xs
xsm
sm
md
lg

“ล้วนชาย ว่องวานิช” กับประสบการณ์เฉียดตาย เพราะกินวิตามินเกินขนาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

By Lady Manager

“เมื่อก่อนผมคือ ผู้ชายระเบิดเวลา ใช้ชีวิตแบบรอวันระเบิด”

คุณล้วนชาย ว่องวานิช นักธุรกิจหนุ่มใหญ่ หนึ่งในทายาทห้างขายยาอังกฤษตรางู เริ่มต้นบทสนทนา ด้วยประโยคแปลกหูที่ชวนให้ต้องสงสัย ว่าผู้ชายยิ้มนิ่มๆ มาดสุขุมผู้นี้ เคยเป็นมนุษย์ระเบิดเวลาได้อย่างไร และอะไรคือความหมายของคำว่า “ระเบิดเวลา”

นักธุรกิจใหญ่ ผู้คร่ำหวอดอยู่ในวงการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มานับสิบปี ขยายความถึงคำว่าใช้ชีวิตแบบระเบิดเวลา ให้เราฟังว่า

“สมัยก่อน นอกจากธุรกิจห้างขายยาอังกฤษตรางูของทางบ้านแล้ว ผมก็ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาตลอด พัฒนาอาคาร อพาร์ทเม้นท์ คอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร จนกระทั่งมาถึงปี 1997 ซึ่งเป็นยุคต้มยำกุ้ง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของผมประสบปัญหาค่อนข้างมาก ก็ทำให้เกิดภาวะของความเครียด และภาวะของความเครียดนี่แหละ ทำให้เกิดปัญหาเรื่องสุขภาพกับผมอย่างรุนแรง จนกระทั่งต้องไปนอนอยู่ในห้องไอซียู ด้วยอาการของโรคหัวใจ

และที่บอกว่าใช้ชีวิตเหมือนระเบิดเวลา ก็คือ เวลานั้น เมื่อผมเริ่มเป็นโรค แทนที่จะแก้ไขให้ถูก แต่ผมดันแก้ปัญหาสุขภาพตัวเองแบบผิดๆ ด้วยการใช้ชีวิตที่ห่างไกลจากธรรมชาติ ห่างไกลจากการเข้าใจตนเอง ไม่รู้ว่าเราจะต้องดูแลตัวเองยังไง ปรับความคิดยังไงไม่ให้เครียด ต้องออกกำลังกายแบบไหน ขับถ่ายอย่างไร คือ ไม่สนใจเลย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการดูแลตัวตัวเองมันต้องลงมือทำ ไม่ใช่ว่าใช้เงินซื้อได้”

เฉียดตาย! เพราะกินวิตามิน-อาหารเสริมเกินขนาด

ทายาทห้างขายยาอังกฤษตรางูเล่าต่อว่า ความผิดพลาดของเขาในตอนนั้น คือ การคิดว่าเงินสามารถซื้อสุขภาพที่ดีกลับคืนมาได้

“ตอนนั้นพอเครียด ก็เป็นโรคหัวใจ พอเป็นหนักเข้า หมอจึงแนะให้ผ่าตัด ผมก็ไม่ผ่า คิดว่ามาอาศัยอาหารเสริม ก็น่าจะช่วยให้ร่างกายกลับมาดีได้ ก็ทานไปทานมาประมาณ 2 ปีกว่า แทนที่มันจะดีขึ้น แต่กลับทรุดเลย จากที่หัวใจแย่อยู่แล้วก็ยิ่งแย่กว่าเดิม ส่วนตับก็เกิดภาวะของโรคอักเสบเฉียบพลัน เพราะว่าเรากินอาหารสุขภาพ พวกวิตามิน และอาหารเสริมเยอะเกินไป ตอนนั้นผมแย่มาก ทานอะไรก็อาเจียน ได้กลิ่นแล้วคลื่นไส้ตลอด แม้กระทั่งเวลานอน ตีสอง ตีสาม ก็นอนไม่หลับมันคลื่นไส้ ต้องลุกขึ้นมาอาเจียนกลางดึกประจำ

คือสมัยนั้น ผมทานวิตามินเสริมเป็นสิบๆ ชนิดต่อวัน ในตู้เย็นที่บ้านจะเต็มไปด้วยอาหารเสริม วางเรียงกันเป็นตับ มีหมดตั้งแต่หัวจรดเท้า มีทั้งแบบเม็ด แบบแคปซูล (capsule) เป็นทั้งยาเม็ด ยาน้ำ ใครบอกว่าอะไรดี ทานหมดเลย แล้วเวลาไปต่างประเทศก็ไปตระเวนซื้อมา เห็นอันโน้นก็ดี อันนี้ก็ดี ก็ซื้อมาหมด เพราะเราคิดว่าดีกับดี มันก็ยิ่งดี ที่ไหนได้ ดี...ดี..ดี บวกกัน มันกลายเป็นพิษ กลายเป็นลบ”

หลังพบวิกฤติ จึงเจอทางออก...

