทางราชการกำหนดตามที่เป็นอยู่ในวันที่เกิดความเสียหาย การเสื่อมราคาจากการใช้ การที่ทางราชการได้บรรเทา หรือแก้ไขความเสียหายไปแล้ว และปัจจัยอื่นที่จะทำให้เกิดความเป็นธรรม โดยให้นำหลักเกณฑ์การคำนวณค่าเสื่อมราคาทรัพย์สินที่ต้องเรียกชดใช้ตามความรับผิดทางละเมิดตามที่กระทรวงการคลังกำหนดมาใช้โดยอนุโลม 4.ให้จังหวัด หรือกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้เสียหาย โดยให้ใช้เงินจากงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉิน หรือจำเป็น

นอกจากนี้ ครม.รับทราบตามที่คณะกรรมการประสานงานและขับเคลื่อนการดำเนินงานตามมติคณะรัฐมนตรี (ปคค.) รายงานผลการติดตามการดำเนินการตามมติ ครม.เรื่องความคืบหน้าในการดำเนินการมาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ พ.ศ.2552-2556 คือ ฝ่ายเลขานุการ ปคค.ได้ประสานติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการตามมาตรการดังกล่าว ซึ่งฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) ได้มีหนังสือรายงานความคืบหน้ามาให้ทราบเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2554 ถึง

1.มาตรการบริหารอัตรากำลังปกติ ได้แก่ การจัดสรรอัตราข้าราชการจากผลการเกษียณอายุ โดย คปร.ได้ดำเนินการจัดสรรอัตราข้าราชการพลเรือนจากการเกษียณอายุ เมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ.2552 โดยยึดแนวทางที่กำหนดในมาตรการบริหารกำลังคนภาครัฐ (พ.ศ. 2552-2556) ตามมติ ครม.ในวันที่ 28 กันยายน 2553 ซึ่งไม่ให้เพิ่มอัตราข้าราชการตั้งใหม่ ในภาครวมสำหรับข้าราชการทุกประเภท ยกเว้นกรณีจำเป็นที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ไม่ยุบเลิกอัตราข้าราชการในภาพรวม และให้พิจารณาเกลี่ยอัตราข้าราชการจากผลการเกษียณอายุ เพื่อจัดสรรให้ส่วนราชการที่มีความจำเป็น

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า ได้กำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการจัดสรรอัตราข้าราชการพลเรือน ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และข้าราชการตำรวจ และได้มีมติจัดสรรอัตราว่างจากผลการเกษียณของข้าราชการปีงบประมาณ พ.ศ.2552 โดยคำนึงถึงความจำเป็นของส่วนราชการแต่ละประเภท ประเภทของภารกิจ และประเภทตำแหน่ง คือ 1.จัดสรรอัตราข้าราชการพลเรือนคืนให้ส่วนราชการทั้งหมด รวม 2,368 อัตรา โดยพิจารณาเกลี่ยกำลังคนตามความจำเป็นของส่วนราชการ 2.จัดสรรอัตราข้าราชการตำรวจคืนให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งหมดรวม 2,033 อัตรา เพื่อเกลี่ยเป็นอัตรากำลังตามเงื่อนไขที่ คปร.กำหนด 3.จัดสรรอัตราข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาคืนให้กระทรวงศึกษาธิการทั้งหมด รวม 4,639 อัตรา ในส่วนของการยุบเลิกอัตราลูกจ้างประจำ คปร.ได้ดำเนินการยุบเลิกอัตราลูกจ้างประจำที่ว่างจากการเกษียณอายุและว่างระหว่างปี ปีงบประมาณ พ.ศ.2552 รวม 9,000 อัตรา จำแนกเป็นยุบเลิกจากอัตราว่างจากการเกษียณอายุ จำนวน 6,877 อัตรา และอัตราว่างระหว่างปี จำนวน 2,123 อัตรา

