“องอาจ” สั่ง สคบ.ปี 2554 ต้องทำงานเชิงรุก หลังพบมีผู้บริโภคจำนวนมากยังถูกเอาเปรียบจากจากการนำสินค้าจากต่างประเทศที่ไม่ได้มาตรฐานเข้ามาจำหน่วย พร้อมให้เล่นงานเคเบิ้ลทีวีและโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่มักโฆษณาเกินจริง
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลสำนักคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงการคุ้มครองผู้บริโภคในการซื้อสินค้าและบริการว่า ที่ผ่านมายังคงมีผู้บริโภคจำนวนมากถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้ประกอบการภายใน และการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศที่ไม่ได้มาตรฐานข้ามา ในปี 2554 ตนจึงมีนโยบายที่จะให้ สคบ.ทำงานเชิงรุกมากขึ้นโดยดำเนินการ ดังนี้
1.ตั้งสายลับตรวจจับโฆษณาที่หลอกลวงผู้บริโภค เพราะขณะนี้ สคบ.ได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมากว่า การโฆษณาขายสินค้าผ่านทางสถานีโทรทัศน์ และสถานีโทรทัศน์เคเบิลทีวี พบว่ามีการโฆษณาที่เข้าข่ายหลอกลวงผู้บริโภคและโฆษณาเกินจริงมากขึ้น ตามกฎหมายมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2.ตั้งชุดตรวจสอบสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ภายใต้ชื่อศูนย์เฝ้าระวัง และพิสูจน์สินค้าที่ไม่ปลอดภัย หากผู้บริโภคพบว่าสินค้าที่ซื้อไปไม่เป็นตามที่โฆษณาไว้ สามารถส่งเรื่องให้ สคบ.ตรวจสอบได้ หากพบว่ามีการหลอกลวงผู้บริโภค สคบ.จะดำเนินการตามกฎหมายทันที
3.ตั้งชุดปราบปรามการละเมิดสิทธิผู้บริโภคขึ้นมาทำงานร่วมกับตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ สคบ.ยังปรับปรุงเว็บไซต์ www.ocpb.go.th จากเดิมที่ให้บริการเฉพาะในเวลาราชการ โดยหากผู้บริโภคไม่ได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้า และบริการ หรือพบเห็นการโฆษณาที่เข้าข่ายหลอกลวงหรือเกินจริงสามารถแจ้งเรื่องได้ที่เว็บไซต์ดังกล่าว หรือสายด่วน 1166 ตลอด 24 ชั่วโมง
“ในช่วงปี 2554 สคบ.จะเน้นทำงานเชิงรุกในเรื่องของการรณรงค์ สร้างความเข้าใจกับประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะให้ประชาชนเข้าในสิทธิของผู้อื่น และรณรงค์ให้ผู้ประกอบการทำงานรับผิดชอบต่อผู้บริโภคไม่เอาเปรียบสังคม ไม่มีสินค้าหรือบริการที่ไปละเมิดสิทธิของผู้อื่น”
ผู้สื่อข่าวถามว่าสามารถจะเอาจริงได้มากน้อยแค่ไหน เพราะสินค้าบางชนิดก็มีผู้มีอิทธิพลเข้าไปเกี่ยวข้อง นายองอาจกล่าวว่า วันนี้ก็พยายามย้ำกับผู้บริหารระดับสูงของ สคบ.ให้ดำเนินการอย่างจริงจังโดยไม่ไปคำนึงถึงว่าเป็นรายเล็กหรือรายใหญ่ แต่ก่อนที่จะดำเนินการนั้นต้องมีข้อมูลที่ชัดเจนว่าได้ละเมิดสิทธิ์ผู้อื่นและทำผิดกฎหมายจริง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา สคบ.ก็ได้ดำเนินการไปพอสมควร ที่ผ่านมาเราได้ดำเนินการกับหลายบริษัทที่มีชื่อเสียง
ผู้สื่อข่าวถามว่า สายลับที่ว่านี้จะมาจากไหน นายองอาจกล่าวว่า จะมีเจ้าหน้าที่ประจำและมีอาสาสมัคร ที่คอยจะมอนิเตอร์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ โดยเน้นสื่อที่เข้าข่ายทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะเคเบิลทีวีและโทรทัศน์ดาวเทียม อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เรามีชมรมคุ้มครองผู้บริโภคซึ่งทำงานร่วมกับโรงเรียนมัธยม จะมีนักเรียนช่วงเฝ้าระวังด้วยส่วนหนึ่ง รวมทั้งกรมการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.) ซึ่ง สคบ.ได้ไปฝึกอบรมให้เขาทำงานเรื่องนี้ และรายงานความคืบหน้าให้ สคบ.ทราบ