หลังทนทรมานจากโรคตับอักเสบได้ราว 1 ปี เมื่อชีวิตถึงภาวะวิกฤติ จึงถึงวันที่เขาต้องตั้งสติ และแก้ปัญหาดังกล่าว ด้วยความรู้ที่มี

“จริงๆ แล้ว ผมเป็นคนที่มีความรู้เรื่องสุขภาพอยู่แล้ว ที่บ้านก็ทำธุรกิจด้านนี้ มีความรู้เรื่องการปฏิบัติธรรม สมาธิก็ทำอยู่แล้ว แต่ในระหว่างที่เราใช้ชีวิตอย่างนั้น ที่เอาแต่เครียด เอาแต่กินวิตามิน มันเหมือนคนที่ใช้ชีวิตด้วยความสติแตก มันไม่เอาสิ่งที่เรารู้มาใช้เลย แล้วเราก็ต้องการทำอะไรที่มันรวดเร็วทันใจ หวังไปพึ่งเรื่องวิตามิน อาหารเสริมเป็นตัวหลัก ซึ่งจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่คำตอบ

จนในที่สุดเมื่อตั้งสติได้ เราก็กลับมาที่วิชาความรู้ที่เรารู้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน, การพักผ่อน, การทำสมาธิ, เดินลมปราณ, ทำโยคะ และดูแลความเครียดของตัวเอง ซึ่งเรื่องเหล่านี้เองที่พาตัวผมกลับมา พ้นจากสภาวะที่เลวร้ายทางด้านสุขภาพ จนกระทั่งกลับมาตอนนี้ ผมว่าชีวิตดีกว่าเดิมตั้งเยอะ”

มุ่งมั่น ปั้นธุรกิจอุดมคติ

ด้วยทางออกที่คุณล้วนชายค้นพบ ซึ่งพลิกชีวิตให้กลับมามีสุขภาพดีอีกครั้ง นักธุรกิจด้านอสังหาฯ อย่างเขา จึงผันตัวเองมาทำธุรกิจด้านการดูแลสุขภาพแบบองค์รวมภายใต้ชื่อ “จีรังสปา” ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่อยากเห็นใครต้องเผชิญชะตากรรมแบบเดียวกับตนเอง

“เพราะเรารู้ดี ว่ามีคนอีกเยอะมากในสังคม ที่เดินแบบเดียวกับเราเป๊ะเลย คือ กำลังเหมือนระเบิดเวลาซึ่งรอวันที่จะระเบิด แต่เราโชคดีที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ขณะที่หลายๆ คนเขาไม่ได้มีโอกาสอย่างเรา ถ้าสมมุติเขาต้องเจ็บป่วยด้วยโรคที่ต้องใช้เงินเยอะๆ เงินทองที่เขาเก็บมา สะสมมาตลอดชีวิตมันจะหายไปเลย

ซึ่งผมเห็นว่า สังคมไทยโดยเฉพาะสังคมเมือง ยังมีคนอีกจำนวนมาก ที่กำลังประสบปัญหาอย่างนี้ แต่ไม่รู้ตัว หรือไม่รู้วิชาที่จะมาแก้ไขปัญหาดังกล่าว ผมถึงเกิดแรงบัลดาลใจ ว่าอยากจะทำอะไรบางอย่างที่เราทำแล้วเกิดประโยชน์ ซึ่งมองไปก็ไม่พ้นเรื่องของสุขภาพ การดูแลสุขภาพในหลากหลายมิติ ทั้งสุขภาพกาย สุขภาพอารมณ์ สุขภาพจิต จีรังสปา จึงเกิดขึ้นเพื่อให้ความรู้และดูแลเรื่องทั้งหลายเหล่านี้”

ด้วยความที่ธุรกิจด้านสุขภาพนี้ เป็นธุรกิจเล็กๆ เท่านั้น หากเทียบกับธุรกิจหลักของครอบครัวอย่างห้างขายยาอังกฤษตรางู หรือธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ที่สร้างผลกำไรได้มากกว่าหลายเท่า นักธุรกิจหนุ่มผู้นี้ จึงเรียกจีรังสปาว่า “ธุรกิจในอุดมคติ”