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า 2.มาตรการบริหารจัดการเชิงยุทธศาสตร์ ได้กำหนดยุทธศาสตร์การบริหารกำลังคนให้สอดคล้องกับความจำเป็นตามภารกิจ ในปีงบประมาณ พ.ศ.2554 สำนักงาน ก.พ.ได้ดำเนินโครงการศึกษาทบทวนการใช้กำลังคนเพื่อปรับรูปแบบการจ้างงานและวางแผนปรับเปลี่ยนการใช้กำลังคนในส่วนราชการ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อสำรวจข้อมูลการใช้กำลังคนภาครัฐประเภทต่างๆ เพื่อเสนอแนะรูปแบบการใช้กำลังคนให้เหมาะสมกับภารกิจ นอกจากนี้ ยังมียุทธศาสตร์การพัฒนาระบบการวางแผนและติดตามประเมินผลการใช้กำลังคน ซึ่งได้ดำเนินโครงการเพื่อพัฒนาแนวทาง วิธีการ และเครื่องมือสำหรับการวางแผนกำลังคนในส่วนราชการ รวมทั้งยุทธศาสตร์การพัฒนาผลิตภาพและความคุ้มค่าของกำลังคนภาครัฐ รวมทั้งยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการบริหารกำลังคน ได้มีแผนที่จะปรับปรุงระบบสารสนเทศทรัพยากรบุคคลระดับกรม จังหวัด โดยมุ่งเน้นความสมบูรณ์ ครบถ้วน ถูกต้อง และทันเวลาของข้อมูลข้าราชการพลเรือนสามัญ รวมทั้งพัฒนาและปรับปรุงฐานข้อมูลของพนักงานราชการและลูกจ้างประจำ นอกจากนี้ จะส่งเสริมให้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้เป็นเครื่องมือในการบริหารและประเมินผลการปฏิบัติราชการ

คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและอนุมัติตามที่กระทรวงการต่างประเทศเสนอ คือ 1.เห็นชอบต่อร่างความตกลงว่าด้วยความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐสโลวีเนีย ซึ่งเป็นความร่วมมือแบบทวิภาคีระหว่างกันในด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การค้าและการลงทุน และความร่วมมือในสาขาอื่นๆ ที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจและมีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยให้กระทรวงการต่างประเทศสามารถเปลี่ยนแปลงถ้อยคำในส่วนที่ไม่กระทบต่อสาระสำคัญของความตกลงฯ ได้โดยไม่ต้องเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณา 2.อนุมัติให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ หรือผู้ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศมอบหมาย เป็นผู้ลงนามในความตกลงดังกล่าว

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า ได้แก่ 1.ร่างความตกลงฯ เป็นกรอบความร่วมมือทวิภาคีระหว่างไทยกับสาธารณรัฐสโลวีเนียแบบกว้างๆ โดยมีสาระสำคัญเพื่อเพิ่มความร่วมมือทวิภาคีระหว่างกันในด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การค้าและการลงทุน และความร่วมมือในสาขาอื่นๆ ที่ทั้งสองฝ่ายมีความสนใจและมีผลประโยชน์ร่วมกัน 2.ทั้งสองฝ่ายจะพยายามสร้างปัจจัยแวดล้อมที่เอื้อต่อการขยายการค้าการลงทุนระหว่างกัน เกื้อหนุนให้เกิดความร่วมมือในสาขาที่มีความสนใจร่วมกัน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจโดยรวม 3.ทั้งสองฝ่ายจะจัดตั้งสภาเศรษฐกิจไทย-สโลวีเนีย ซึ่งประกอบไปด้วยผู้แทนซึ่งได้รับการแต่งตั้งโดยรัฐบาลของแต่ละฝ่ายเห็นชอบการกำหนดสินค้าจำนวน 39 รายการ และบริการ จำนวน 2 รายการ รวม 41 รายการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ เป็นสินค้า และบริการควบคุม ในปี 2554 ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอ คือ 1.สินค้าควบคุม จำนวน 39 รายการ ได้แก่ หมวดอาหารสด คือ เนื้อสุกร กระเทียม และ ไข่ไก่ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม จำนวน 10 รายการ ได้แก่ กาแฟผงสำเร็จรูป ข้าวเปลือก ข้าวสาร ครีมเทียมข้นหวาน นมข้น นมคืนรูป นมแปลงไขมัน นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม โยเกิร์ต นมผง นมสด น้ำตาลทราย น้ำมัน และไขมันที่ได้จากพืชหรือสัตว์ ทั้งที่บริโภคได้หรือไม่ได้ แป้งสาลีอาหารกึ่งสำเร็จรูปบรรจุภาชนะผนึก และอาหารในภาชนะบรรจุที่ปิดสนิท หมวดของใช้ประจำวัน ได้แก่ แชมพู น้ำยาซักฟอก ผงซักฟอก ผลิตภัณฑ์ล้างจาน ผ้าอนามัย และ สบู่ หมวดกระดาษและผลิตภัณฑ์ กระดาษทำลูกฟูก กระดาษพิมพ์และเขียน กระดาษเหนียว (KRAFT PAPER) และเยื่อกระดาษ

