หลังจากที่ศาลกัมพูชามีกำหนดนักตัดสินคดีคนไทยที่ถูกระบุว่ารุกล้ำแดน รวมทั้งข้อหาจารกรรมกับคนไทยบางคน ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ทำให้คนสำคัญในรัฐบาลบางคนออกมาวิตกและเห็นว่า “นานเกินไป” พร้อมเรียกร้องให้ศาลของประเทศนั้นร่นเวลาพิจารณาเข้ามาเร็วหน่อย
โดยเมื่อวันที่ 20 มกราคมนายกรัฐมนตรีถึงกับออกโรงเองด้วยการเรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพื่อหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นการด่วน
แม้ว่าในตอนแรกยังงงอยู่ว่าของศาลของประเทศนั้น “ขอกันได้” ด้วยหรือ เพราะในตอนแรกที่โดนจับใหม่ๆก็พูดไปตามสูตรว่าให้เป็นดุลพินิจของศาล จะไปแทรกแซงไม่ได้ พร้อมๆกับการันตีความผิดให้เสร็จสรรพว่าคนไทยเหล่านั้น “รุกล้ำแดน” สรุปความผิดให้เรียบร้อย แต่ไม่เจตนาพร้อมกับขอความเมตตาให้ปล่อยตัวกลับมาโดยเร็ว
คนที่พูดแบบนี้ออกมาตั้งแต่แรกคือรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ หรือแม้แต่ นายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็แสดงท่าทีในทำนองเดียวกัน
เพื่อความเข้าใจและทบทวนรายชื่อคนไทยที่ถูกกัมพูชา “ลักพาตัว” หรือจับกุมมีจำนวน 7 คน ซึ่งหากพิจารณากันอย่างตรงไปตรงมาก็รู้ดีว่ามีจำนวน 2-3 คนเท่านั้นที่เป็นเป้าหมาย โดยเฉพาะ พนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และ วีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มคนไทยหัวใจรักชาติ
เมื่อวกกลับมาที่คดีที่แม้ว่าศาลกัมพูชาจะอนุญาตให้ประกันตัวคนไทยจำนวน 6 คนออกมายกเว้นวีระ แต่มีเงื่อนไขว่าห้ามออกนอกประเทศ ทำให้คนไทยเหล่านั้นต้องหลบอยู่แต่ภายในสถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงพนมเปญเท่านั้น
อย่างไรก็ดีการที่จะมีการกำหนดพิจารณาคดีคนไทยในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ มันก็ถือว่านานเกินไป โดยเฉพาะกับคนไทยบางคน อย่างเช่น พนิช วิกิตเศรษฐ์ ใช่หรือไม่ เพราะถ้าฟังเสียงโทรศัพท์จากคลิปที่ถูกปล่อยออกมาซึ่ง พนิช กำลังพูดติดต่อกับคนที่อ้างว่าเป็นคนสนิทของนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เพื่อแจ้งให้ทราบ และทำให้เข้าใจเหมือนกับว่านี่คือ “ภารกิจลับ” ที่รับรู้กันสองคน นั่นคือตัวเขากับ นายกรัฐมนตรี แต่บังเอิญว่ามีถูกกัมพูชาจับกุมตัวเสียก่อน
สอดคล้องกับ “จดหมายเปิดผนึก” ที่เผยแพร่ในเฟซบุ๊คของ เทพมนตรี ลิมปพะยอม นักวิชาการด้านประวัติศาสตร์ ที่ระบุว่า ภารกิจของ พนิช ที่เดินทางไปชายแดนดังกล่าวเป็นภารกิจลับ ที่รู้กันระหว่างสองคนคือ นายกฯกับ พนิช โดยมีวัตถุประสงค์ในการเดินทางเพื่อไปพิสูจน์เขตแดน
นอกเหนือจากนี้ยังมีการระบุว่าเป้าหมายในการเดินทางไปอยู่ชายแดนบริเวณปราสาทพระวิหาร แต่เมื่อได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในเรื่องปัญหาที่ดินที่ไม่สามารถเข้าไปทำกินได้ เนื่องจากถูกทหารกัมพูชาห้ามเข้าพื้นที่
แม้ว่าในการจับกุมหรือการ “ลักพาตัว” ครั้งนี้จะมีด้วยวัตถุประสงค์ใดกันแน่ เพื่อต้องการ “กำจัด” เสี้ยนหนามอันน่ารำคาญอย่าง วีระ โดยร่วมมือกับ “ฮุนเซน” หรือไม่ก็ตาม เพราะการยืนยันความผิดให้กับคนไทยทั้ง 7 คนว่ารุกล้ำแดนโดยไม่เจตนา แต่เมื่อพลิกแฟ้มประวัติที่ วีระเคยเข้าไปพื้นที่บริเวณนั้นมาแล้วถึง 3 ครั้ง เพื่อยืนยันถึงอธิปไตยไทย เคยถูกกัมพูชาจับกุมมาแล้ว เมื่อถูกจับกุมอีกครั้งและมีการนำตัวขึ้นศาลก็ทำให้เป็นเงื่อนไขในการเพิ่มโทษ เป็นสาเหตุในการควบคุมกักขังในกัมพูชาได้อีกระยะหนึ่ง ซึ่งอาจเป็นเป้าหมายของ “พวกเขา” ตามที่ วีระ เคยกล่าวเป็นปริศนาเอาไว้ก่อนหน้านี้
สิ่งที่น่าสังเกตก็คือการเลื่อนพิจารณาคดีคนไทยเมื่อวานนี้ (21 มกราคม) มีจำนวน 5 คนเท่านั้น ขณะที่อีก 2 คน ซึ่งแน่นอนว่าต้องมี วีระ สมความคิด อย่างแน่นอน ที่ถูกเพิ่มข้อหา “จารกรรม” และอีกคนที่ติดร่างแหไปด้วยก็คือ ราตรี พิพัฒนาไพบูลย์ ที่ไม่ได้ถูกนำตัวมาพิจารณาคดี
เมื่อมีความเคลื่อนไหวทั้งฝ่ายผู้นำรัฐบาลไทย และฝ่ายกัมพูชา จนกระทั่งศาลได้เลื่อนเวลาพิจารณาคดีให้เร็วขึ้นจากเดิมกำหนดเอาไว้ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ มาเป็นพิจาณาคดีเมื่อบ่ายวานนี้ (21 มกราคม) ทำให้รองนายกฯสุเทพ ถึงกับให้สัมภาษณ์กราบขอบคุณ ฮุนเซน ผู้นำกัมพูชาที่ให้การช่วยเหลือในการประสานงานด้านคดีด้วยดี
ดังนั้นอย่าได้แปลกใจหากผลการพิจารณาของศาลกัมพูชาออกมาเป็นบวกสำหรับ 5 คนไทย ซึ่งเป็นเรื่องน่ายินดี แต่ขณะเดียวกันนี่เหมือนกับว่าทุกอย่างเป็นการ “เตี๊ยม” หรือสมคบคิดกันล่วงหน้า แม้ว่าในช่วงแรกอาจ “ผิดคิว” ไปบ้างกรณีของ “พนิช วิกิตเศรษฐ์” ก็ต้องช่วยเหลือให้เต็มที่เพราะนี่คือภารกิจลับของ นายกรัฐมนตรี ขณะที่ วีระ ต้องปล่อยให้ “ตายเดี่ยว” ติดคุกยาวอยู่ในกัมพูชาก็แล้วกัน !!