ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ฝันหวานของ “นางธิดา ถาวรเศรษฐ์” รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือหัวขบวนกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ปฏิบัติการเดินเกมสารพัดวิธี เพื่อยื่นคำร้องต่อศาลให้ปลดปล่อยแกนนำคนเสื้อแดง 7 คน ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายนิสิต สินธุไพร นายขวัญชัย ไพรพนา นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย และนายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำฐานะจำเลยคดีก่อการร้าย ต้องฝันสลายภายในพริบตา หลังจากศาลมีคำสั่งยกคำร้องไม่อนุญาตให้ปล่อยตัว โดยมีความเห็นว่าศาลอุทธรณ์เคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวพวกจำเลย โดยระบุเหตุผลไว้ชัดเจนแล้ว กรณีนี้จึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง
ทั้งนี้ ในคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราว จำเลยทั้ง 7 อ้างเหตุผลว่าขณะนี้สถานการณ์ของประเทศไทยดีขึ้นกว่าเดิม จึงยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวโดยมีเหตุผล คือ 1.สถานการณ์ภายในประเทศเข้าสู่ภาวะปกติ ดังจะเห็นได้จาก เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรี หรือ ครม.ได้ประกาศยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ในพื้นที่กรุงเทพฯ รวมทั้งปทุมธานี และสมุทรปราการ 2.ขณะนี้ทุกฝ่ายในประเทศ รวมทั้งนานาชาติได้เรียกร้องให้มีการปรองดอง เพื่อคืนความสงบสันติสุขให้กับสังคมโดยเร็ว เห็นได้จากรัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาข้อเท็จจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจากทุกฝ่าย เพื่อให้สาธารณชนได้ทราบ เพื่อนำไปสู่แผนงานและวิธีการปรองดองแห่งชาติ 3.จำเลยทั้ง 7 คน เห็นว่า ประเทศชาติควรจะได้รับการฟื้นฟูและเข้าสู่กระบวนการปรองดองเพื่อความสมานฉันท์ 4.หากศาลอนุญาตให้ประกันตัว นอกจากจะเป็นการเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายเข้าสู่กระบวนการปรองดอง แล้วยังเป็นการแสดงให้ถึงความจริงใจว่าสังคมให้ความสำคัญกับการสร้างความสมานฉันท์ โดยทางแกนนำนปช.ทั้ง 7 คน พร้อมที่จะเข้าร่วมไม่เป็นอุปสรรคต่อการปรองดอง ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคง และยืนยันจะไม่หลบหนีหากได้ปล่อยตัวชั่วคราว
หากพิจารณาดูคำร้องที่ทางทีมทนายเสื้อแดงยกมาให้เหตุผลต่อศาล ล้วนเป็นเหตุผลทางการเมือง ที่ต่อเนื่องมาจากกลเกมของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ใน “แผนปรองแดง” ที่วางไว้เพื่อเรียกคะแนนความนิยมทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็นยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มติครม.ที่ให้ปล่อยตัวคนเสื้อแดง และดูเหมือนว่าจะเป็นทางเลือกทางเดียวในไม่กี่ทางที่นางธิดา จำเป็นต้องร่วมเล่นเกมด้วย ในสถานการณ์ที่กลุ่มคนเสื้อแดงกำลังอยู่ในสภาพขาดแกนนำตัวหลักในการขับเคลื่อนและรวมตัวขบวนคนเสื้อแดง
เมื่อคำสั่งศาลออกมาเช่นนี้ ในมุมของนายอภิสิทธิ์ ถือว่าลอยตัวเป็นอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะพ้นข้อครหาที่ส่งสัญญาณในเชิงกดดันศาล โดยมีมติ ครม. ให้ปล่อยคนเสื้อแดงที่ทำการเผาบ้านเผาเมืองในช่วงการชุมนุมใหญ่เดือน มี.ค.-พ.ค.ที่ผ่านมาแล้ว ยังหวังผลได้กับคะแนนนิยมทางการเมืองกับภาคอีสานที่เป็นเสื้อแดงเสียส่วนใหญ่อีกต่างหาก และยังสามารถท่องคาถา “นิติรัฐ” ไปใช้หากินได้อีกนานว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งฝ่ายบริหารไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวเนื่องจากเป็นอิสระต่อกัน
ต้องเรียกว่าเสียเหลี่ยมทางการเมืองให้กับนายอภิสิทธิ์ แบบเจ็บปวด สำหรับ “ธิดาแดง” ที่ถึงกับลงทุนแอบทำบังเอิญไปพบกับนายอภิสิทธิ์ ที่ รร.มิราเคิล แกรนด์ เพื่อขอต่อรองเพื่อให้ปล่อยแกนนำเสื้อแดง โดยเฉพาะ คนสำคัญอย่าง นพ.เหวง โตจิราการ แต่สุดท้ายผลลัพธ์กลับออกมาไม่ได้อย่างที่คาดหวังไว้
อย่างไรก็ดี สึนามิของคำสั่งศาลครั้งนี้ยังส่งผลกระเทือนรุนแรงในการปรับทัพเคลื่อนขบวนรวมถึงนโยบายของคนเสื้อแดงตามมาอีกยกใหญ่ว่า จะนำคนเสื้อแดงเดินไปในทิศทางใด และกลับมารวมตัวให้หนาแน่นเหมือนได้หรือไม่ เนื่องจากก่อนหน้าไม่กี่วันต้องขาด “แม่ทัพคนสำคัญ” และเป็น “สายตรงนายใหญ่” อย่าง”นายจตุพร พรหมพันธุ์” ที่ถูก “นายธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ยื่นให้ถอนประกันต่อศาล และศาลได้มีเงื่อนไขสำคัญ 2ข้อ คือ ห้าม นายจตุพรเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป และห้ามเผยแพร่ข้อมูลทางการเมืองที่จะส่งผลกระทบต่อรูปคดี ถือเป็นการตัดแขนตัดขานายจตุพร อย่างไม่ต้องสงสัย ที่ต่อจากนี้จะต้องระหว่างการให้ข่าวต่างๆ
สำหรับในส่วนของนางธิดาเอง หลังจากฝันค้างไม่หายกับคำสั่งศาล จึงทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า การปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ที่อ้างว่าเพื่อสามารถขับเคลื่อนต่อไปอย่างเป็นระบบ โดยเบื้องต้นได้แต่งตั้ง นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.ขอนแก่น และนางอาภรณ์ สาราคำ ภรรยานายขวัญชัยไพรพนา ประธานชมรมคนรักอุดร เป็นตัวแทนคนเสื้อแดงภาคอีสาน ในคณะกรรมการกลาง นปช. รวมทั้งได้การดำเนินการจัดตั้งกรรมการนปช. ระดับภาค จังหวัด เขตอำเภอ และตำบลให้เสร็จภายในสิ้นเดือนม.ค. นี้ เพื่อนำไปปรับโครงสร้าง นปช. ครั้งใหญ่ในเดือน ก.พ.
