อมรรัตน์ ล้อถิรธร....รายงาน
ก่อนที่การชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลของคนเสื้อแดง จะเปิดฉากขึ้นในวันที่ 14 มี.ค.นี้ หลายฝ่ายต่างหวาดวิตกว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอย “สงกรานต์เดือด” เมื่อวันที่ 13 เม.ย.2552 หรือไม่ หรือจะร้ายยิ่งกว่า ถึงขั้นก่อวินาศกรรมเผาบ้านเผาเมืองให้เป็นทะเลเพลิง ดังที่แกนนำเสื้อแดงประกาศ แต่ก่อนจะถึงเวลานั้น ลองย้อนกลับไปดูพฤติกรรมของกลุ่มเสื้อแดงในช่วงสงกรานต์ปีที่แล้วกันอีกสักครั้ง แล้วจะรู้ซึ้งว่า ฝ่ายรัฐ หรือกลุ่มเสื้อแดงกันแน่ที่เป็นฝ่ายใช้ความรุนแรง
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายงานพิเศษ
ครั้งนั้นก่อนที่การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงจะเริ่มขึ้นในวันที่ 8 เม.ย.2552 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ปลุกระดมคนเสื้อแดงทั่วประเทศผ่านวิดีโอลิงก์ไปยังเวที นปช.ที่ปักหลักชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ให้ออกมาชุมนุมกันมากๆ ในวันที่ 8 เม.ย.โดยอ้างว่าเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง ขณะที่แกนนำ นปช.ก็ประกาศว่า วันที่ 8 เม.ย.จะเป็นวันเผด็จศึกเช็กบิลรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และโค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตยที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีเป็นหัวหน้า โดยเชื่อว่าจะมีคนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมไม่ต่ำกว่า 3 แสนคน แต่ปรากฏว่า เมื่อถึงวันจริง กลับมีคนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมที่ทำเนียบ ไม่ถึง 1 แสนคน โดยมีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวและเป็นผู้บัญชาการม็อบเสื้อแดงด้วยตนเอง แม้ตัวจะอยู่ต่างประเทศก็ตาม
แต่น่าสังเกตว่า แม้คนตระกูลชินวัตรจะลุกขึ้นมาเปิดศึกกับองคมนตรี และประธานองคมนตรี รวมทั้งปลุกระดมคนเสื้อแดงให้ล้มรัฐบาล และระบอบอำมาตยาธิปไตย แต่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับให้คนในครอบครัวและเครือญาติเอาตัวรอดด้วยการหนีไปตั้งหลักที่ต่างประเทศ ก่อนที่การชุมนุมใหญ่ 8 เม.ย.จะเริ่มขึ้น โดยคุณหญิงพจมาน เดินทางไปฮ่องกง เมื่อวันที่ 6 เม.ย., น.ส.แพทองธาร เดินทางไปลอนดอน วันที่ 6 เม.ย., น.ส.พินทองทา เดินทางไปฮ่องกง 7 เม.ย., นายพานทองแท้ เดินทางไปดูไบ กลางดึกวันที่ 7 เม.ย.
