“เทพมนตรี” ออกแถลงการณ์ ยืนยันคนไทย 7 คน อยู่ในเขตแดนไทย แต่ถูกเขมรจับตัวไป โต้นักการเมืองหวังแต่จะฉกฉวยโอกาส ไม่จริงใจในการช่วยชาวบ้านที่เดือดร้อนเพราะถูกเขมรบุกยึดไร่นา และไม่จริงใจพิสูจน์ข้อเท็จจริงเรื่องนี้ ชี้หลักเขตแดนที่ 23-51 ยังไม่ชัดเจน กลับดาหน้าออกมายืนยันว่าถูกจับในเขตเขมร ส่วนกรณีเขาพระวิหารจี้นายกฯ เร่งสะสางข้อสงวนสิทธิ์ และกรณีแผนที่ดงรัก
เมื่อเวลา 01.16 น. นายเทพมนตรี ลิมปพยอม นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ เปิดเผยผ่านเฟซบุ๊ก Thepmontri Limpaphayom ในหัวข้อ “แถลงการณ์ คนไทย 7 คนอยู่ในดินแดน ประเทศไทยแต่ถูกทหารเขมรจับตัวไป”
“ตามที่ผมได้นำเสนอข้อมูลหลักฐานและเหตุผล ซึ่งประกอบไปด้วย เอกสารชั้นต้นจากกองกำลังบูรพา และรายงานของตำรวจตระเวณชายแดน แผนที่ และแผนผัง บันทึก รายงานการประชุม JBC โฉนดที่ดิน ประจักษ์พยานของชาวบ้าน และอื่น ฯลฯ จนมากพอที่จะสรุปได้ว่า กรณีคนไทยทั้ง 7 คน ได้แก่ ส.ส.พนิช วิกิตเศรษฐ์ คุณวีระ สมความคิด และคนอื่นๆ อีก 5 คน ได้ถูกกองกำลังต่างชาติ (กัมพูชา) พร้อมอาวุธสงคราม เข้าล้อมจับคนไทยในดินแดนประเทศไทย ในพื้นที่บ้านหนองจาน อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ในฐานะที่ผมเป็นนักประวัติศาสตร์โดยอาชีพ ขอยืนยันด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็นนักวิชาการ ซึ่งไม่ใช่นักการเมืองที่วันวันมีแต่จะเล่นการเมืองฉกฉวยจังหวะ และโอกาสโดยมองปัญหาของคนทั้ง 7 เป็นเรื่องที่จะมาคอยเอาชนะหรือคอยหาโอกาสให้ตนเองดูดี โดยหลงลืมความเป็นจริงทั้งหลักวิชาการทั้งการค้นคว้าหาหลักฐาน รวม ไปถึงความพยายามที่จะช่วยกันตรวจสอบพิสูจน์ ด้วยการลงไปในพื้นที่และจัดรูปคณะกรรมการขึ้นมาสืบค้นหาความจริงอย่างเป็นรูปธรรม
นับตั้งแต่คนไทยทั้ง 7 คนถูกจับ รัฐบาลไม่เคยทำการตรวจสอบอย่างจริงจัง ต่างดาหน้าออกมาให้ความเห็น แม้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค่างประเทศก็ยังกล้าฟันธงว่า คนไทยทั้ง 7 คนรุกล้ำดินแดนกัมพูชา ทั้งๆที่หลักฐานจากรายงานการประชุมของคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา ยังหาข้อตกลงถึงความชัดเจนของหลักเขตแดน ระหว่างหลักที่ 23-51 ยังไม่ได้ ประกอบกับการยืนยันของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศใช้เพียงข้อกล่าวอ้างของหน่วยงานที่มิได้เข้าไปถึงพื้นที่จริงด้วยตนเอง ซึ่งขัดต่อรายงานของกองกำลังบูรพาว่าด้วยหมู่บ้านเขมรอพยพที่รุกล้ำดินแดนไทยเข้ามา และรายงานของตำรวจตระเวณชายแดนที่ 126 ซึ่งประจำการอยู่ ณ จุดเกิดเหตุคนไทย ถูกจับ ผมในฐานะนักวิชาการมีเจตนาพยายามที่จะช่วยคนไทยทั้ง 7 ไม่เหมือนใครบางคนแค่มาปกป้องนายกรัฐมนตรี เพียงกลัวข้อกล่าวหาที่ว่าส่งคนสนิทไปหาข่าวในทางลับ อันอาจส่งผลเพียงแค่การถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตี (ทางการเมือง)