“มูลค่าธุรกิจนี้ กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มันต่างกันมาก ผมถึงเรียกว่านี่แหละ คือ ธุรกิจในอุดมคติ คือมันเป็นธุรกิจที่ผมอยากทำ เพราะรู้ว่าเมื่อมันเกิดประโยชน์กับเรา มันก็น่าจะมีประโยชน์กับคนอื่น ซึ่งทุกวันนี้ ก็เริ่มเห็นแล้วว่ามันมีประโยชน์กับคนอื่นจริงๆ เราก็ดีใจและยิ่งอยากทำให้มันเกิดประโยชน์มากที่สุด ผมเลยตั้งใจว่าจะพยายามทำธุรกิจด้านนี้อย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องอสังหาริมทรัพย์ก็ยังทำอยู่ แต่ไม่ได้ทำในระดับที่ใหญ่แล้ว คือ จะทอนส่วนนั้นลงมา แล้วมาทุ่มเทให้กับตรงนี้ก่อน”

ปัจจุบันจีรังสปา มี 2 แห่ง คือ ที่ชั้น 1 อาคารว่องวานิช ถนนพระรามเก้า คลินิกกลางใจเมืองที่มีทั้งโปรแกรมทรีตเมนท์ (treatment) ดูแลความงามภายนอก ไปจนถึง course การฝึกลมปราณ และโยคะ เพื่อล้างพิษทางอารมรณ์ให้กับคนเมือง แต่หากใครมีเวลาว่าง แล้วอยากล้างพิษอย่างเต็มสูตร คุณล้วนชายแนะนำให้ไปเยือน จีรัง เฮลธ์ วิลเลจ (Jirung Health Village) ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งที่นั่นเขาตั้งใจเนรมิตพื้นที่กว่า 75 ไร่ ให้เป็นหมู่บ้านสุขภาพ ที่จะสร้างความสมดุลทั้งด้านร่างกายและจิตใจให้กับลูกค้าอย่างเต็มที่

“ผมตั้งใจทำ จีรัง เฮลธ์ วิลเลจ ให้เป็นหมู่บ้านสุขภาพ ที่ให้ทุกคนมาอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน และเราจะแนะนำให้ลูกค้าหรือแขกที่มาเยือนได้รู้จักกับสิ่งดีๆ ทั้งการกิน การอยู่ การทำจิตใจ โดยมีผู้เชี่ยวชาญศาสตร์การบำบัดสุขภาพแผนไทย แผนตะวันออก และพุทธวิธี ซึ่งเป็นศาตร์ที่สืบทอดมากว่า 2,500 ปีคอยให้คำแนะนำ โดยที่เราแบ่งหมู่บ้านเป็นโซน (zone) ต่างๆ หลายโซน ทั้งโซนของการเกษตรปลอดสารพิษ โซนออกกำลังกาย ไปจนถึงโซนของการฝึกอารมณ์”

นอกจากจะสร้างธุรกิจเพื่อสุขภาพแล้ว คุณล้วนชายยังบริการสังคมอีกอย่างด้วยการตั้งมูลนิธิเพื่อส่งเสริมวิปัสสนา ที่เปิดให้ผู้สนใจได้เข้าร่วมฝึกวิปัสสนาฟรี อีกด้วย

“สำหรับที่เชียงใหม่ ผมไปตั้งมูลนิธิเพื่อส่งเสริมวิปัสสนาเอาไว้ด้วย ชื่อ มูลนิธิรัศมีแห่งธรรม ซึ่งเราก็จัดวิปัสสนากรรมฐาน ฟรีทุกเดือน ที่จีรัง เฮลธ์ วิจเลจ นี่แหละ หากใครสนใจเข้ามาดูที่เว็บไซต์ของ จีรัง เฮลธ์ วิลเลจ ก็จะเห็นตางของเราทุกเดือน แต่ละครั้งมีคนเข้ามามากครับ ครั้งหนึ่งก็เป็นร้อย มาครั้งละ 3-4 วัน ซึ่งเราก็จะมีการนิมนต์ครูบาอาจารย์ เข้ามาสอนการปฏิบัติธรรมแบบไม่ซ้ำ แต่ละท่านก็แต่ละวิธี ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้ที่มาปฏิบัติได้มาก”

และการทำจุดนี้เอง ที่ทำให้ได้ค้นพบ ความสุข...ที่เขายืนยันว่า “เงินซื้อไม่ได้”

“เวลาเห็นคนที่มาร่วมกับเรา แล้วรู้สึกดีมาก มันเป็นอะไรที่พูดไม่ถูกนะ มันมากกว่าความสุขเรื่องเงินทองนะ ความสุขของการที่เราได้ช่วยคน แล้วได้รู้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่ง ที่ช่วยพัฒนาสังคม มันเป็นความสุขที่มหาศาลจริงๆ แล้วผมก็เชื่อว่า ความสุขแบบนี้มันหาซื้อด้วยเงินไม่ได้ ซึ่งผมก็อยากจะทำให้มันควบคู่กันไปกับธุรกิจด้วย เพราะคุณพ่อ (ดร.บุญยง ว่องวานิช) ท่านก็ฝากไว้ ว่าให้คุณธรรมนำธุรกิจ หมายถึงว่าทำธุรกิจด้วย และก็สร้างเสริมคุณธรรม พัฒนาสังคมไปในตัว

