“เทพมนตรี” เขียน จม.เปิดผนึกถึง “พนิช” แสดงความห่วงใย แจงบทสนทนา นัดหมายกันไป “เขาพระวิหาร” แต่ที่เปลี่ยนโปรแกรมเพราะมีชาว บ้านมาร้องเรียนจึงอยากไปดูที่ปราจีนฯ ก่อน “พนิช” เผยภารกิจตรวจสอบเขตแดนรู้กันกับนายกฯ แค่ 2 คน
นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการประวัติศาสตร์ ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึงนายพนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 1 ใน 7 คนไทยที่ถูก ทางการกัมพูชาจัวตัวไป โดยเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ก Thepmontri Limpaphayom เมื่อเวลา 02.56 น. วันที่ 21 ธ.ค. มีข้อความว่า...
เรื่อง ขอแสดงความห่วงใย
เรียน คุณพนิช วิกิตเศรษฐ์
การที่ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นก็เพื่อเป็นการทบทวนความทรงจำที่ผมได้พูดคุยกับคุณพนิช และเป็นการแสดงความห่วงใยจากผมที่แม้จะเป็นการ พูดคุยกันครั้งแรกและทำความรู้จักกันครั้งแรกในค่ำคืนวันศุกร์ที่ 26 ธันวาคม 2553 ซึ่งในขณะนั้นผมได้เดินสายไปให้ความรู้เกี่ยวกับปราสาทพระ วิหารและปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา การรวมพลังปกป้องแผ่นดินของเราครั้งนั้นได้ทำให้ผมทราบถึงความตั้งใจอันดีของคุณพนิช ในการที่จะช่วย กันธำรงรักษาไว้ซึ่งผืนแผ่นดินและอำนาจอธิปไตย แม้วัตถุประสงค์ของคุณพนิชจะเป็นความพยายามที่จะช่วยประสานรอยร้าวและทำความเข้าใจ ระหว่างรัฐบาลกับกลุ่มพันธมิตรฯ (เป็นความเข้าใจของผมส่วนตัว)อีกทางหนึ่งก็ตาม
แต่ในฐานะที่ผมมองเห็นความตั้งใจอันดีของคุณพนิช ผมก็รู้สึกประทับใจในไมตรีจิตที่จะพิสูจน์ความจริงด้วยการไปลงพื้นที่ที่มีปัญหา ดีกว่านักการ เมืองจำนวนมากที่ถนัดแต่พูดหรือเอามือซุกหีบหรือเตะฝุ่นเข้าใต้พรหม อันสะท้อนให้เห็นถึงความไม่รับผิดชอบในฐานะผู้แทนปวงชนชาวไทย
ผมจำได้ว่าผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง (ขอสงวนนาม) ได้โทร.มาหาผมและบอกว่า ได้ให้เบอร์โทรศัพท์ผมกับคนสนิทของท่านนายกฯเพื่อจะได้มาทำความเข้า ใจที่ตรงกันกับเรื่องปัญหาปราสาทพระวิหาร ผมรออยู่หลายวัน จนกระทั่งคุณพนิชได้กรุณาโทรศัพท์มาเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2553 ความจริงก็คือ วันนั้นผมพึ่งลงจากเวที ผมเปิดดูเบอร์โทรศัพท์ปรากฏว่ามีเบอร์ที่ไม่ได้รับสาย ประมาณ 20.00 น. ผมจึงได้โทรกลับไปในระหว่างที่รอรับประทาน อาหารร่วมกับวิทยากรหลายท่าน อาทิ อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ พลตรีจำลอง ศรีเมือง (นั่งสนทนาด้วยแต่ไม่ได้รับประทานอาหาร)
