“พนิช” เปิดแถลงข่าวแจงเหตุติดคุกเขมร ยันทำตามหน้าที่ ส.ส.ด้วยจิตใจบริสุทธิ์ ปฏิเสธทุกข้อหา ยันถูกจับในผืนแผ่นดินไทย พร้อมเข้าร่วมเปิดสมัยประชุมสภาฯ เตรียมลงมติโหวตแก้ รธน. ไม่ห่วงสถานะ ส.ส. รอศาล รธน.ชี้ขาด พร้อมเคารพคำตัดสิน แนะรัฐบาลสองฝ่ายเปิดเจรจาหาข้อยุติกรณีพิพาท
วันนี้ (24 ม.ค.) ที่โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท 49 ได้มีการแถลงข่าวโดยคณะแพทย์ผู้ให้การรักษานายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ที่เข้ารักษาตัวเมื่อช่วงเย็นของวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา ด้วยอาการอ่อนเพลีย คันตามร่างกายจากการถูกแมลงสาบ และตัวเรือดกัดตามตัว รวมถึงอาการมีไข้และอาการถ่ายเหลวร่วมด้วย
ทั้งนี้ นายพนิชได้แถลงข่าวด้วยชุดของโรงพยาบาล พร้อมด้วยผ้าคลุม แต่มีสีหน้ายิ้มแย้มว่า พวกเราทั้ง 7 คนซาบซึ้งที่สื่อมวลชนให้ความเป็นห่วงนช่วงเดือนที่ผ่านมา ตนต้องขอเป็นตัวแทนกลุ่ม ขอบคุณรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) นายกษิต ภิรมย์ รมว.การต่างประเทศ ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ และข้าราชการทุกคนที่สถานทูตไทยประจำประเทศกัมพูชาที่ทำงานหนักมาก แม้ว่าวันนี้ยังเหลืออีก 2 คนที่ยังถูกคุมขังอยู่ แต่เชื่อว่ารัฐบาลจะทำทุกวิถีทางให้กลับมาประเทศไทยโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ตนยังไม่ได้กลับบ้านเลยตั้งแต่ลงจากเครื่องฯ เพราะเดินทางมาโรงพยาบาลทันที เพราะคิดว่าตัวเองคงมีอาการบางอย่างที่ต้องให้แพทย์ตรวจ เพราะสิ่งที่ได้สัมผัสในเรือนจำเปรยซอร์เป็นสิ่งที่เป็นพิษ และเราเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะที่ถูกคุมตัวเรือนจำก็มีสัตว์หลายประเภท
นายพนิชกล่าวต่อว่า พวกเราทั้ง 7 คนได้ร่วมเดินทางไปในพื้นที่ด้วยเจตนาอย่างเดียว คือ ความบริสุทธิ์ใจ หลังจากที่มีประชาชนร้องเรียนและทราบถึงปัญหาของประชาชน ตนในฐานะส.ส.ก็ต้องลงไปดูในพื้นที่ให้เห็นกับตาตัวเองนี่คือเจตนาของเราที่บริสุทธิ์ แต่สถานะของแต่ละคนในคณะอาจแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในฐานะที่ตนเคยทำงานกระทรวงการต่างประเทศ ปัญหาที่จะกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้นเป็นสิ่งสุดท้ายที่จะให้เกิดขึ้น ซึ่งตนไม่คิดว่าสถานการณ์จะบานปลาย ทั้งนี้ หากย้อนไปเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตนมีภารกิจในวันที่ 30 ธ.ค. ก็มีภารกิจไปรับเสด็จฯ ที่หนองจอก ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ครอบครัวเตรียมพร้อมไปอยู่ด้วยกันช่วงปีใหม่ ซึ่งได้จองตั๋วเดินทางไปที่ จ.เชียงราย 3 วัน แต่สุดท้ายตนต้องเคานต์ดาวน์ที่เรือนจำเปรยซอร์ ก็ต้องขอโทษครอบครัว แต่เขาคงเข้าใจว่าสิ่งที่ทำเพื่อประโยชน์และทำไปด้วยความบริสุทธิ์ ในฐานะที่เป็นตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศก็ขอรับผิดชอบต่อการเป็น ส.ส. และต่อครอบครัวจากการกระทำของตัวเองที่ได้ทำไป ซึ่งระหว่างที่พูดถึงช่วงนี้นายพนิชพูดด้วยเสียงสั่นเครือ และมีน้ำตาคลอเบ้าเล็กน้อย
