ผ่าประเด็นร้อน
จะเป็นเพราะฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับไปกระเดียด หรือ “จงใจ” เข้าใจผิด เพื่อกลบเกลื่อนอะไรบางอย่างหรือไม่ เพราะเท่าที่ฟังดูระยะหลังกลายเป็นว่ามีการกล่าวหาว่า “ทหารค้าของเถื่อน” หรือทำธุรกิจผิดกฎหมายตามแนวชายแดนด้านตะวันออก ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วคนละเรื่อง คนละความหมาย
หากลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจะพบว่าปัญหา 7 คนไทยที่ถูกเขมร “ลักพาตัว” หรือจับกุมตัวในพื้นที่ชายแดน และถูกนำขึ้นรถตู้เข้ากรุงพนมเปญในเวลารวดเร็ว เหมือนมีการเตรียมการล่วงหน้า จนกระทั่งนำมาสู่การพิจารณาคดีของศาลกัมพูชา และมีการแยกคนไทยสองเป็นสองส่วนคือ กลุ่มแรก 2 คนมี พนิช วิกิตเศรษฐ์ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้รับการประกันตัวออกมาก่อน กับอีกกลุ่มจำนวน 5 คนมี วีระ สมความคิด ไม่ได้รับการประกันตัวและมีแนวโน้มถูกเพิ่มข้อหา “จารกรรม” ซึ่งมีแนวโน้มติดคุกยาวนานนับสิบปี หรือมากกว่านั้น
จากปากคำของวีระ สมความคิด ที่ตะโกนออกมาบอกว่า “พวกเขายัดข้อหาผม” ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า นี่คือ “ขบวนการสมรู้ร่วมคิด” กันระหว่าง คณะผู้นำไทย(บางคน) กับผู้นำกัมพูชา หรือไม่ โดยมีฝ่ายความมั่นคงของไทย “ระดับบิ๊ก” บางคนเป็นคนกำหนดเกมให้เดิน
เพราะเป็นเรื่องแปลกอย่างยิ่งที่พื้นที่ที่คนไทยทั้ง 7 คนดังกล่าวลงไปพิสูจน์ เนื่องจากมั่นใจว่าเป็นพื้นที่ของไทยจึงมีสิทธิ์เข้าออกได้ตลอดเวลา แม้ว่าอาจเป็นพื้นที่ล่อแหลมใช้กฎหมายพิเศษ แต่ก็ต้องได้รับการคุ้มครองหรือต้องได้รับการยืนยันอธิปไตยจากเจ้าหน้าที่ที่ดูแลรับผิดชอบ
ไม่ใช่จู่ๆ ไม่ทันไรคณะผู้บริหารของไทยต่างรีบการันตีทันทีว่าเป็นเขตแดนกัมพูชา และสรุปว่า คนไทยผิดไปรุกล้ำแดนเขาแล้วให้ยอมรับกระบวนการศาลกัมพูชาในการชี้ชะตา ถือว่าเป็นเรื่อง “ผิดปกติ” อย่างยิ่ง
อย่างไรก็ดี สิ่งที่มีการกล่าวหาควบคู่กันมาหลังจากที่คนไทยถูกจับตัวไป โดยเฉพาะคำกล่าวหาจากแกนนำคนไทยหัวใจรักชาติ มีการตั้งข้อสังเกตปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนสำคัญมาจากมี “บิ๊กทหาร” คนหนึ่งที่มีผลประโยชน์ในการให้การคุ้มครองการทำธุรกิจเถื่อนตามแนวชายแดนด้านตะวันออก หรือที่เรียกว่า “บูรพา” นั่นเอง โดยบิ๊กทหารดังกล่าวถือว่ามีอิทธิพลมานาน ซึ่งปัจจุบันยังมีบารมีในกองทัพ หลังจาก “เครือข่ายอำนาจ” ของ ทักษิณ ชินวัตร ถูกโค่นล้มลงไป