การสนทนาครั้งนั้น คุณพนิชคงจำได้ คุณพนิชเป็นคนโทรศัพท์มาขอเชิญผมร่วมไปสำรวจและลงพื้นที่บริเวณปราสาทพระวิหาร โดยผมได้ถามว่า มี วัตถุประสงค์เช่นไร คุณพนิชได้กรุณาอธิบายให้ผมฟังว่า เป็นเพราะได้พูดคุยกับท่านนายกฯเกี่ยวกับปัญหานี้และท่านนายกฯก็เห็นด้วยว่าน่าจะมี การลงพื้นที่เพื่อหาความจริง เพราะในช่วงเวลานั้นได้มีกระแสข่าวมาว่า ฝ่ายกัมพูชายืนยันว่าฝ่ายไทยได้มีการถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่วัดแก้วฯ ที่อยู่ตรงเชิงบันไดทางขึ้นตัวปราสาทและอยู่ในดินแดนประเทศไทย ทำให้ดูเหมือนว่าเรายอมเสียดินแดน คุณพนิชยังถามผมว่าผมสนใจที่จะร่วม เดินทางไปพิสูจน์ด้วยกันใหม่ ซึ่งผมก็ยิงถามคุณพนิชเลยว่า “อ้าว ท่านนายกฯ ไม่โกธรผมหรือที่ผมตำหนิท่านอย่างรุนแรง” คุณพนิชยังบอกกับผม เลยว่า “ท่านนายกฯ เป็นคนใจกว้างไม่โกรธอาจารย์หรอก” ผมก็พูดว่ามีใครไปบ้างคุณพนิชก็บอกว่า “มีคุณแซมดิน และอาจมีลูกชายผมและคนอื่นๆ ไม่น่าจะเกิน 5-6 คน” ผมยังแซวไปว่า “ห่ะจะเอาลูกชายไปด้วยหรือ ไม่อันตรายหรือ” คุณพนิชยังบอกกับผมว่าต้องการให้ลูกชายมาศึกษาวิธีการทำงาน คุณพนิชบอกกับผมว่าให้ผมส่งข้อความเป็นชื่อผมเป็นภาษาอังกฤษเพื่อจองตั๋วเครื่องบินให้ทันวันพุธที่ 29 ธันวาคม 2553
นอกจากนี้ ผมเองก็บอกกับคุณพนิชว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะ แล้วจะขึ้นไปได้อย่างไร เราต้องบอกทหารให้รู้เพื่อจะได้นำทางขึ้นไป เมื่อจบประโยค นี้ของผม คุณพนิชคงจำได้ว่าคุณพนิชยังบอกผมว่า ถ้าเราทำเช่นนั้นคือบอกให้ทหารรู้ก่อนล่วงหน้าเราจะไม่สามารถหาความจริงได้ พอเรามาถึง ทางขึ้นผมจะโทรบอกให้นายกฯ โทร.สั่งให้เปิดด่านตรงนั้น และเราจะขึ้นไปทันทีถ้าขึ้นไม่ได้ก็ถือว่ามีบทพิสูจน์แล้ว
คุณพนิชบอกผมว่าจะเดินทางลงพื้นที่วันพุธที่ 29 ธันวาคม 2553 และยังบอกให้ผมโทร.หาคุณแซมดินว่า โอเคไหม หลังจากนั้นผมก็โทรหาคุณแซม ดิน ซึ่งคุณแซมดินก็ทราบเรื่อง แต่เพิ่มเติมมาอีกเรื่องหนึ่งก็คือ วันที่ 29 ธันวาคม ได้นัดคุณพนิชไปปราจีนบุรี และคุณแซมดินยังชวนผมเลย ผมบอกกับคุณแซมดินว่าผมยังไม่สนประเด็นที่ปราจีนบุรี แต่ผมคิดว่าปัญหาของเราคือปราสาทพระวิหารซึ่งสำคัญกว่า คุณแซมดินบอกกับผมว่าได้นัด กับคุณพนิชว่าจะไปปราจีนบุรี ขอให้ผมโทร.กลับไปถามใหม่ หลังจากนั้นผมก็โทร.ไปถามคุณพนิชว่าตกลงจะไปไหนก่อน คุณพนิชก็บอกว่า สงสัยต้องไปดูปราจีนบุรีก่อน เพราะมีปัญหาเรื่องเอกสารสิทธิชาวบ้านถูกเขมรเข้ามารุกล้ำและไม่ให้ทำกิน คุณพนิชคงจำได้ว่าคุณพนิชยังบอกผม เลยว่า “เอาอย่างนี้เดี๋ยวผมกลับมาแล้วหลังปีใหม่เราค่อยไปปราสาทพระวิหาร ผมก็โอเคตามนี้”
ในการสนทนาของผมกับคุณพนิชถ้าเราสองคนยังจำได้ ผมยังถามเลยว่ามีใครรู้ไหมว่าคุณพนิชมาทำภารกิจนี้ คุณพนิชบอกกับผมว่าไม่มีใครรู้มีผม กับนายกรู้เท่านั้น ผมยังพูดแบบติดตลกเลยว่า อ้าวแล้วคุณศิริโชครู้หรือเปล่า คุณพนิชบอกผมว่า คุณศิริโชคไม่รู้เรื่องนี้ครับ