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องสถานะ ส.ส.ที่อาจจะมีการถูกตีความนั้น นายพนิชกล่าวว่า ตนเชื่อและให้ความเคารพในรัฐธรรมนูญ และเชื่อมั่นในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ หากมีการวินิจฉัยออกมาเป็นอย่างไร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับสถานะของตนก็ยินดีที่จะพร้อมรับ และตนจะทำงานในวันพรุ่งนี้โดยจะไปร่วมประชุมสภาฯ เพื่อทำหน้าที่ของ ส.ส.ไม่ให้ขาด หากทางโรงพยาบาลอนุญาต เพราะที่ผ่านมาตนไม่เคยขาดการประชุมเลย ทั้งนี้ ตนรู้สึกดีใจที่ได้กลับมาทันการเปิดประชุมสภาฯ
เมื่อถามว่า อาจถูกนำไปเป็นประเด็นต่อยอดทางการเมือง เพราะจะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ นายพนิชกล่าวว่า หากเคลื่อนไหวอย่างสงบ สันติ โดยเอาข้อมูลมาพูดกันในเชิงที่ไม่ให้เกิดความโต้แย้งในหมู่คนไทยด้วยกันเอง ทางรัฐบาลเองตนเชื่อว่าก็พร้อมน้อมรับข้อมูลของทุกฝ่ายเพื่อมาแก้ไขปัญหาจากการที่ผู้ชุมนุมเรียกร้องต่อรัฐบาล หากชุมนุมโดยสงบก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่ามีหลายฝ่ายมองว่าสถานการณ์เป็น ส.ส.อาจจะส่งผลต่อการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ นายพนิชกล่าวว่า ตนมั่นใจว่ายังทำหน้าที่ ส.ส. และลงมติได้ ส่วนในเรื่องของข้อกฎหมายก็ต้องขึ้นอยู่กับการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตาม ก็ต้องขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลด้วยว่าจะอนุญาตให้ตนออกจากโรงพยาบาลได้หรือไม่ ซึ่งตนเชื่อว่าจากการรักษาอย่างเต็มที่ หวังว่าพรุ่งนี้จะไปประชุมสภาฯ ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าในจุดที่ถูกจับได้ยืนยันหรือไม่ว่าเราไปรุกล้ำอย่างไร นายพนิชกล่าวว่า ตนปฏิเสธอยู่แล้ว ณ วันที่ตนถูกจับรวมทั้งวันที่ไปขึ้นศาล ตนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาอยู่แล้ว เพราะตนเข้าใจเสมอว่าที่เข้าไปเป็นพื้นที่ที่ยังไม่มีข้อยุติ อยู่ในขั้นเจรจาและจริงๆ แล้วไม่ควรมีใครเข้าไปอยู่ แต่เมื่อออกมาแล้วและทราบข้อมูลจากกระทรวงการต่างประเทศ และนายกฯ เราเองก็เคารพข้อมูลที่รัฐบาลทั้ง 2 ประเทศมี ตนยืนยันว่าที่ให้การในศาลได้ตอบชัดเจน แต่ข่าวที่ออกมาว่าตนยอมรับนั้นไม่จริง ตนปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ถึงวันนี้ยังยืนยันว่าเป็นพื้นที่ที่เป็นข้อพิพาทอยู่