ต่อข้อถามว่าเบื้องต้นจะมีการประสานกับผู้ประกอบการเคเบิลทีวี ก่อนที่จะเผยแพร่เรื่องนี้ออกไปหรือไม่ รมต.สำนักนายกฯ กล่าวว่า คงจะมีการประสานแจ้งให้ทราบ ที่ผ่านมาเราได้มีโอกาสพบกับผู้ประกอบการ ซึ่งได้บอกเป็นการภายในไปบ้างแล้วให้มีการตรวจสอบ ระมัดระวังในเรื่องนี่ ผู้สื่อข่าวถามว่า ตรงนี้เป็นอำนาจตรวจสอบของเราโดยตรงหรือของใคร นายองอาจกล่าวว่า เป็นอำนาจโดยตรงและเป็นเรื่องของการโฆษณา สคบ.ทำงานหลักอยู่ 3 เรื่องคือ ฉลากสินค้า สัญญา การซื้อขาย การบริการต่างๆ และเรื่องโฆษณาที่หลอกลวงเป็นเท็จ หรือเกินจริงต่างๆ
ส่วนหากมีการโฆษณาเกินจริง สคบ.จะดำเนินการได้มากน้อยแค่ไหนนั้น นายองอาจกล่าวว่า ก็ดำเนินการค่อนข้างมากมีการฟ้องร้อง เปรียบเทียบปรับหลายรายแต่ว่าบางครั้งเราอาจจะไม่ค่อยได้ทราบ ซึ่งพอเราดำเนินการเขาก็แก้ไข ส่วนคดีความเราก็ต้องทำต่อไป แต่สางที่เขาทำผิดไปแล้วเราก็ต้องดำเนินการต่อ
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่ผ่านมาดูเหมือนสถานการณ์แย่ลง โดยเฉพาะตัวเคเบิลทีวี นายองอาจ กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์มีช่องทางมากขึ้น มีปริมาณเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้มีผู้ที่ไม่รับผิดชอบต่อสังคม พยามยามใช้ช่องที่เพิ่มมากขึ้น ในการทำให้เกิดความเข้าใจผิดของสินค้าและบริการ ที่โฆษณาผ่านสื่อบางประเภท ส่วนโทษก็ดูว่าสิ่งที่เขาดำเนินการทำความผิดมากน้องแค่ไหน ส่วนมากก็มีทั้งโทษปรับ สำหรับโทษชัดเจนในการโฆษณาเกินจริง เราจะต้องได้รับการร้องเรียนก่อนหรือไม่ นายองอาจกล่าวว่า ไม่ต้อง เราต้องพิสูจน์ว่าเขาเกินจริงหรือไม่โดยต้องไปพิสูจน์ในศาล และเราต้องมีข้อมูลที่เพียงพอที่จะไปพิสูจน์ในศาลเช่นกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า อย่างที่เห็นบ่อยๆ เช่น โฆษณากาแฟลดความอ้วน หรือชุดกระชับสัดส่วนของผู้หญิง เราเคยได้รับการร้องเรียนบ้างหรือไม่ รมต.สำนักนายกฯ กล่าวว่า ตรงนี้ถ้าเป็นเรื่องของคุณภาพก็จะเป็นเรื่องของอาหารและยา แต่ในเรื่องโฆษณาเป็นเรื่องของ สคบ. ถ้าเขาโฆษณาเผยแพร่อาหารและยาก็จะไปดำเนินการ ในเรื่องของคุณภาพอาหารและยาที่ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น อย่างไรก็ตาม บางเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงก็จะประสานกับทางกระทรวงสาธารณสุข สำหรับเรื่องตัวเลขและสถิติเท่าที่ดูในช่วงปีที่แล้ว ปริมาณยังไม่มากเท่าไหร่ แต่ตอนนี้ช่องทางเพิ่มมากขึ้น ทำให้ปริมาณเพิ่มมากขึ้นด้วย ขณะที่มีประชาชนเริ่มร้องเรียนเพิ่มมากขึ้น
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการปรับปรุงขั้นตอนในการร้องเรียน สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐานให้รวดเร็วขึ้นบ้างอย่างไร นายองอา กล่าวว่า ปัญหาอยู่ตรงที่หากผิดกฎหมายเราก็ต้องรวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ ให้เพียงพอ เวลาไปขึ้นศาลหากพยานหลักฐานไปเพียงพอ ก็จะไม่สามารถเอาผิดกับผู้ที่กระทำผิดได้
ต่อข้อถามว่าเรื่องร้องเรียนที่ค้างมาตั้งแต่ปี 53 มีจำนวนมากหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า ไม่มาก เราทำงานร่วมกับสภาทนายความ มีเรื่องร้องเรียนที่คั่งค้างประมาณ 2,000 กว่าเรื่อง พอหลังจากที่ตนเข้ามาทำงานร่วมกับสภาทนายความ ก็ได้ส่งทนายอาสามาช่วยสะสางเรื่องต่างๆ ได้ประมาณ 1,400 กว่าเรื่อง ในช่วง 3-4 เดือนหลังก่อนสิ้นปี
ผู้สื่อข่าวถามว่าในกรณีโฆษณาเหล้าที่พยายามหลีกเลี่ยง แต่ก็มีแบรนด์ขึ้นมาทำให้รู้ว่าเป็นโฆษณาอะไร นายองอาจกล่าวว่า ตรงนี้จึงต้องมีการรวบรวมพยานหลักฐานให้เพียงพอ ว่าเข้าข่ายหรือไม่เพราะตนที่ทำผิดก็พยายามเลี่ยง อย่างไรก็ตาม แน่นอนที่สุดเราสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายแต่คนเหล่านี้ก็หาช่วงว่าทางกฎหมาย ซึ่งตรงนี้ต้องไปไกลถึงการแก้กฎหมาย เมื่อถามว่าส่วนใหญ่ที่ร้องเรียนทางเคเบิลมีอะไรบ้าง นายองอาจกล่าวว่า ส่วนใหญ่เป็นเครื่องสำอางและอาหารเสริม