คณบดีนิติศาสตร์ ม.รังสิต ชี้ 7 คนไทยถูกจับขณะเดินยังไม่ถึงหลักเขตที่ 46 อยู่้ในดินแดนไทยชัดเจน เพราะเขตแดนปักปันร้อยกว่าปีแล้ว JBC ทำได้เพียงแค่ดูหลักเขตว่าสมบูรณ์หรือไม่ ระบุ กัมพูชายึดเขตแดนตามแผนที่ฝรั่งเศส จี้รัฐบาลต้องรู้ว่าราชอาณาเขตของไทยมีอยู่แค่ไหน อย่ามัวแต่คิดว่าจะคุยเขมรรู้เรื่องเหมือนพม่า-มาเลเซีย
เว็บไซต์อาร์เอสยูนิวส์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้สัมภาษณ์ ศ.ดร.สมปอง สุจริตกุล คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีที่ 7 คนไทยถูกจับกุม ว่า ไม่มีประเทศใดที่เป็นอารยะในโลกนี้ที่จะทำอย่างกัมพูชาที่มาลักพาตัวคนในเขตไทยข้ามฝั่งไปยังเขตของตนเอง เพราะกัมพูชาเข้าใจผิดว่า พื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นของเขา เพราะยึดตามแผนที่ที่เขียนขึ้นตั้งแต่ปี ค.ศ.1907 ทั้งที่แผนที่นั้นเป็นแผนที่ที่ผิด เพราะเจ้าหน้าที่กรมแผนที่ และทหารของฝรั่งเศสและกัมพูชา ร่วมมือกันทำโดยที่ประเทศไทยยังไม่ได้สำรวจ ทั้งนี้ เป็นเพราะตอนนั้นฝรั่งเศสต้องการดินแดนเพิ่มเติมจากไทย คือ เสียมราฐ พระตะบอง ศรีโสภณ เมื่อไทยตกลงจะยกให้ฝรั่งเศสและกัมพูชากลับทำแผนที่ไปเรียบร้อยแล้ว
ดร.สมปอง กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยไม่เคยยอมรับแผนที่ฉบับนี้ เพราะว่าผิดจากข้อเท็จจริง ในโลกนี้ไม่เคยมีประเทศใดเสียดินแดนเพราะแผนที่ มิฉะนั้น ประเทศจีนก็ทำแผนที่ไว้นานแล้วว่าไทยเป็นส่วนหนึ่งของจีน แต่จีนก็ไม่เคยมาเรียกร้องว่าไทยเป็นของจีน เพราะเขาไม่ใช่ประเทศที่ป่าเถื่อน การที่จะได้พื้นที่ของประเทศหนึ่งประเทศใดมาครองนั้น ไม่ได้เกี่ยวกับแผนที่ ที่ผ่านมา กัมพูชาฟ้องให้ศาลโลกตัดสินว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่บนพื้นที่ที่อยู่ในอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ขอให้ประเทศไทยถอนทหารออกจากปราสาท และบริเวณโดยรอบ ขอให้ไทยคืนสิ่งของอะไรต่างๆ ที่เอาไปจากปราสาทพระวิหาร ซึ่งทหารไทยก็ปฏิบัติตาม
แต่หากได้อ่านคำพิพากษาศาลโลก จะพบว่า ศาลไม่ได้ชี้ขาดว่า แผนที่นี้ผิดหรือถูก แต่ในคำพิพากษาแย้งของผู้พิพากษาชาวออสเตรีย อาร์เจนตินา และจีน ลงความเห็นเหมือนกันว่าแผนที่ดังกล่าวผิด ผิดตรงที่กัมพูชาและฝรั่งเศส เข้าใจว่า แม่น้ำไหลจากตีนเขาไปสู่ยอดเขาจริงๆ ซึ่งโดยธรรมชาติต้องไหลจากยอดเขามาสู่ตีนเขา เส้นที่เขาลากจึงผิด เพราะฉะนั้นจึงตัดเอาเขาพระวิหารไปเป็นของกัมพูชา เคยมีคนคำนวณไว้ว่าการลากผิดครั้งนี้ ทำให้ประเทศไทยเสียพื้นที่ 1,800,000 ไร่ คนไทยไม่เข้าใจว่า คำพิพากษาแย้ง คือ คำพิพากษา แม้คำพิพากษาหลักไม่ได้ชี้ขาดเรื่องนี้ แต่คำพิพากษาแย้งชี้ขาดแล้วว่าแผนที่นี้ใช้ไม่ได้
“แม้แต่ปราสาทพระวิหารก็อยู่ในเขตไทย เราไม่เคยยอมรับแผนที่ ที่หลายคนพูดว่า เราจะไปทวงคืนนั้นมันไม่จริง เพราะเรายังไม่ได้เสียจะไปทวงคืนได้อย่างไร ศาลโลกไม่มีอำนาจบังคับคดี ไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษา เราไม่ฟังอีกแล้ว เราไม่ขึ้นศาลโลกอีกแล้ว ตัดสินก็ตัดสินไป แต่ก็ไม่เคยมีประเทศใดปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลโลก ก็มีแต่ประเทศไทย เพราะไม่อยากให้คนเขาว่าเราบิดพลิ้ว ทั้งนี้ การปฏิบัติตามก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะสละอำนาจอธิปไตย ดินแดนนั้นยังเป็นของเราอยู่ เราไม่ได้ยกให้ เพราะฉะนั้นไม่ต้องทวงคืน เพียงแต่ต้องคัดค้านกัมพูชาตั้งแต่แรกที่จะขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เพราะเราเกรงว่า จะมีปัญหาเรื่องอื่นตามมา” ศ.ดร.สมปอง