หากพิจารณากันแบบไม่ซับซ้อน จะเห็นได้ว่าการตั้งหัวขบวนไว้ตามส่วนต่างๆ ของจังหวัด ทั้งหมดก็เพียงเพื่อเกาะกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ให้แตกกระจายไปมากกว่าเดิมเท่านั้น เพราะยิ่งนับวันประเด็นที่จะจุดให้คนเสื้อแดงออกมาโจมตีรัฐบาลก็ยิ่งหมดลงไปทุกที
สำหรับปฏิบัติการล่าสุดเรื่องยุทธการโลกล้อมประเทศ ด้วยการนำหนังสือไปถึงศาลอาญาระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ จุดประสงค์เพื่อขอพยานมาสังเกตการณ์การพิจารณาคดีและไต่สวนคดีของ นปช. หรือคนเสื้อแดงในศาลไทย โดยอ้างว่าต้องการป้องกันแนวโน้มความไม่เป็นธรรมระหว่างการพิจารณาคดี รวมทั้งช่วยเผยแพร่ข้อความเท็จจริงและความคืบหน้าของคดีให้โลกได้รับรู้อย่างตรงไปตรงมานั้น ถ้าหากนางธิดามีความเป็นธรรมอยู่บ้าง จะเห็นว่าไม่ใช่แกนนำคนเสื้อแดงรวมถึงสามีตัวเองหรอกหรือ ที่ปลุกปั่นให้คนเสื้อแดงเผาบ้านเผาเมือง เพราะห้วงเวลาดังกล่าวปรากฏพฤติกรรมคนเสื้อแดง อย่างชัดเจน และที่สำคัญสื่อต่างประเทศยังให้ความสนใจติดตามทำข่าวอย่างต่อเนื่อง และรับรู้ได้ว่าอะไรเป็นอะไร
ประกอบกับคำสั่งศาลที่ไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวแกนนำเสื้อแดงทั้ง 7 คน ก็ยิ่งตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า คดีความอันสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์เผาบ้าน เผาเมือง เมื่อเดือนมี.ค.-พ.ค.53 เป็นคดีอาญา ไม่ใช่คดีการเมือง อย่างที่ได้เอาสีข้างถูไถเพื่อประโยชน์แก่กลุ่มตัวเองเพียงฝ่ายเดียว
ดังนั้น นับจากนี้ไปคนเสื้อแดงคงเหลือเพียงกิจกรรมการเมืองเชิงสัญลักษณ์ ในการจัดการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 9 และ 10 ของทุกเดือน ในวันครบรอบการเสียชีวิตของคนเสื้อแดงเท่านั้น ซึ่งธงหลักคือหนังม้วนเดิมคือเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวแกนนำ นปช.และคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังอยู่ทั่วประเทศ โดยจะรวมตัวกันที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและเคลื่อนขบวน ไปจุดเทียนที่ราชประสงค์ แต่ถึงอย่างไรก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก
เพราะหากพิจารณาคำสั่งศาลในการยกคำร้องรอบล่าสุดแล้วก็ถือเป็นสัญญาณร้ายยิ่ง กับ นางธิดา และกลุ่มคนเสื้อแดงเหลือเกิน เนื่องจากในการยื่นคำร้องรอบนี้มีทั้งการยื่นความช่วยเหลือของทางรัฐบาลโดยให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เป็นผู้ค้ำประกันให้รวมถึงเหตุผลต่างๆนานา โดยประกอบเป็นหลักฐานใหม่ก็แล้ว ยังไม่สามารถเอาตัวแกนนำก่อการร้ายออกมาจากคุกได้ โดยก่อนหน้านี้ไม่ต่ำกว่า 3-4 ครั้งแล้วที่ทางทนายคนเสื้อแดงได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอปล่อยตัวชั่วคราวแต่ก็ไม่ได้รับการอนุญาตแต่อย่างใด
และสุดท้าย “นายณัฐวุฒิ ใสเกื้อ” และพรรคพวกจำเลยก่อการร้าย ที่ฝันหวานลมๆแล้งๆ ว่าจะได้ออกมารับอิสรภาพภายนอกเรือนจำคงต้องฝันค้างต่อไปอีกยาว ซึ่งอาจจะต้องเสียเงินเลี้ยงขนมจีนผู้คุมเรือนจำอีกหลายมื้อทีเดียว