สิ่งที่น่าจะต้องบันทึกเอาไว้อย่างมั่นคงในที่นี่ด้วยก็คือ หากคนทั้ง 7 คนที่เป็นคนไทย ถูกข้อกล่าวหาจากคนเขมร แต่มีพยานเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในเมืองไทยไปสนับสนุนเขมรซ้ำ เข้าไปอีก ศาลเขมรศาลไหนจะให้คนเหล่านั้นพ้นผิด มันมิกลายเป็นศาลเตี้ยในดงเขมรกระนั้นหรือ และถ้าเกิดมีการขอพระราชทานอภัยโทษ คนไทยทั้ง 7 คน อาจมีอิสรภาพ แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ภายนอก แต่ใจของเขาเหล่านั้นคงจะสลายและต้องเป็นตราบาปติดตัวไป หากเขมรขย่มข่มขืนเราทุกครั้งเรื่องดินแดน เขมรก็จะนำเอาหลักฐานกรณีนี้ขึ้น มาอ้างเสมอๆ จิตใจของคนเหล่านี้จะเป็นเช่นไร สิ้นศักดิ์ศรี เกียรติยศ เกียรติภูมิ รวมไปถึงเขาเหล่านั้นจะต้องรับชะตากรรมที่อาจทำให้ประเทศชาติอยู่ในสภาวะอดสู สิ้นแม้เกียรติและศักดิ์ศรีไปตราบนานเท่านาน ผมรู้ว่าพวกท่านที่เรารับผิดชอบต่อบ้านเมืองทั้งหลายคงไม่รู้สึกรู้สาถึงสิ่งเหล่านี้ ผมไม่ว่าอะไรหรอกเพราะผมก็เป็นเพียงนักประวัติ ศาสตร์ตัวเล็กๆ แต่แถลงการณ์ความจริงของผมฉบับนี้จะมีอายุยืนนาน นานกว่าชีวิตผมและพวกท่านทั้งหลาย
ผมในฐานะผู้ศึกษาเรื่องดังกล่าวได้เพียรพยายามค้นคว้าหาหลักฐานนำมาอ้างอิงเพื่อจะได้ช่วยแบ่งเบาภาระงานของรัฐบาลและเป็นการช่วยพี่น้องคนไทยร่วมชาติทั้ง 7 คน แต่สิ่งที่ได้รับตอบสนองกลับมาคือการจับผิดเพียงประเด็นเล็กๆน้อยๆไม่มีสาระสำคัญประการใดเลย อาทิ กรณี SITE2 ซึ่งก็มีสถานะเป็นค่ายผู้อพยพเฉกเช่นเดี๋ยวกันกับ “บ้านหนองจาน” อันเป็นสถานที่เกิดเหตุ ที่น่าเสียดายก็คือ ความเพียรพยายามของฝ่ายการเมืองที่ต้องการตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าคนไทยทั้ง 7 คน รุกล้ำเข้าไปในดินแดนเขมร หรือบางทีใช้การเล่นคำ โดยบอกว่า “พวกเขาเหล่านั้นพลัดหลงเข้าไปโดยมิได้เจตนา” ซึ่งเป็นเรื่องที่ตกลง
อันที่จริงแล้วสิ่งที่เป็นสาระสำคัญของเรื่องนี้มี 2 ประเด็น
1. เรื่องความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ต้องสูญเสียไร่นาจากการรุกล้ำดินแดนของเขมร
2. เรื่องการพิสูจน์หลักเขตแดน
แต่ปรากฏว่า 2 เรื่องนี้ กลับถูกเบี่ยงเบนประเด็นออกไป เพราะไม่ต้องการพุ่งเป้าไปที่ “เป็นการสั่งการในทางลับของนายกรัฐมนตรีที่ให้คุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ ในฐานะ ส.ส.คนสนิทและเคยเป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีการต่างประเทศ ลงพื้นที่หาความจริง” ประเด็นนี้ก็ถูกมองข้าม จากความสาละวนของนักการเมืองรอบตัวนายกฯที่กลัวว่า “ไข่แดงจะแตก”