ทั้งนี้ เมื่อถึงวันชุมนุมใหญ่ 8 เม.ย.ม็อบเสื้อแดงที่ทำเนียบ ได้พยายามขยายฐานการชุมนุมไปยังบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า และหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม โดยมีการปราศรัยโจมตี พล.อ.เปรม ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ขณะที่แกนนำ นปช.อ่านแถลงการณ์มวลมหาประชาชนคนเสื้อแดง 3 ข้อ 1.พล.อ.เปรม, พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี ต้องลาออกจากองคมนตรี 2.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องลาออกจากนายกฯ และ 3.การบริหารราชการแผ่นดินต้องดำเนินไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย การจะปรับปรุงใดๆ ให้ดีขึ้นตามหลักสากล ต้องปรึกษาหารือนักประชาธิปไตยผู้มีประวัติ และพฤติกรรมเชิดชูระบอบประชาธิปไตยเป็นที่ประจักษ์
ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ วิดีโอลิงก์มายังเวทีคนเสื้อแดงที่ทำเนียบ (8 เม.ย.) โดยขอให้ผู้ชุมนุมอดทนอีก 3 วัน จะได้ประชาธิปไตยแน่นอน “พอแล้วกับประชาธิปไตยวับๆ แวมๆ ที่เจอมา 40-50 ปี ต่อไปนี้ต้องเป็นประชาธิปไตยที่สดใส ไม่มีอีแอบเปิดเข้าเปิดออก” เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อการชุมนุมใหญ่วันที่ 8 เม.ย.ไม่สามารถส่งผลให้องคมนตรีและประธานองคมนตรี รวมทั้ง นายอภิสิทธิ์ ลาออกตามคำขู่ได้ แกนนำ นปช.จึงประกาศยกระดับการชุมนุมในวันต่อมา (9 เม.ย.) โดยได้ปฏิบัติการดาวกระจายไปปิดล้อมสถานที่ต่างๆ 7 จุด ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ, ศาลรัฐธรรมนูญ, กองทัพบก, พรรคประชาธิปัตย์, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย, สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย (ช่อง 11 หรือเอ็นบีทีเดิม) รวมทั้งจุดที่เป็นศูนย์กลางการจราจรอย่างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สร้างความไม่พอใจให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นอย่างมาก รวมถึงผู้ป่วยที่ไม่สามารถเดินทางเข้ารักษา หรือออกจากโรงพยาบาลละแวกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินับ 10 แห่งได้
ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้วิดีโอลิงก์มายังม็อบเสื้อแดงที่ทำเนียบ อีก (9 เม.ย.) โดยบอกว่า วันนี้แพ้ไม่ได้ เราต้องชนะ พร้อมจี้ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้ยุบสภา และว่า ถ้าเจ้าหน้าที่มีการใช้กำลังสลายผู้ชุมนุม ตนจะมาเป็นผู้นำผู้ชุมนุมเอง “เรามีกองหนุนอยู่ทั่วประเทศอย่างนี้ ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ให้มันรู้ไป เราต้องไม่ถอย ถ้าครั้งนี้ใช้กำลังปราบปรามทั้งๆ ที่มาสันติ เราจะลุกขึ้นทั้งประเทศ แล้วจะเดินกันทุกสาย ทั้งอีแต๋น เก๋ง บรรทุก เข้ากรุงเทพฯ ให้หมด ผมจะอยู่ตรงนั้นด้วย”
ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ในวันเดียวกัน โดยยืนยันว่า หากยุบสภาท่ามกลางสถานการณ์ขณะนี้ อาจนำไปสู่ความวุ่นวาย พร้อมประกาศว่า เมื่อผู้ชุมนุมมีจุดมุ่งหมายยั่วยุให้เกิดความรุนแรง รัฐบาลก็จะดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย พร้อมกันนี้รัฐบาลได้แก้เกมด้วยการประกาศให้วันที่ 10 เม.ย.เป็นวันหยุดราชการ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดกับประชาชนจากกรณีที่ผู้ชุมนุมปิดถนน
ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ได้ออกมาขู่จะล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา (อาเซียน+3 +6) ที่พัทยา ที่จะเริ่มขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 เม.ย. โดยอ้างว่า เมื่อ นายอภิสิทธิ์ ไม่ปลด นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ตามที่พวกตนได้เรียกร้องก่อนหน้านี้ ดังนั้น การประชุมอาเซียน +3 +6 ก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น จากนั้น วันต่อมา (10 เม.ย.) นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ก็ได้นำทัพคนเสื้อแดงไปปิดล้อมโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท พัทยา สถานที่จัดประชุมสุดยอดอาเซียน โดยก่อนจะถึงโรงแรม ได้มีประชาชนกลุ่มเสื้อสีน้ำเงินออกมาต่อต้าน เพราะไม่ต้องการให้กลุ่มเสื้อแดงเข้าไปป่วนการประชุมสุดยอดอาเซียน จึงเกิดการปะทะกัน มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย ทั้งนี้ นายอริสมันต์ ได้ขู่จะบุกโรงแรม หากตัวแทนทั้ง 10 ประเทศอาเซียน ไม่ออกมารับหนังสือจากกลุ่มเสื้อแดงที่ต้องการให้ผู้นำแต่ละประเทศทราบว่า รัฐบาลชุดนี้มีที่มาไม่ชอบ
อย่างไรก็ตาม แม้ตัวแทนผู้นำอาเซียนจะออกมารับหนังสือแล้ว นายอริสมันต์ ก็ยังขู่อีกว่า วันรุ่งขึ้น (11 เม.ย.) จะมีคนเสื้อแดงมาชุมนุมเพิ่มอีก 5,000 คน ซึ่งสอดคล้องกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ที่ได้ประกาศยกเลิกการปิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (บ่ายวันที่ 10 เม.ย.) หลังรัฐบาลแก้เกมด้วยการประกาศให้วันที่ 10 เม.ย.เป็นวันหยุดราชการ นายจตุพร จึงสั่งให้กลุ่มเสื้อแดงกลับมารักษาฐานกำลังที่ทำเนียบ ก่อนแบ่งกำลังไปสมทบคนเสื้อแดงที่พัทยา วันต่อมา (11 เม.ย.) นายอริสมันต์ ได้นำม็อบเสื้อแดงบุกโรงแรมรอยัล คลิฟ อีก โดยก่อนจะถึงโรงแรมได้ปะทะกับกลุ่มเสื้อน้ำเงินอีกครั้ง ทำให้มีผู้บาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย (เสื้อแดงเจ็บ 4 ราย เสื้อน้ำเงินเจ็บ 5 ราย)
ทั้งนี้ นอกจากกลุ่มเสื้อแดงจะเข้าปิดล้อมโรงแรมรอยัล คลิฟ สถานที่จัดประชุมสุดยอดอาเซียนแล้ว ยังได้แบ่งกำลังบางส่วนไปปิดล้อมโรงแรมที่พักของผู้นำประเทศต่างๆ ด้วย เพื่อไม่ให้เดินทางออกมาร่วมประชุมได้ โดยที่โรงแรมรอยัล คลิฟ ไม่เพียง นายอริสมันต์ จะขู่บุกโรงแรม หากไม่ยอมให้ตนเข้าไปแถลงข่าว แต่เมื่อได้แถลงข่าวสมใจแล้ว กลุ่มเสื้อแดงที่ล้อมโรงแรมอยู่ก็ได้ใช้ไม้ทุบกระจกโรงแรมก่อนบุกเข้าไปภายใน และควานหาตัวนายอภิสิทธิ์ ขณะเดียวกัน ก็ใช้ไม้ทุบทำลายสิ่งของภายในโรงแรม สร้างความหวาดกลัวให้เจ้าหน้าที่โรงแรมและเจ้าหน้าที่ทูตประเทศต่างๆ เป็นอย่างมาก (เจ้าหน้าที่ทูตพม่าถึงกับร้องไห้)