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรที่มีคนมองว่า เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ไทยเพลี่ยงพล้ำในเรื่องของข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา นายพนิชกล่าวว่า ความจริงก็คือความจริง เพราะข้อมูลของทั้ง 2 ประเทศอ้างอิงอาจไม่ตรงกัน แล้วแต่คนจะมองว่าเราอาจตกเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบ แต่กรณีคนไทยทั้ง 7 คนทั้งรัฐบาลไทย-กัมพูชา ต้องนำมาข้อมูลจากทุกฝ่ายมาพูดคุยกันเพื่อแก้ปัญหานี้ ดังนั้น ตนไม่มองว่าใครเสียเปรียบได้เปรียบ เพราะรัฐบาลมีหน้าที่ต้องเจรจาต่อไป วันนี้เรายังไม่ได้มีการเซ็นต์อะไร ต้องสู้ตามแนวทางข้อมูลของเรา ตนไม่อยากให้ในอนาคตต้องมีใครมาตกอยู่ใสถานการณ์แบบเรา เชื่อว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการนำเรื่องนี้มาเจรจาได้ ส่วนเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบหรือไม่นั้นอยู่ที่กระบวนการข้อมูล
เมื่อถามว่าแท้จริงแล้วเราต้องการเดินไปยังหลักเขตแดนที่ 46 หรือ 47 กันแน่ นายพนิชกล่าวว่า เป้าหมายของเราเดินไปในพื้นที่ที่ประชาชนร้องเรียนและอ้างว่ามีเอกสารสิทธิ แต่ไม่มีใครเคยเห็นหลักเขตแดน 46 ว่าอยู่ตรงไหนจริงๆ เพราะนายวีระก็ยังไม่เคยเห็นตอนเข้าไปครั้งแรก เราเข้าใจตอนแรกว่าหลักเขต 46 คือหลักเขตที่ 47 หลังจากได้ออกมาดูข้อมูลแล้ว ซึ่งเป็นความเข้าใจของเราว่าจะเดินไปที่หลักเขต 46 แต่กลับเดินไปในหลักเขตที 47 เพราะจากจุดที่เรายืนหลักเขตแดนที่ 46 อยู่ซ้ายมือนิดเดียว ดังนั้น เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับว่ามีความตั้งใจและการเข้าไปเพื่อไปดูพื้นที่ ซึ่งมีอยู่ 2-3 จุดที่เรามีหลักฐาน ทั้งบริเวณสระน้ำว่ามีเอกสารสิทธิ์
เมื่อถามว่านายกฯ บอกว่าจะไป จ.ปราจีนบุรี แต่ทำไมถึงได้ไป จ.สระแก้วได้ นายพนิชกล่าวว่า เป็นการประสานงานที่ตอนแรกได้รับการร้องเรียนจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่ร่วมคณะไปด้วย ช่วยไปดูพื้นที่ที่ปราจีนฯ โดยไม่ได้เอะใจว่า จ.ปราจีนฯ ในอดีตเป็น จ.สระแก้วอยู่ ตนก็บอกนายกฯ และขออาสานายกฯ เข้าไปดูปัญหาประชาชน นายกฯ ก็บอกว่าเป็นเรื่องที่ดี จึงได้มาลงพื้นที่วันนั้น
ผู้สื่อข่าวถามว่าได้บทเรียนอะไรกับเรื่องนี้ นายพนิชกล่าวว่า คิดว่าเป็นบทเรียนสำคัญมากอันหนึ่งว่า เราคงไม่ต้องกลัวอะไรหากมีความตั้งใจบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์สุจริตในสิ่งที่ทำ ทำแล้วก็ยินดีรับสภาพรับการตรวจสอบ และต้องชี้แจง แต่ก็หวังว่าจะเป็นตัวอย่าง ซึ่งอย่างน้อยไม่ให้เกิดขึ้นในอนาคตอีก สำหรับคนไทยที่ต้องเจอปัญหาพรมแดน และอยากให้อนาคตสามารถจารึกไว้ได้ว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้ตั้งใจและไม่ได้ทำในสิ่งที่จะเป็นปัญหาให้กับประชาชน เมื่อถามว่าหากมีชาวบ้านมาร้องเรียนอีกจะกบ้าไปอีกหรือไม่ นายพนิชกล่าวว่า ไป แต่คงต้องดูข้อมูลให้ละเอียดกว่านี้ เพราะเราไม่เคยมีความตั้งใจเข้าไปในพื้นที่กัมพูชา เพราะเคารพในเอกราชของประเทศเพื่อนบ้านอยู่แล้ว แต่หากมีประชาชนมาร้องเรียนอีกก็เป็นหน้าที่ของ ส.ส. แต่ตนก็แปลกใจว่าทำไมมาร้องเรียนกับ ส.ส.กทม. ไม่ไปร้องเรียนกับ ส.ส.สระแก้ว