อนึ่ง เป็นความเบื่อหน่ายสะอิดสะเอียนที่จะต้องมาต่อความยาวสาวความยืด ที่สำคัญผมอยากขอบอกกล่าวไปถึงผู้เกี่ยวข้องทุกคนว่า กรณีคุณพนิช วิกิตเศรษฐ์ ซึ่งเป็นคนที่ มุ่งมั่นจะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความทุกยากของชาวบ้าน กลับถูกเพื่อน ส.ส.ในพรรคเดียวกันไม่แยแสไม่เหลียวแล ผมถือว่าคนเหล่านี้เป็นคนแล้งน้ำใจ รวมไปถึงการทำงาน ของกระทรวงการต่างประเทศที่ไม่รอบคอบในการออกคำแถลงต่างๆ แม้จะปฏิเสธว่านั่นก็แค่นักการเมืองเป็นผู้แถลง แต่จะปัดความรับผิดชอบไม่ได้ ผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้ ท่านนายกรัฐมนตรีท่านรู้ดีและย่อมทราบอยู่แก่ใจ กรณีชาวบ้านทั้ง 27 คน มีตั้งแต่คนจน ไปถึงคนแก่ การรับปากรับคำว่าจะช่วยนำที่ดินกลับคืนมาให้พวกเขา อันนี้ในมุม มองของผมมันเป็นไปไม่ได้เลย เพราะที่ดินของชาวบ้านบัดนี้กลายเป็นหมู่บ้านเขมรไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านนายกฯ ไปให้ความหวังชาวบ้านในสิ่งที่ท่านทำไม่ได้ เพราะถ้าจะทำท่านต้องผลักดันหมู่บ้านเขมรออกไปจากแผ่นดินไทย อนึ่ง เรื่องบ่อน้ำ/สระน้ำที่ UN มาขุดสำหรับศูนย์อพยพ คนใกล้ชิดท่านนายกฯบอกว่าอยู่ในเขตกัมพูชา ซึ่งพูดขัด กับหลักฐานของชาวบ้านตามที่ผมและอาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ได้แสดงเทปบันทึกวิดีโอออกอากาศไปในค่ำวันที่ 13 มกราคม 2554 ณ ช่อง NEW1 ทาง ASTV ไปแล้วว่าที่ตั้งของบ่อน้ำเป็นที่ดินของชาวบ้านซึ่งเป็นคนไทย
ด้วยเหตุนี้ ผมคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างก็ได้ทำการพิสูจน์แล้ว หากมีสิ่งใดที่จะต้องเกิดขึ้นในอนาคตด้วยเรื่องที่จะต้องโต้ตอบกันอีกก็ว่ากันเป็นครั้งๆ ไป แต่สำหรับผม ผมคิดว่าเราต้องกลับไปสู่เป้าหมายของเรา นั่นก็คือ “กรณีปราสาทพระวิหารและบริเวณโดยรอบ” ในเบื้องต้นนี้ ผมขอนำเรียนท่านนายกรัฐมนตรีได้ทราบว่า “ข้อสงวนสิทธิ์” และ “กรณีแผนที่ดงรัก” ยังคงเป็นสิ่งที่ท่านจะต้องรีบเร่งสะสาง ประกอบกับปัญหาเรื่องมรดกโลกก็ยังเป็นปัญหาคาราคาซังจนมาถึงทุกวันนี้ และนับวันประเทศไทยของเราจะเหลือเวลา อยู่น้อยนิดในการที่จะชี้แจงต่อชาวโลกให้เห็นถึงความจริง ดังนั้น สำหรับใครก็ตามที่พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะทำลายเครดิตทางวิชาการของผม ควรพึงสังวรณ์ถึงการกระทำและชีวิตที่เหลืออยู่ เพราะประวัติศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยเรื่องของมนุษย์ในอดีต วันคืนที่ผ่านไปจะดีหรือชั่วขึ้นอยู่ที่การกระทำ ประวัติศาสตร์จะบอกอนาคตว่าใครควรเป็น คนที่ได้รับการยกย่องมีอนุสาวรีย์ให้คนกราบไหว้ หรือใครควรเป็นคนชั่วช้าสารเลวมีอนุสาวรีย์เพียงเพื่อเป็นที่รองรับสิ่งปฏิกูลอาจมของหมู่นกกาพญาแร้ง
ขอแสดงความนับถือ
นายเทพมนตรี ลิมปพยอม”