การกระทำที่ป่าเถื่อนของกลุ่มเสื้อแดง ส่งผลให้นายอภิสิทธิ์ต้องแถลงเลื่อนการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาออกไป พร้อมประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่เมืองพัทยา และ จ.ชลบุรี เพื่อดูแลความปลอดภัยให้ผู้นำแต่ละประเทศในการเดินทางกลับ และเมื่อผู้นำประเทศต่างๆ เดินทางกลับเรียบร้อยแล้ว นายอภิสิทธิ์ จึงได้แถลงยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในช่วงค่ำ รวมแล้วประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแค่ 6 ชม.เท่านั้น นายอภิสิทธิ์ ยังชี้ด้วยว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือความสูญเสียของชาติ ใครก็ตามที่ประกาศชัยชนะกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผมถือว่าใครคนนั้นคือศัตรูของประเทศไทย ผมจะไม่ยอมให้ใครที่คิดร้ายต่อประเทศ มามีอิทธิพลหรือมีอำนาจเหนือประชาชนชาวไทย ผมจะใช้อำนาจที่มี เพื่อนำความสงบเรียบร้อยกลับมาสู่ประชาชนชาวไทย”
ด้าน นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ประกาศ แม้คนเสื้อแดงจะได้รับชัยชนะที่พัทยาแล้ว แต่การต่อสู้ยังไม่จบ จนกว่า นายอภิสิทธิ์ และ พล.อ.เปรม จะลาออก นายจตุพร ยังขอให้คนเสื้อแดงตรึงกำลังบริเวณศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศเอาไว้ เพราะเวลานี้ได้เวลาแผ่นดินลุกเป็นไฟแล้ว
วันต่อมา (12 เม.ย.) พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ในฐานะโฆษก บช.น.เผยว่า ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดงที่นำม็อบบุกโรงแรมรอยัล คลิฟ เนื่องจากมีพฤติการณ์ยุยงให้ประชาชนจับกุมนายกฯ ทั้งนี้ ตำรวจได้เข้าควบคุมตัวนายอริสมันต์ที่บ้านพัก ก่อนนำตัวไปสอบสวนและควบคุมตัวไว้ที่ค่ายนเรศวร จ.เพชรบุรี ด้านแกนนำม็อบเสื้อแดง เมื่อทราบว่า นายอริสมันต์ ถูกจับกุมตัว ก็ได้ปลุกระดมมวลชนให้ลุกฮือเพื่อกดดันให้มีการปล่อยตัวนายอริสมันต์ โดยได้มีการเคลื่อนพลกดดันในหลายจุด เช่น ที่ศาลอาญา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งผลให้ นายอภิสิทธิ์ ตัดสินใจประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงใน กทม.และบางอำเภอของปริมณฑล
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ นายอภิสิทธิ์ แถลงข่าวการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่กระทรวงมหาดไทย ม็อบเสื้อแดงก็ได้ยกพวกไปปิดล้อมกระทรวงมหาดไทย ด้วยความไม่พอใจ และเมื่อเห็นขบวนรถนายกฯ กำลังจะเคลื่อนออกจากกระทรวงฯ ม็อบเสื้อแดงได้ใช้อิฐ ไม้ และกระถางต้นไม้ ฯลฯ รุมเข้าทุบรถนายกฯ อย่างไม่ยั้ง โชคดีที่เป็นรถกันกระสุนและคนขับตัดสินใจฝ่าวงล้อมม็อบเสื้อแดงด้วยการพุ่งชนประตู จึงสามารถรอดพ้นเงื้อมมือม็อบเสื้อแดงได้ ขณะที่รถของชุดรักษาความปลอดภัยของนายกฯ ไม่สามารถออกจากกระทรวงได้ เพราะถูกม็อบเสื้อแดงรุมทุบรถและทำร้ายร่างกาย ทราบชื่อคือ จ.ส.อ.ชนินทร์ สิงห์เล็ก ด้าน พ.ท.ประกร สมภานต์ หัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยนายกฯ นอกจากถูกม็อบเสื้อแดงทำร้ายแล้ว ยังถูกใส่กุญแจมือและหิ้วปีกไปแถลงที่หน้าเวทีม็อบเสื้อแดงที่ทำเนียบด้วย โดยแกนนำม็อบเสื้อแดงพยายามปลุกอารมณ์มวลชนด้วยการอ้างว่า พ.ท.ประกร ยิงใส่ผู้ชุมนุม ทั้งที่ความจริงแล้ว คนเสื้อแดงแย่งปืนกับชุดรักษาความปลอดภัยนายกฯ กระทั่งปืนลั่น แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้ เสื้อแดงบางคนยังขโมยปืนในรถของชุดรักษาความปลอดภัยนายกฯ จากนั้นทำทียิงขึ้นฟ้า แล้วตะโกนว่าทหารฆ่าประชาชน
เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียงชุดรักษาความปลอดภัยนายกฯ ที่ถูกม็อบเสื้อแดงรุมทำร้ายในกระทรวงมหาดไทย แม้แต่นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ก็ถูกม็อบเสื้อแดงรุมทุบรถและทำร้ายจนหัวแตกเช่นกัน ส่วนสถานการณ์หลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงใน กทม.และปริมณฑลนั้น ได้มีทหารพร้อมรถฮัมวี่ติดอาวุธหนักออกมาประจำตามสี่แยกสำคัญๆ แต่ทางแกนนำ นปช.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ได้ออกมาเย้ยว่า กลุ่มเสื้อแดงไม่ได้ตื่นตระหนก เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็แค่กระดาษเปื้อนหมึกแผ่นเดียว พร้อมกันนี้ ม็อบเสื้อแดงได้ตอบโต้ด้วยการยึดรถเมล์มาปิดถนนหลายจุด ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โฟนอินเข้ามายังม็อบเสื้อแดง (12 เม.ย.) โดยยืนยันอีกครั้งว่า ถ้ามีการใช้อาวุธกับผู้ชุมนุม ตนจะกลับมาเดินนำพี่น้องทุกคน
ต่อมาช่วงย่ำรุ่งวันที่ 13 เม.ย.(เวลา 04.00 น.) กองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (กอฉ.) ที่นายกฯ สั่งตั้งขึ้นโดยให้ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้อำนวยการ ก็ได้ปฏิบัติการสลายการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงที่ปิดถนนบริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง โดยใช้แก๊สน้ำตา และใช้ปืนยิงขู่ขึ้นฟ้า เพื่อให้ม็อบถอยร่นออกไป ขณะที่ฝ่ายม็อบเสื้อแดงตอบโต้ด้วยการขว้างระเบิดเพลิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่เป็นระยะๆ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย (90 กว่าราย ส่วนใหญ่บาดเจ็บเล็กน้อย)
หลังเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมบริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดงได้แล้ว ม็อบเสื้อแดงได้รุกกลับด้วยการนำรถบรรทุกก๊าซแอลพีจีขนาดใหญ่ไปจอดตามจุดต่างๆ เช่น หน้าแฟลตดินแดง พร้อมขู่จะเผารถเมล์ที่นำไปจอดไว้ใกล้รถแก๊ส ส่งผลให้ชาวแฟลตไม่พอใจ ออกมาต่อต้าน หรือแม้แต่การยึดรถเมล์ไปปิดบริเวณชุมชนนางเลิ้ง พร้อมขู่จะเผา ส่งผลให้ชาวบ้านรวมตัวกันออกมาขับไล่ จนเกิดการปะทะกัน สุดท้ายชาวบ้านถูกคนเสื้อแดงยิงเสียชีวิต 2 ราย
ลองไปฟังความรู้สึกของญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายดูว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างไร และม็อบเสื้อแดงโหดร้ายขนาดไหน? คนแรกคือแม่ที่ต้องสูญเสียลูกชายไปจากน้ำมือของม็อบเสื้อแดง
“ลูกชายคนที่เสียเนี่ย เขาก็มาเรียก เขาบอกว่า พวกเสื้อแดงมันจะมาเผารถ เพราะว่าเขาเอาน้ำมันเทใส่รถ 511 แล้ว และเขาจะเอาไฟจุด ทีนี้คนแถวนางเลิ้งนี่เขาไม่ให้จุด ก็บอกกับลูกชาย ห่วงน่ะ บอกว่า พยายามอย่าออกไปข้างหน้านะลูกนะ อยู่ในในหน่อย ลูกชายก็บอกให้แม่น่ะเข้าไป ให้แม่เข้าไป เราก็บอกว่า แม่น่ะเอาตัวรอด โต๊ดน่ะอย่าออกไป ก็ได้ยินเสียงระเบิด 2 ที เสร็จแล้วก็จะออกไป พอจะออกมาจากบ้าน วิ่งมาแค่หน้าประตูบ้าน คนก็วิ่งมาบอกว่า โต๊ดโดนยิง พอไปถึงโรงพยาบาล ยังไม่ทันจะลงจากประตู พวกพี่ๆ เขาก็บอกว่า โต๊ดเสียแล้ว แม่ก็เสียใจ เพราะเราสูญเสียลูกเราน่ะ และลูกคนนี้แม่พึ่งพาเขาได้ เพราะเขาทำงาน และเขาก็มีเงินเดือน (เสียงเริ่มสั่นเครือและร้องไห้) เขาก็ให้แม่ใช้ทุกเดือน เดือนละ 2 พัน 3 พัน แล้วแต่เขาจะให้ เราเสียเขาไป เราก็คิดถึงเขา เขาร้ายมากพวกเสื้อแดงน่ะ เขายิงลูกเรา แล้วเขาก็ไปไล่ยิงคนนางเลิ้งในตลาด เราเป็นคนนางเลิ้ง เราอยู่กับเหตุการณ์นี้มามากแล้ว 14 ตุลาฯ ก็ทัน 17 พฤษภาฯ ก็ทัน เขามีเรื่องกัน เขาก็ไม่เคยมาทำร้ายพวกเรา เราออกไปดูยังไงเราก็ไม่เคยเจออย่างนี้ แม่ก็คิดไม่ถึงหรอกว่าเขาจะมาทำร้ายลูกเรา เพราะเราเป็นประชาชน เขาทะเลาะกัน เขาก็ไปทำร้ายกันเอง ทำไมเขาถึงต้องมาทำร้ายคนบริสุทธิ์”
