xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

ดีกรีความเสี่ยงด้านการเมือง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - การที่ศาลไม่ให้ประกัน 7 แกนนำ นปช. ต้องยอมรับว่า นัยสำคัญของความเสี่ยงด้านการเมืองได้ลดดีกรีลงชั่วคราว
 

เพราะมีความกังวลใจกันมากว่า หากผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายได้รับอนุญาตให้ประกันตัว อาจจะทำให้สถานการณ์เปลี่ยนไปในทิศทางที่แย่กว่าเดิม  

ทั้งนี้ ศาลอาญาได้พิเคราะห์คำร้องและเอกสารประกอบคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวแล้ว เห็นว่า ศาลอุทธรณ์เคยมีคำสั่งไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยมาก่อน โดยระบุเหตุผลไว้ชัดแจ้งแล้ว กรณีนี้จึงไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม ให้ยกคำร้อง

ทำให้ทนายความของ 7 แกนนำนปช. เตรียมยื่นเรื่องอุทธรณ์อีกครั้ง ภายใน 15 วัน หลังจากที่เตรียมเงินสดๆ 21 ล้านบาท มายื่นเป็นหลักทรัพย์ในการประกันตัว เฉลี่ยคนละ 3 ล้านบาท

ขณะที่ “ธิดา ถาวรเศรษฐ์” รักษาการประธาน นปช. บอกนักข่าวอย่างเสียงแข็งว่า แม้ศาลจะมีคำสั่งยกคำร้อง ไม่ให้ประกันตัว แต่ก็ไม่มีผลกระทบต่อการจัดชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่จะมีขึ้นในวันที่ 9 ม.ค.นี้ เพื่อเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวแกนนำ และต้องการให้เกิดความยุติธรรม

แม้กระทั่ง ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังยอมรับว่า ปัจจัยทางด้านการเมืองเป็นปัจจัยเสี่ยงที่มีน้ำหนักมากที่สุดในการรักษาระดับการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2554

โดยแบงก์ชาติคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตประมาณ 3-5 % ในปีนี้ หลังจากที่ปีที่ผ่านมาเติบโตแบบก้าวกระโดด 7.3-8 % เพราะการส่งออกขยายตัวมากถึง 30 % แต่ในปีหน้า การส่งออกจะชะลอตัวลงเหลือเพียง 11-14 %

แต่ความเสี่ยงทางด้านการเมืองอาจจะทำให้การคาดการณ์ดังกล่าวเบี่ยงเบนไปจากที่ควรจะเป็น

“หากให้น้ำหนักความเสี่ยงต่อภาวะการขยายตัวของเศรษฐกิจในปีหน้านั้น การเมืองถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสูงสุด โดยให้น้ำหนัก 50 % รองลงมาเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ 30 % ส่วนที่เหลือ 20 % เป็นความเสี่ยงด้านอื่นๆ เช่น ความเสี่ยงด้านราคาสินค้าเกษตรและอุปโภคบริโภค ราคาน้ำมันที่ถีบตัวสูงขึ้น” ดร.ประสาร ขยายความเสี่ยงที่แบงก์ชาติเชื่อว่าส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา สถานการณ์ด้านการเมือง เป็นเรื่องที่เราทุกคนมีความเป็นห่วงอยู่ เพราะว่าบางครั้งบางตอน ก็มีความรุนแรง ถึงขนาดกระทบต่อการลงทุน การอุปโภค บริโภค และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจประเทศ

โดยเฉพาะในปี 2554 จะเป็นปีของการเลือกตั้ง หากเราสามารถผ่านพ้นเรื่องการเลือกตั้งไปด้วยความสงบ และทุกคนเคารพกฎ กติกา เรื่องผลการเลือกตั้งออกมาเป็นที่ยอมรับ จะเป็นตัวเสริมให้เรื่องของเศรษฐกิจประเทศ เป็นไปอย่างราบรื่น

ปัจจัยเสี่ยงอีกประการก็คือ ระดับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ที่ถีบตัวสูงขึ้น โดยส่วนหนึ่งก็มาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกถีบตัวสูงขึ้น ทำให้ต้องมีการปรับราคาสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งจะส่งผลกระต่ออัตราเงินเฟ้อ

“ แต่ทั้งหมดอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะภาคเอกชนเข้าใจว่า ภาวะเศรษฐกิจในประเทศมีสัญญาณบ่งชี้ว่า กำลังจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หลังจากที่ช่วงที่ผ่านมา เราอาจจะประสบผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ทำให้เราต้องดำเนินนโยบายการเงินการคลังแบบผ่อนคลาย” ผู้ว่าแบงก์ชาติบอก

ด้านความเสี่ยงจากต่างประเทศ ในปี 2554 ดร.ประสาร วิเคราะห์ว่า เกิดจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศสำคัญด้านเศรษฐกิจ คือ สหรัฐ ยุโรป และญี่ปุ่นว่าเป็นอย่างไร และประเทศเหล่านี้ดำเนินนโยบายการเงินการคลังอย่างไรด้วย

เนื่องจากขณะนี้ประเทศหลัก 3 กลุ่ม หรือที่เรียกว่า จี 3 มีสัญญาณการฟื้นตัวไม่ชัดเจน โดยประเทศในแถบยุโรป ยังไม่ชัดเจนว่า จะแก้ปัญหาให้ลุล่วงไปได้อย่างไร ขณะที่ญี่ปุ่นก็ยังไม่มีความเข้มแข็งพอ

อย่างไรก็ตาม ปีของการเลือกตั้ง ถูกขยายความโดย “สาทิตย์ วงศ์หนองเตย” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า ปลายเดือนมกราคมก็จะเปิดสมัยประชุมสภา หลังจากนั้นฝ่ายค้านจะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในเดือนเมษายน หรือ พฤษภาคม ก็น่าจะยุบสภา

