ศาลเบิกตัว “ณัฐวุฒิ” แกนนำ นปช.ไต่สวนข้อเท็จจริงกรณี “พิเชษฐ์ สุจินดาทอง” แนวร่วม นปช. จำเลยคดีก่อการร้ายยื่นอุทธรณ์คำสั่งประกันตัว อ้างป่วยเป็นโรคหัวใจ ขณะที่ภรรยาและลูกชายพร้อมกลุ่มคนเสื้อแดงมาให้กำลังใจบางตา
วันนี้ (7 ม.ค.) เมื่อเวลา 09.00 น.ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลได้เบิกตัวนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มาเป็นพยานเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง กรณีนายภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุจินดาทอง อายุ 53 ปี แนวร่วม นปช. ซึ่งเป็นจำเลยที่ 11 คดีร่วมก่อการร้าย ได้ยื่นอุทธรณ์คำสั่งประกันตัว โดยอ้างในคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวว่าป่วยเป็นโรคหัวใจ
ต่อมาศาลอุทธรณ์จึงมีคำสั่งแจ้งให้ศาลอาญา ซึ่งเป็นศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนหาข้อเท็จจริงในวันนี้ ที่ห้องพิจารณาคดี 708 โดยวันนี้มีนางสิริสกุล ใสยเกื้อ ภรรยา พร้อมบุตรชายและกลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งเดินทางมารอพบเพื่อให้กำลังใจด้วย
โดยวันนี้ ศาลได้เบิกตัวนายภูมิกิติ จำเลยที่ 11 ผู้ร้อง และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. จำเลยที่ 3 จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ ฯ มาเป็นพยานเพื่อไต่สวนข้อเท็จจริง ร่วมกับนายแพทย์วิชัย ถาวรวัฒนยงค์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจโรงพยาบาลพระราม 9 ซึ่งเคยเป็นแพทย์ผู้ตรวจรักษานายภูมิกิติจำเลยที่ 11
ทั้งนี้ทนายความได้ให้นายภูมิกิติหรือพิเชษฐ์ สุจินดาทอง จำเลยที่ 11 เบิกความต่อศาลเป็นพยานปากแรก โดยเบิกความว่า ถูกตำรวจกองปราบปรามจับกุมเมื่อวันที่ 16 พ.ค.2553 เวลาเที่ยงคืนเศษ ก่อนหน้านั้นได้มีอาการไข้สูงเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ จึงเดินทางไปพบแพทย์ รพ.พระราม 9 เมื่อวันที่ 10 พ.ค. แพทย์ได้รักษาอาการและตรวจเลือด พบว่าติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี และมีอาการความดันเลือดสูง หัวใจเต้นผิดปกติบางครั้ง จึงขอให้แพทย์ดำเนินการรักษา ต่อมาแพทย์ได้ใช้เครื่องตรวจคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้าแต่ไม่พบอาการผิดปกติ แต่เมื่อตรวจด้วยคอมพิวเตอร์และทดสอบด้วยเครื่องเดินสายสะพาน จึงพบอาการความดันเลือดสูงคล้ายหลอดเลือดหัวใจขาดเลือด แพทย์จึงนัดให้มาพบในวันที่ 24 พ.ค. แต่ถูกจับกุมตัวเสียก่อน ทำให้ไม่ได้เข้ารับการรักษาที่รพ.พระราม 9
กระทั่งเมื่อควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ก็มาอาการกำเริบหนัก แน่นหน้าอก ปวดแสบบริเวณหน้าอกซ้าย และหายใจติดขัด เมื่อวันที่ 17 ธ.ค.เวลาประมาณ 1 ทุ่มเศษ เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงนำตัวไปรักษาที่รพ.ราชทัณฑ์ โดยแพทย์รักษาอาการให้อมยาอมใต้ลิ้น จนอาการดีขึ้น ทั้งนี้แพทย์ได้บอกว่าให้ทำใจเรื่องการรักษาอาการเจ็บป่วย เนื่องจากว่าทางรพ.ราชทัณฑ์ไม่มีแพทย์เฉพาะทางรวมทั้งแพทย์โรคหัวใจ และเครื่องมือไม่ทันสมัยมีเพียงเครื่องตรวจคลื่นหัวใจด้วยไฟฟ้า ที่ถือว่าดีที่สุด
นายภูมิกิติ เบิกความต่อว่า ล่าสุดเมื่อคืนนี้ ตนมีอาการกำเริบขึ้นมาอีก มีอาการแน่นหน้าอก และหายใจติดขัด เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงเบิกตัวไปยังแผนกพยาบาลของเรือนจำ ก่อนส่งตัวไปยังรพ.ราชทัณฑ์ ซึ่งพยาบาลได้ให้ยาอมใต้ลิ้น และรับตัวไว้ จนเวลาผ่านไปประมาณ 3 ชั่วโมงอาการจึงดีขึ้น กระทั่งตอนเช้าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ถามว่า มีนัดต้องไปศาล สามารถไปได้หรือไม่ ตนตอบว่าพอไปไหว จึงได้รับความอนุเคราะห์จากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พาตัวมาเบิกความต่อศาล ต่อมาจึงได้ให้นายแพทย์วิชัย ถาวรวัฒนยงค์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจโรงพยาบาลพระราม 9 เบิกความ ส่วนนายณัฐวุฒิ นั้นจะเบิกความเป็นรายต่อไป