ที่ผมเขียนจดหมายฉบับนี้มาถึงคุณพนิชก็เพื่อเป็นการทบทวนความทรงจำ ส่วนเรื่องพี่วีระซึ่งมาทีหลัง ในเวลาต่อมาเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้วปรากฏว่า พี่แซมดินได้ไปชวนพี่วีระเพราะเห็นว่าชาวบ้านมาร้องเรียนกับพี่วีระ และพี่วีระเคยมีประสบการณ์ในการลงพื้นที่บริเวณนั้นมาแล้วและเคยถูกจับ มาแล้วหนึ่งครั้ง
อนึ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่คุณพนิชในฐานะเป็น ส.ส.ในพื้นที่อันเป็นที่ตั้งของสำนักสันติอโศก มีความคุ้นเคยกับท่านพระโพธิรักษ์ ย่อมมีการพูดคุยกัน เป็นเรื่องปกติ อาจกล่าวได้ว่ามีความสนิทสนมกันก็คงพูดในท่วงทำนองนี้ได้ ใครชวนใครนั้นผมก็เชื่อว่าเป็นเรื่องที่ คุณพนิชอาสาที่จะดำเนินการนี้ ด้วยจิตอาสา ด้วยจิตสาธารณะ และใครๆก็รู้ว่าคุณแซมดินเป็นผู้ประสานงาน โดยที่คุณพนิชได้โทรศัพท์ไปปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่คนที่เอาเบอร์ โทรศัพท์ของผมให้คุณพนิชเพื่อโทร.มาหาผมนั่นเอง ส่วนเรื่องพี่วีระนั้นก็ไม่ได้อยู่ในแผนงานนี้ตั้งแต่เริ่ม และพี่วีระก็ไม่ได้เป็นคนไปหลอกให้ คุณพนิชไปลงพื้นที่จนถูกทหารเขมรจับกุมตัว เรื่องนี้มีความจริงของมันเป็นแบบนี้
ผมเสียใจที่คุณพนิช คุณแซมดินและคุณวีระและคณะ ถูกทหารกัมพูชาจับกุมในดินแดนประเทศไทย และมีพฤติการณ์ควบคุมตัวไปไว้ในสวนผลไม้ ซึ่งอยู่ติดกับด่านทหารเขมร จนสูญเสียอิสระภาพและต้องถูกดำเนินคดีขึ้นโรงขึ้นศาล ผมขอแสดงความห่วงใยและยกย่องถึงความเสียสละของคุณพนิช ในฐานะ ส.ส. ที่ทำประโยชน์ให้กับชาวบ้าน มีความตั้งใจที่จะเสาะแสวงหาความจริงโดยการลงพื้นที่ไปพิสูจน์ทราบถึงความทุกข์ยากของชาว บ้าน ขอให้คุณพนิชและคณะทั้งหมดได้กลับสู่มาตภูมิด้วยเกียรติและศักดิ์ศรี
ผมและอาจารย์ปานเทพได้ทำงานเพื่อจะพิสูจน์ให้ความจริงปรากฏว่า คุณพนิชและคณะถูกจับในดินแดนประเทศไทยไม่ใช่ดินแดนกัมพูชา เหมือนอย่างที่รัฐบาล และ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ต่างดาหน้าออกมาขานรับโดยไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเขตแดน ผมรู้สึกเบื่อหน่ายต่อความดื้อ แพ่งของ ส.ส.บางคนที่คอยอิจฉาริษยาความดีของคุณพนิช เมื่อคุณพนิชกลับมาอาจได้รับการยกย่องให้เป็นวีรบุรุษในขณะที่ ส.ส.คนอื่นๆอาจต้อง พลิกลิ้นหรือกลับลำมาขอโทษหรือทำเนียนไปตามธรรมชาติที่ถนัดนักของนักการเมืองบ้านเรา
ขอเอาใจช่วยคุณพนิชให้กลับมาโดยเร็ว
ขอแสดงความนับถือ
เทพมนตรี ลิมปพยอม
ปล. ในระหว่างที่ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ คุณศิริโชคได้เขียนข้อความใน FB ของเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยกล่าวหาอาจารย์ปานเทพ ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย ดังที่คุณพนิชบอกว่าคุณศิริโชคไม่รู้เรื่องนี้
เทพมนตรี ลิมปพยอม