เกาะกระแส
โดย...ก้อนกรวด
00 กรณีคนไทย “ถูกลักพาตัว” โดยทหารเขมร แม้ว่าจะปล่อยตัวออกแล้ว 2 คน หนึ่งในนั้นคือ “พนิช วิกิตเศรษฐ์” ส.ส.ปชป. ทำให้ประเด็นที่มีการวิเคราะห์กันว่านี่คือ “แผนที่กำหนดล่วงหน้า” กำลังถูกตั้งคำถามดังขึ้น เพราะยังมีคนไทยอีก 5 คน ที่ยังติดคุกในเขมร และในจำนวนนั้นมี “วีระ สมความคิด” ที่ถูกเพิ่มข้อหา “จารกรรม” มีสิทธิ์ติดคุกยาว และแนวโน้มก็เป็นไปแบบนั้นสูงเสียด้วย
00 เสียงตะโกนว่า “พวกเขายัดข้อหาผม” จากปากของ วีระ ทำให้สงสัยขึ้นมาทันทีว่า “พวกเขา” ที่ว่านั้นคือใครบ้าง ก็ต้องมานั่งนึกทบทวนหาความผิดปกติย้อนหลัง จากคำพูดของผู้มีอำนาจในบ้านเมือง เริ่มตั้งแต่ฝ่ายความมั่นคง สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่บอกว่าคนไทยผิด เพราะรุกล้ำเข้าไปถึง 1.2 กิโลเมตร รมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.ต่างประเทศ กษิต ภิรมย์ รวมไปถึงนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ออกมาในโทนเดียวกัน โดยให้ยอมรับคำตัดสิน “ความผิด” ของศาลเขมร
00 จากนั้นทุกอย่างก็เดินไปตามกระบวนการของศาล จนล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา 2 คนไทยที่หนึ่งในนั้นคือ พนิช ได้รับการประกันตัวออกมา ขณะที่อีก 5 คนที่เหลือ รวมถึง วีระ ยังถูกขังเอาไว้ และล่าสุด เมื่อ14 ม.ค. “แขมร์” ก็เซย์โน ลากยาวไม่รู้อนาคต ซึ่งเหมือนกับว่า “พวกเขา” ทำสำเร็จแล้ว
00 จะเรียกว่าเป็นความบังเอิญอย่าง “ร้ายกาจ” ก็ได้ กับการที่ทางการไทยมีการปล่อยตัว ชาวกัมพูชา 2 คน ที่มีความผิดฐาน “รุกล้ำ” เข้าเมืองผิดกฎหมาย และส่งกลับไปเรียบร้อยแล้ว และอยู่ในช่วงที่กำลังปล่อยตัวคนไทยในฝั่งกัมพูชาพอดี ( ยกเว้น วีระ ) ฟังคำอธิบายของรองนายกฯสุเทพ ว่าไม่เกี่ยวกัน ก็ไม่เป็นไร แต่สำหรับคนๆนี้ ต้องคิดในทางตรงกันข้ามเสมอ ถ้าบอกว่าถูกคือผิด บอกว่าผิดก็คือถูก นั่นเอง
00 ในที่สุดการแก้ไขรธน.เที่ยวนี้กลายเป็นการ “ต่อรอง” ผลประโยชน์กันภายในระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล และผลสรุปน่าจะออกมาแบบ “ครึ่งๆ” นั่นคือ พรรคร่วมขนาดกลาง-เล็ก ได้ประโยชน์จากการแบ่ง “เขตเล็ก” ขณะที่ปชป.จะได้สูตร 375+125 ไปนอนกอด เชื่อว่าวงสนทนาบนโต๊ะอาหารวันที่ 25 ม.ค.ที่ นายกฯอภิสิทธิ์ ถึงกับลงมือกล่อมเอง เชื่อว่า “หลงจู๊” บรรหาร ศิลปอาชา เนวิน ชิดชอบ คงไม่มีปัญหา เพราะแบ่งๆ กันไป จากนั้นหลังเลือกตั้งค่อยมาจับมือ “ฮั้ว” กันใหม่
00 ชัดยิ่งกว่าชัดสำหรับการเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยคนใหม่ จาก “เสี่ยจิ้น” ชวรัตน์ ชาญวีรกูล ไปเป็นคนอื่น คนที่ออกมาพูดคือ อนุทิน ชาญวีรกูล รับรองว่า เชื่อถือได้ เพราะในฐานะลูกชาย หรืออาจเรียกว่าเป็น “เงาของเตี่ย” ก็ว่าได้ เหตุผลไม่มีมากไปกว่า “แก่เกินแกง” อีกทั้งไม่มีสีสันสำหรับการแข่งขั้นในสนามเลือกตั้งคราวหน้า และที่สำคัญในชีวิตการเมืองหลังจากผันตัวจากเถ้าแก่ผู้รับเหมา จับพลัดจับผลูได้เป็นรองนายกฯ รักษาการนายกฯ เป็น มท.1 นั่งเก้าอี้หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยแม้ว่าขัดตาทัพชั่วคราว แต่มันน่าปลื้มใจไม่หยอก มาถึงขั้นนี้ถือว่า “สูงสุด” แล้วจะเอาอะไรกันอีก
00 อย่างไรก็ดี อีกมุมหนึ่งทำให้เห็นว่าเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปคนก็ต้องหมุนตามให้สอดคล้อง เพราะจากเดิมที่ “เสี่ยหนู” คือ อนุทิน เตรียม “เชิด” พ่อให้ได้ดิบได้ดี ฝันไกลไปถึงเก้าอี้นายกฯ แต่ล่าสุดเมื่อเปลี่ยนท่าทีเป็นยอม “ยกธง” แบบนี้ แสดงว่ามันดันไม่ขึ้นจริงๆ ขณะเดียวกันบางทีอาจเป็นเพราะสาเหตุมาจาก “จ่ายน้อย” แต่ค้ากำไรเกินควร ก็เป็นไปได้เหมือนกันนะ !!