กระทั่งในเวลาต่อมา รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ได้ออกหน้ามาปฏิเสธ โดยมีการเอ่ยชื่อว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ หรือมีผลประโยชน์ตามแนวชายแดน พร้อมทั้งยืนยันว่าที่ผ่านมาเขาได้ให้การช่วยเหลือคนไทยอย่างเต็มที่มาตลอด
รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงผู้นี้ยังได้กล่าวหากลับไปว่าแกนนำคนไทยฯมีเจตนาต้องการป่วนเท่านั้น
ถัดมาก็มี ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ออกมาปฏิเสธเช่นเดียวกัน แต่น้ำเสียงออกมาในโทนปฏิเสธว่า “ทหาร” ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือทำธุรกิจผิดกฎหมายที่ว่าตามแนวชายแดน พร้อมกับไปไกลคนละเรื่องว่าทหารรักชาติ และบ้านเมืองที่อยู่ได้ก็เพราะทหารและกองทัพเสียสละ ซึ่งรับรองว่าไม่มีใครเถียง เพราะนี่คือความจริงอย่างเต็มภาคภูมิ
แต่คำพูดและคำชี้แจงที่ออกมาจากผู้บัญชาการทหารบกล้วนออกมาสื่อสาร “ผิดความหมาย” เพราะถ้าฟังให้ดีข้อกล่าวหาไม่ใช่กล่าวหากองทัพ ไม่ใช่กล่าวหาทหารทุกคน รวมถึงไม่ได้กล่าวหา พล.อ.ประยุทธ์ เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามที่ข้อกล่าวหาพุ่งเป้าไปที่ “ทหารบางคน” เท่านั้นที่อยู่เบื้องหลัง
อย่างไรก็ดี อาจเป็นเพราะผู้สื่อข่าวบางคนที่ไร้เดียงสาไม่เข้าใจไปตั้งคำถามแบบจ่อปากง่ายๆว่าทหารทำธุรกิจผิดกฎหมายจึงทำให้ผู้บังคับบัญชาควันออกหู เรียงหน้าออกมาปฏิเสธทันควัน เนื่องจากที่ผ่านมาแม่ทัพภาคที่ 1 รวมถึงแม่ทัพภาคที่ 2 ก็ปฏิเสธทำนองเดียวกัน
เช่นเดียวกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ออกมากล่าวทำนองว่า ทหารไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจเถื่อนตามแนวชายแดนด้านตะวันออก พร้อมยืนยันว่าทหารรักชาติ ไม่ใช่คนที่กล่าวหารักประเทศชาติอยู่คนเดียว ซึ่งถือว่า เขาพูดถูกต้องอย่างแน่นอนว่า “ทหารรักชาติ” แต่ถือว่าพูดไม่ตรงประเด็น เพราะที่ถูกต้องก็คือมีการกล่าวหาทหาร “บางคน” เท่านั้นที่ทุจริต ทำธุรกิจเถื่อนตามแนวชายแดน สร้างปัญหา และต้องการรักษาผลประโยชน์เหล่านั้นเอาไว้
ที่ผ่านมา รองนายกฯ สุเทพ ก็ได้ออกมาการันตีแล้วว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจเถื่อนตามแนวชายแดน รวมทั้งได้ช่วยเหลือคนไทยอย่างเต็มที่ อีกทั้งเจ้าตัวเองก็ได้ยืนยันอีกแรงแล้วว่ามีการติดต่อกับ นายพลเตียบัญ รัฐมนตรีกลาโหมกัมพูชาให้ช่วยเหลือตลอดเวลา ส่วนจะมีใครเชื่อสักกี่มากน้อยหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่รับรองว่านี่ไม่ใช่การกล่าวหาทหารทั้งกองทัพ หรือทหารทุกคนเพียงแค่กล่าวหาหรือสงสัย “บิ๊กทหารบางคน” เท่านั้น อย่างเข้าใจผิดหรือ “จงใจ” เข้าใจผิดโดยลากคนอื่นลงมาผสมโรง “เปื้อน” โคลนไปด้วยเป็นอันขาด!!