เมื่อถามว่าคิดว่าเป็นการถูกหลอกหรือไม่ นายพนิชกล่าวว่า ไม่เป็นการหลอกแน่นอน เพราะตนเชื่อในความบริสุทธิ์ใจของทั้ง 7 คน ที่ต้องการเข้าไปดูพื้นที่ เพื่อกลับมารายงานให้ผู้ใหญ่ในรัฐบาลและ กมธ. ทั้งนี้ ตนเข้าไปในฐานะคนไทยมีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยและผืนแผ่นดินไทย ดังนั้น ไม่มีใครหลอกตนได้ เพราะเข้าไปด้วยความตั้งใจที่บริสุทธิ์ใจ
ผู้สื่อข่าวถามว่าคำให้การของนายพนิช เหมือนกับนายวีระและนางราตรีหรือไม่ ในเรื่องการรุกล้ำเขตแดน นายพนิชกล่าวว่า ตนเชื่อว่าคำให้การของตนชัดเจนว่า ตอนที่ถูกจับ ตนยังเชื่อว่าอยู่ในพื้นที่ที่มีข้อพิพาทกันอยู่โดยยังตกลงกันไม่ได้ ดังนั้น แนวทางการสู้คดีของเรากับนายวีระก็เป็นไปในทิศทางเดียวกัน แต่ของนายวีระอาจจะต่างกันเพราะเพิ่มขึ้นมาอีกข้อหนึ่ง เพราะเขาอ้างว่าไปโจรกรรมข้อมูลในพื้นที่ทางการของกัมพูชาด้วย ดังนั้น เราเองก็เคารพในการตัดสินใจในการสู้คดีของนายวีระและนางราตรี แต่ตนเชื่อว่าศาลกัมพูชาพิพากษาก็เป็นเรื่องของตัวบุคคล ซึ่งคงไม่เกี่ยวข้องและผูกพันกับรัฐบาล และเขาก็คงนำไปอ้างไม่ได้ เพราะไม่ใช่เรื่องของตัวบุคคล
เมื่อถามว่าเป็นห่วงคนไทยอีก 2 คนที่ยังไม่รับการปล่อยตัวหรือไม่ นายพนิช กล่าวว่า ก็เป็นห่วง เพราะได้มีโอกาสเจอนางราตรี 4-5 วันก่อนที่ตนจะกลับมา อย่างไรก็ตาม เราเองก็ต้องเชื่อว่ารัฐบาลต้องทำทุกทางที่จะช่วยให้กลับมาได้ แต่วันนี้นายวีระเองอาจไม่ได้รับข้อมูลทั้งมด จึงเป็นห่วงเรื่องข้อมูลที่นายวีระได้รับเพื่อจะมาสู้คดี แต่ก็ได้รับการยืนยันจากนายกฯ ตั้งแต่วันแรกที่ก้าวออกมาจากเรือนจำว่ารัฐบาลจะช่วยทั้ง 7 คนให้กลับมาโดยเร็วที่สุด อยากให้คนที่มีโอกาสเจอนายวีระและนายราตรีได้ไปยืนยันด้วย การต่อสู้ก็เป็นสิทธิของแต่ละคนรัฐบาลไปก้าวก่ายการต่อสู้ของคดีไม่ได้
พญ.อรอุมา บรรพมัย ผู้เชี่ยวชาญด้านติดเชื้อ แถลงว่า จากผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ สงสัยว่านายพนิชอาจมีอาการติดเชื้อมาเลเลียที่เกิดจากการถูกยุงกัด และไข้ไทฟอยด์ ซึ่งเกิดจากได้รับเชื้อแบคทีเรียที่ปะปนมากับอาหารและน้ำดื่ม จึงทำให้เกิดอาการถ่ายเหลวร่วมด้วย ทั้งนี้ ทางแพทย์ได้ทำการรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นดูแลและสังเกตการอย่างใกล้ชิด และได้มีการส่งตรวจเลือด และอุจจาระเพิ่มเติม ซึ่งคาดว่าน่าจะใช้เวลา 5-7 วันถึงจะยืนยันได้ว่าติดเชื้อโรคอะไรบ้าง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดในโรงพยาบาล เบื้องต้นนายพนิชอาการดีขึ้น แต่คงต้องสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด หากไม่มีไข้ก็คงให้กลับบ้านได้ แต่ต้องติดตามอาการโดยจะนัดให้มาโรงพยาบาลอีก
ผู้สื่อข่าวถามว่าจะสามารถออกจากโรงพยาบาลไปประชุมสภาฯ ในวันพรุ่งนี้ (25 ม.ค.) ได้หรือไม่ พญ.อรอุมากล่าวว่า อาจจะไปประชุมได้แต่ต้องมีการประเมินอีกครั้งในช่วงบ่ายวันนี้ (24 ม.ค.) ส่วนโรคอื่นๆ นั้น ได้มีการตรวจเช็กเพิ่มเติม เช่น โรคตับอักเสบ โรคฉี่หนู แต่เบื้องต้นก็ยังตรวจไม่พบ ส่วนสภาพจิตใจโดยรวมนั้นมีความเข้มแข็ง และอารมณ์ดี