ดังนั้นผลกำไรของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กับธุรกิจตัวนี้ จึงเทียบกันไม่ได้หรอก แต่ว่าใครจะไปรู้ พระพุทธเจ้าท่านบอกทำดีได้ดี ไม่แน่ว่าธุรกิจตรงนี้ในอนาคตอาจจะดีมากๆ ก็ได้ แต่มันไม่ใช่เป้าหมายของเรา เพราะผมเชื่อว่าเมื่อไหร่ที่ทำดีแล้ว มันเกิดความพอใจสูงสุดสำหรับผมแล้ว”

“ล้วนชาย” ในวันนี้... อยู่ร่วมกับโรคร้ายได้ อย่างเป็นสุข

ณ วันนี้ “ล้วนชาย” ที่ผ่านประสบการณ์ การต่อสู้กับโรคหัวใจมากว่า 9 ปี บอกว่า แม้ปัจจุบันโรคหัวใจ จะยังไม่หายขาด แต่เขาก็เชื่อว่าจะสามารถควบคุม และอยู่ร่วมกับเจ้าโรคนี้ได้อย่างมีความสุข

“ตอนนี้ผมไม่ต้องไปผ่าตัดหัวใจแล้ว เพราะผมมั่นใจว่าสภาวะร่างกายของผมดีขึ้นเยอะ คือเรารู้ครับว่าสภาพความแข็งแรงของเราเป็นอย่างไร แต่ถ้าถามว่าโรคหัวใจหายไปเลยมั้ย ผมเชื่อว่า เมื่อเราเป็นโรคแล้ว โอกาสที่จะหาย 100% ไม่มีหรอก ผมว่าไม่มีโรคไหนที่เราจะสามารถยืนยันได้ ว่าหายขาด ผมเชื่อว่าโรคนั้นยังอยู่ และก็จะโชว์ตัวบ้าง ถ้าเราเหนื่อยมากๆ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องพยายามควบคุม ดูแล สุขภาพของเราให้ดี คือ อยู่ร่วมกับโรคให้ได้ และก็ควบคุมเขาได้ถึงระดับหนึ่ง ไม่ให้เขามาทำร้ายเรา”

โดยการจะควบคุม และอยู่กับโรคร้ายได้อย่างเป็นสุข และมีสุขภาพดีนั้น เขายังคงเชื่อว่ามาจากพื้นฐานด้านจิตใจเป็นสำคัญ

“ผมคิดว่าคนถ้าจะมีสุขภาพดี มันต้องเริ่มมาจากจิตใจ เริ่มมาจากสุขภาวะทางอารมณ์ เมื่ออารมณ์ดีแล้ว จึงจะก้าวไปสู่การพัฒนา ทั้งเรื่องของร่างกาย และจิตใจได้ หรือแม้แต่เรื่องของการทำสมาธิ อารมณ์ก็เหมือนโซ่ห่วงกลางที่คล้องระหว่างร่างกาย กับจิตใจเข้าด้วยกัน ถ้าอารมณ์ดี ทุกอย่างสามารถที่จะพัฒนาต่อไปได้ง่าย แต่ถ้าอารมณ์แย่สักอย่าง มีความทุกข์อัดอั้น อยู่ในใจ การที่จะไปทำอย่างอื่นมันยาก แม้แต่จะอยู่ร่วมกับคนอื่นด้วยความสันติยังยากเลย

ฉะนั้นถ้าอารมณ์ไม่ดี ทุกอย่างจะไม่ดี ความเครียดเป็นตัวร้ายมาก เป็นตัวที่ทำให้เกิดความเจ็บป่วยทางกาย ทำให้ไม่สามารถพัฒนาจิตใจตัวเองได้ ฉะนั้นผมถึงเน้นเรื่องอารมณ์ก่อน พออารมณ์ดีทุกอย่างจะดีตามมา” คุณล้วนชาย ส่งยิ้มนิ่มนวล ผ่านมาทางนัยน์ตาที่แฝงไปด้วยความเข็งแข็ง เพื่อปิดท้ายการสนทนา ราวกับจะบอกให้ทุกคนเชื่อเช่นเดียวกับเขาว่า

“ไม่ว่าโรคภัยจะร้ายแรงเพียงใด แต่คุณจะสามารถสู้ และผ่านพ้นมันไปได้ โดยมีอาวุธพื้นฐานคือ สติ และจิตใจที่เข้มแข็ง”


>>
อัพเดตข่าวในแวดวงสังคม ก็อซซิป แฟชั่น ความงาม และเที่ยว กิน ดื่ม เพิ่มเติมได้ที่ 
 http://www.celeb-online.net
กำลังโหลดความคิดเห็น