ต่อมา เวลา 14.00 น. นายณัฐวุฒิ เบิกความเป็นพยานต่อศาลว่า ตนถูกคุมขังอยู่แดน 3 เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครประมาณ 1 เดือนเศษ ก่อนย้ายมาคุมขังที่แดน 4 ร่วมกับนายภูมิกิติ จำเลยที่ 11 และผู้ต้องขังอื่น ซึ่งขณะที่ตนอยู่ในเรือนจำจะออกกำลังกายสม่ำเสมอ ส่วนนายกิติภูมิมักจะบ่นว่าปวดแน่นหน้าอกซ้าย และหายใจไม่ค่อยออก ซึ่งสังเกตดูนายภูมิกิติมีสภาพร่างกายเหมือนคนป่วย อ่อนเพลีย หน้าตาซีดเซียว และเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. เวลา 1 ทุ่มเศษ ขณะที่ตนล้มตัวลงนอนเพื่ออ่านหนังสือ เห็นนายภูมิกิตินั่งตัวตรง เหมือนคนกำลังนั่งสมาธิ แต่สักพักนายกิติภูมิหันมาพูดว่า ทนไม่ไหวแล้ว เจ็บหน้าอก หายใจไม่ออก ขอให้เรียกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่เข้าเวร เพื่อไปรักษาที่สถานพยาบาลของเรือนจำ ระหว่างนั้นตนและเพื่อนผู้ต้องขังได้ให้นายกิติภูมิดมยาดม และนวดเฟ้นบริเวณลำตัว และมีเพื่อนผู้ต้องขังที่เคยเป็นแพทย์ นำยาอมใต้ลิ้นมาให้จำนวน 1 เม็ด แต่อาการไม่ดีขึ้น เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จึงพาไปสถานพยาบาลของเรือนจำ ก่อนส่งต่อไปยังโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งแพทย์ให้อมยาอมใต้ลิ้น และให้นอนพักรักษาตัวจนอาการดีขึ้น หลังจากนั้นตนสังเกตเห็นว่า นายกิติภูมิสภาพร่างกายแย่ลง มีอาการกำเริบ คือ ปวดและแน่นหน้าอก อยู่ตลอด กลางคืนนอนไม่หลับ และบ่นไม่อยากตายอยู่ในเรือนจำ ล่าสุดคือเมื่อคืนนี้นายกิติภูมิก็มีอาการแน่นหน้าอก จนต้องขอร้องให้เจ้าหน้าที่ ซึ่งอยู่เวรช่วยพาส่งโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ก่อนที่อาการจะดีขึ้น และสามารถเดินทางมาเบิกความต่อศาลในช่วงเช้า ซึ่งหลังสืบพยานเสร็จศาลจะส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ เพื่อพิจารณาและมีคำสั่งต่อไป
ภายหลังไต่สวนพยานทั้ง 3 ปากเสร็จสิ้นแล้ว นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทีมทนายความ เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ฝ่ายจำเลยได้แจ้งว่าต้องการให้ศาลไต่สวนพยานอีก 1 ปาก ซึ่งเป็นแพทย์ประจำ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ แต่ไม่สามารถตามตัวมาเบิกความได้ อย่างไรก็ตาม การไต่สวนพยาน 3 ปากวันนี้ ก็ได้ความแล้วว่าจำเลยที่ 11 ป่วยเป็นโรคไวรัสตับอักเสบซี ซึ่งถือว่าเป็นโรคติดต่อและโรคหัวใจขาดเลือดที่ต้องรักษาตัวเร่งด่วน ดังนั้นผู้พิพากษาจะหารือกับอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาเพื่อส่งผลการไต่สวนในวันนี้ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาก่อน หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าได้ข้อเท็จจริงครบถ้วนแล้ว ก็อาจไม่ต้องไต่สวนแพทย์ โรงพยาบาลราชทัณฑ์อีก ซึ่งต้องรอฟังคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อีกครั้ง
สำหรับประวัติ นายภูมิกิติ หรือนายพิเชษฐ์ สุจินดาทอง อายุ 52 ปี ถือเป็นคนสนิท และมือขวาของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่ง ศอฉ. ระบุว่านายพิเชษฐ์เป็นแกนนำหลักคนหนึ่ง มีส่วนในการดำเนินงานในลักษณะก่อการร้าย ควบคุมการ์ดและควบคุมการปฏิบัติทางยุทธวิธีของกลุ่มคนเสื้อแดง และได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ปกป้องรักษาแนวพื้นที่การชุมนุมที่แยกราชประสงค์ของกลุ่ม นปช. โดยภายหลัง เสธ.แดง เสียชีวิต นายภูมิกิติในฐานะมือขวาก็ผงาดขึ้นมาเป็นหัวหน้าการ์ดแทน เสธ.แดง ทันที โดยไม่มีการขาดช่วง เพราะที่ผ่านมานายพิเชษฐ์ หรือภูมิกิติ ก็เป็นหนึ่งในมันสมองก่อการร้ายที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในหมู่การ์ด นปช. อีกทั้งยังมิได้มีความขัดแย้งรุนแรงกับนายอารี ไกรนรา หัวหน้าการ์ดเสื้อแดงส่วนกลาง และเป็นลูกน้องคนสนิทนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. กระทั่งถูกตำรวจจับกุมและนำไปควบคุมตัวที่กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 คลองหลวง จ.ปทุมธานี