แต่การยุบสภานั้น นายกฯ อภิสิทธิ์ กลับสร้างเงื่อนไขให้ “คนอื่นเดินตาม” โดยเฉพาะการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ระบบสรรหา หนึ่งในคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 อธิบายว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการแก้ไขรัฐธรรมนูญคือ จะต้องเร่งทำให้เสร็จก่อนวันที่ 19 ก.พ.นี้ เนื่องจาก ส.ว.สรรหา จะลาออกประมาณวันที่ 15-18 ก.พ. เพราะหมดวาระ ดังนั้นต้องเร่งรัดการแปรญัตติให้เสร็จ และนำเข้าสู่การประชุมรัฐสภาก่อนวันดังกล่าว เพราะการสรรหาใหม่อีก 75 คน ซึ่งต้องใช้อีกเวลา 2 เดือน

นั่นหมายความว่า การยุบสภาจะยืดเยื้อออกไปหลังเดือนมิถุนายน

คงไม่มีคนไหนรอเวลาให้ช่วงเวลาการเลือกตั้งถูกลากยาวออกไปเกินการรอคอย

แม้ว่าจะมีความเห็นที่แตกต่างบ้างในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องเขตเลือกตั้ง

ชัย  ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เห็นว่า รัฐธรรมนูญทั่วโลกจะแบ่งเขตเลือกตั้งแบบเขตเดียวเบอร์เดียว แต่มีประเทศไทยเท่านั้นที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ไม่ควรมีส.ส.สัดส่วน แต่ควรมี ส.ส.เขตเพียงอย่างเดียว

"คนที่ไม่อยากแก้ ก็คือคนที่ชอบพึ่งคนอื่น มีเยอะ จะได้อาศัยพึ่งใบบุญคนอื่น พวกนี้มีเยอะ แต่มีไม่มากเท่าไร แค่ห้าหกเจ็ดสิบคนเท่านั้น"

ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ต้องอาศัยบารมีพรรค ส.ส.ระบบเขต ต้องอาศัยบารมีตัวเอง

แต่ “ปัญญา ศรีปัญญา” ส.ส.ขอนแก่น พรรคภูมิใจไทย บอกจุดยืนของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยและพรรคชาติไทยพัฒนาว่า ทั้งสองพรรคเห็นว่า ตัวเลขส.ส.ควรเป็นระบบเขตเบอร์เดียว 400 คน และบัญชีรายชื่อ 100 คน เพราะจะทำให้ส.ส.สามารถเข้าถึงประชาชนได้มากขึ้น

กระนั้นก็ตาม ดร.สมบัติ ธำรงธัญญวงศ์  ประธานคณะกรรมการพิจารณาแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  อธิบายว่าการปรับสัดส่วนส.ส.เขต มาเป็น 375 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 125 คน เป็นไปตามทิศทางการเมืองทั่วโลกที่ให้ความสำคัญกับระบบ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่สนับสนุนไปทางพรรคการเมืองมากกว่าตัวบุคคล เพื่อให้การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น อย่างเช่น ประเทศ?ญี่ปุ่น ที่มี ส.ส.เขต 300 คน และส.ส.บัญชีรายชื่อ 180 คน

จากเดิมรัฐธรรมนูญปี 2540 กำหนด ส.ส.สัดส่วน 1 ใน 5 ก็แก้ไขเป็น 1 ใน 4 ซึ่งเท่ากับ 125 คน
 
ส่วนเรื่องการเลือกตั้ง ระบบเขตเดียวเบอร์เดียว หรือ วันแมนวันโหวต ก็เป็นการยึดหลักสากล ที่อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย  ควรได้เลือกผู้แทนเท่ากัน

นั่นหมายความว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเรื่องเขตเลือกตั้ง อาจจะใช้เวลาสั้นกว่าที่คาดการณ์ไว้

สิ่งที่กังวลของประชาธิปัตย์มากกว่าเรื่องรัฐธรรมนูญก็คือ ผลงานในเชิงคุณภาพ

ผลการสำรวจเชิงคุณภาพของ สำนักวิจัยเอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ พบว่า คนส่วนใหญ่มีความเห็นตรงกันว่า นายกรัฐมนตรีแถลงการปฏิรูปประเทศไทยส่วนใหญ่ไม่มีความชัดเจนว่าประชาชนจะได้เห็นผลแก้ไขปัญหาเป็นรูปธรรม เมื่อไหร่

การวิจัยเชิงคุณภาพดังกล่าว มาจากการสัมภาษณ์เจาะลึกกลุ่มคนสามฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายสนับสนุนรัฐบาล 20 คน ไม่สนับสนุนรัฐบาล 20 คน และกลุ่มพลังเงียบ 60 คน ต่อเทป รายการ “ปฏิรูปประเทศไทย” ระหว่างวันที่ 1-2 ม.ค. ที่ผ่านมา

ผลการสำรวจที่สนใจคือ สิ่งที่ได้ใจกลุ่มพลังเงียบ กลับไม่ใช่เทปรายการปฏิรูปประเทศไทย แต่อยู่ที่ใครเป็นรัฐบาล หรือเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ทำให้บ้านเมืองสงบสุข ไม่วุ่นวาย ก็จะได้ใจ และเสียงสนับสนุนจากกลุ่มพลังเงียบ

แปลไทยเป็นไทยอีกครั้งก็คือ การทำงานเชิงยุทธศาสตร์ของประชาธิปัตย์ ยังขาดวิ่นอยู่นั่นเอง !!
ประสาร ไตรรัตน์วรกุล
กำลังโหลดความคิดเห็น