นายศุภชัย กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ยังมีหมวดบริภัณฑ์ขนส่ง จำนวน 3 รายการ หมวดวัสดุก่อสร้าง จำนวน 3 รายการ ได้แก่ ปูนซีเมนต์ สายไฟฟ้า และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เหล็กแผ่น เหล็กเส้น หมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม ก๊าซปิโตรเลียมเหลว น้ำมันเชื้อเพลิง และเม็ดพลาสติก หมวดยารักษาโรคและเวชภัณฑ์ ได้แก่ ยารักษาโรค หมวดปัจจัยทางการเกษตร จำนวน 5 รายการ ได้แก่ ปุ๋ย ข้าวโพด มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ ยาป้องกัน หรือกำจัดศัตรูพืชหรือโรคพืช และ หัวอาหารสัตว์ อาหารสัตว์ หมวดทั่วไป ได้แก่ เครื่องแบบนักเรียน สำหรับบริการควบคุม ได้แก่ 1.การให้สิทธิในการเผยแพร่งานลิขสิทธิ์เพลงเพื่อการค้า และ 2.บริการรับฝากสินค้า หรือบริการให้เช่าสถานที่เก็บสินค้า ทั้งนี้ เมื่อคณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบรายการสินค้าและบริการควบคุมดังกล่าว และได้มีการนำลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา เพื่อให้มีผลบังคับใช้แล้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประธานคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ จะได้ออกประกาศกำหนดมาตรการทางกฎหมายต่อไป

พร้อมรับทราบความคืบหน้าการดำเนินโครงการจัดสวัสดิการเบี้ยความพิการตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอ โดยกระทรวงมหาดไทย รายงานว่า กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้โอนจัดสรรงบประมาณ โดยเบิกจ่ายจากงบเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนการเสริมสร้างสวัสดิการทางสังคมให้แก่คนพิการหรือทุพพลภาพ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2553 เป็นเงิน 166,301,500 บาท และเบิกจ่ายจากเงินกันเหลื่อมปีประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 รายการเงินอุดหนุนสำหรับสิทธิประโยชน์ข้าราชการและลูกจ้างถ่ายโอน (ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2553) เป็นเงิน 74,752,500 บาท เพื่อจ่ายเป็นเงินอุดหนุนสำหรับสนับสนุนการเสริมสร้างสวัสดิการทางสังคมให้แก่คนพิการหรือทุพพลภาพในงวดที่ 2 (งวดสุดท้าย) จำนวน 1 เดือน (เดือนกันยายน 2553) จำนวน 482,108 คน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 241,054,000 บาท แล้ว

คณะรัฐมนตรีอนุมัติตามที่รัฐบาลสาธารณรัฐเบลานุสเสนอแต่งตั้ง นายวาเลรี ซาโดโค (Mr. Valery Sadokho) ให้ดำรงตำแหน่งเอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐเบลารุสประจำประเทศไทยคนใหม่ แทน นายโอเลก เชคุนคอฟ (Mr.Oleg Chekunkov) โดยมีถิ่นพำนัก ที่กรุงฮานอย

ด้าน นพ.มารุต มัสยวาณิช รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอแต่งตั้ง นายสมชาย ชาญณรงค์กุล อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้แทนกรมส่งเสริมสหกรณ์ เป็นกรรมการในคณะกรรมการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร แทน นายวินัย กสิรักษ์ กรรมการที่ลาออก ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2554 เป็นต้นไป โดยให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งแทนนี้อยู่ในตำแหน่งตามวาระของผู้ซึ่งตนแทนตามนัยพระราชบัญญัติธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร พ.ศ.2509

รับทราบ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีให้ นายพิลาศ พันธโกศล ลาออกจากตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (รองนายกรัฐมนตรี พลตรี สนั่น ขจรประศาสน์) และเห็นชอบการแต่งตั้ง นายธัญธวัช แพงไธสง ให้ดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมือง ตำแหน่งที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี แทน นายพิลาศ พันธโกศล

นอกจากนี้ ยังอนุมัติตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) เสนอ นางสุรีย์ประภา ตรัยเวช เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด เป็นผู้ประสานงานคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา (ปคร.) ของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด
กำลังโหลดความคิดเห็น