ศ.ดร.สมปอง กล่าวต่อไปว่า นายพนิช และคณะ ยังเดินไปไม่ถึงหลักเขตที่ 46 ซึ่งเป็นหลักเขตที่อยู่ในดินแดนไทยอย่างชัดเจน เพราะพื้นที่นี้มีการปักปันเขตแดนนานกว่าร้อยปีแล้ว คณะกรรมการชุดใหม่แค่เพียงมาดูว่าหลักเขตที่ปักปันไปนานมีหลักเขตไหนที่ชำรุดเสียหายหรือมีผู้ร้ายโยกย้ายหรือไม่ ซึ่งมีการสำรวจกันเรื่อยๆ ทั้งนี้ การปักปันเขตแดนมีอยู่ 3 ขั้นตอน คือ 1.สร้างบทนิยามที่อยู่ในตัวบทของสนธิสัญญาที่ตกลงกันสองฝ่าย 2.นำบทนิยามมาปรับกับพื้นที่โดยการส่งคณะผู้แทนทั้งสองฝ่ายลงสำรวจพื้นที่จริงว่า ที่ที่ตกลงกันอยู่จุดไหนเพื่อนำกลับมาลากเส้น 3.ลงมือปักหลักเขตในพื้นที่ที่เขตแดนธรรมชาติไม่ชัดเจน เช่น ไม่มีสันเขา หรือสันปันน้ำ เป็นเขตแดน
ซึ่งพื้นที่ที่ นายพนิช และคณะถูกจับกุม เป็นพื้นที่ที่เข้าข่ายการปักปันในข้อ 3 คือ มีการปักหลักเขต ซึ่งหลักที่ 1 ตั้งอยู่ที่ช่องสะงำ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ หลักเขตที่ 73 อยู่ที่บ้านหาดเล็ก อ.คลองใหญ่ จังหวัดตราด โดยครั้งแรกหลักเขตทำด้วยไม้และมีการเปลี่ยนเป็นหลักเขตที่ทำด้วยหินเมื่อปี 1919 แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพื้นที่ดังกล่าวมีการปักปันเขตแดนไปเรียบร้อยแล้ว การที่คณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (Joint Border Committee: JBC) อ้างว่า เป็นคณะกรรมการปักปันเขตแดนนั้นเป็นการสำคัญผิด เพราะคณะกรรมการปักปันผสมชุดที่สองเขาเดินทางทำไปหมดเมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว
“การจับกุมครั้งนี้ถือเป็นความโชคดีของคนไทยที่ได้ลืมตาเสียที และจะได้จี้ให้รัฐบาลไทยเข้าใจว่ากัมพูชาเป็นอย่างไร รัฐบาลอย่ามัวเพ้อฝัน ว่า กัมพูชาจะเหมือนกับประเทศพม่า หรือมาเลเซีย ที่พูดคุยกันรู้เรื่อง คนของเราประมาทที่ไม่เอาตำรวจตระเวนชายแดนของเราเข้าไปด้วย เราไม่คุ้มครองคนของเราเอง รัฐบาลมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มีหน้าที่ตามจรรยาบรรณ มีหน้าที่ตามกฎหมายระหว่างประเทศ มีหน้าที่ตามกฎหมายไทยที่จะต้องให้ความคุ้มครองคนในชาติของตนเอง แต่คนในรัฐบาลกลับไปพูดคล้ายๆ ว่า คนของเราบุกรุกเข้าไป คนที่โดนจับกุมเป็นถึงสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีอภิสิทธิ์เหนือคนในชาติ ผมไม่เชื่อว่าจะมีรัฐบาลไทยสมัยไหนจะทำให้คนไทยเสื่อมเสียได้มากไปกว่านี้ ในอดีตเราไม่โต้แย้ง เพราะเรากลัวฝรั่งเศสจะเอาดินแดนไปมากกว่าเดิม เนื่องจากตอนนั้นทหารฝรั่งเศสตั้งฐานที่มั่นอยู่ที่จังหวัดตราดและจันทบุรี เขาเพิ่งถอนกำลังไปเมื่อเราทำสัญญายอมยกเสียมราฐ พระตะบอง และศรีโสภณ ให้เขา เมื่อปี ค.ศ.1907 แต่เวลานี้ประเทศที่ยัดเยียดแผนที่ให้เราเป็นกัมพูชาที่เคยเป็นอดีตประเทศราชของไทยซึ่งเรายกให้ฝรั่งเศสไป ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีหน้าที่บอกกัมพูชา ว่าแผนที่มันผิด การที่เราอนุญาตให้คนกัมพูชาเข้ามาอยู่ในเขตไทยโดยไม่ไล่ออกไปถือเป็นการอนุญาตโดยอนุโลม ดังนั้นต้องรู้ว่าพระราชอาณาเขตของไทยมีอยู่แค่ไหน และจะต้องอธิบายให้คนไทยเข้าใจอย่างชัดเจน” ดร.สมปอง กล่าว