ส่วนอีกคนคือ ภรรยาที่ต้องสูญเสียสามีสุดที่รักไปจากฝีมือของม็อบเสื้อแดงเช่นกัน
“ขนาดวิ่งเข้ากุฏิวัด มันยังตามจะเข้าไปไล่ยิงถึงในกุฏิ ถ้าทุกคนไม่หลบวันนั้น ถ้าคนหลบไม่ทัน ก็ต้องมีตายยิ่งกว่านี้ ก็ได้ยินปัง..ปัง ขึ้นมาปุ๊บ เด็กก็มาบอกว่า ป้าเอ๋..ป้าเอ๋ ลุงป้อมถูกยิง ถูกยิงปุ๊บ พี่ก็วิ่งเลย วิ่งไปตรงที่แฟนพี่ถูกยิงน่ะ ไปถึงตรงนั้น พี่ก็เห็นแฟนพี่นอนคว่ำหน้า นอนคว่ำหน้าแล้ว พี่ก็จับแฟนพี่พลิกขึ้นมา แฟนพี่เหมือนกับไม่รู้อะไรแล้วน่ะ สำลักเลือด แล้วตาก็ลอยๆ พี่นั่งรถไปกับเขา(เสียงสะอื้นและเริ่มร้องไห้) พี่เรียกเขาตลอดเลย แต่เขาไม่ได้คุยกับพี่เลย ตาเขาลอย ไม่รู้สึกน่ะ ไม่คุยอะไรเลย ไม่จับมือพี่ ไม่อะไร มีแต่พี่เรียกเขาอย่างเดียว ประมาณ 2 ทุ่มกว่า หมอก็มาบอกว่าแฟนพี่เสียแล้ว”
นอกจากม็อบเสื้อแดงจะขู่เผารถก๊าซที่หน้าแฟลตดินแดง และยิงชาวบ้านเสียชีวิตที่ชุมนุมนางเลิ้งแล้ว ม็อบเสื้อแดงยังปะทะกับชาวบ้านที่ถนนเพชรบุรี ซอย 5 และ 7 มีการยิงปืนเข้าใส่มัสยิด ทำให้ชาวมุสลิมละแวกนั้นไม่พอใจเป็นอันมาก นอกจากนี้ ม็อบเสื้อแดงยังมีการยึดและเผารถเมล์ในหลายจุด (รวมแล้วยึดรถเมล์ทั้งหมด 52 คัน) รวมทั้งเผาอาคารอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และปาระเบิดเพลิงเข้าไปในกองบัญชาการกองทัพบก เป็นต้น
ทั้งนี้ หลังเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมบริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง ทางแกนนำเสื้อแดงรวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามจุดกระแสด้วยการอ้างว่า ทหารใช้ปืนยิงใส่ผู้ชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตหลายสิบศพ แต่ศพถูกนำไปซ่อน ซึ่งทางกองทัพได้ออกมาแถลงยืนยันว่า อาวุธที่ทหารใช้เป็นการยิงขู่ขึ้นฟ้าเท่านั้น ส่วนการยิงตอบโต้ผู้ชุมนุมนั้น เป็นปืนซ้อมรบ ไม่มีหัวกระสุนแต่อย่างใด ซึ่งผู้สื่อข่าวที่ติดตามทำข่าวก็ทราบดี เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเจ้าหน้าที่รุกคืบจำกัดพื้นที่ชุมนุมของม็อบเสื้อแดงจนเหลือแต่ที่ทำเนียบ ซึ่งมีผู้ชุมนุมเหลืออยู่แค่ประมาณ 2 พันคน ปรากฏว่า ช่วงสายวันที่ 14 เม.ย.แกนนำ นปช.ได้ชิงประกาศยุติการชุมนุม เพราะกลัวจะถูกเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุม ด้านรัฐบาลได้อำนวยความสะดวกแก่ผู้ชุมนุมที่ยุติการชุมนุมด้วยการจัดรถบัสไปส่งยังภูมิลำเนาทั้งหมด
ขณะที่แกนนำ นปช.บางคน เช่น นายวีระ มุสิกพงศ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นพ.เหวง โตจิราการ ยอมมอบตัวเพื่อต่อสู้คดี โดยแกนนำเหล่านี้ ยืนยันว่า การยุติการชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าพ่ายแพ้ ขณะที่ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย และแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ประกาศว่า การสลายการชุมนุมเพื่อรักษาผลประโยชน์ แล้วค่อยมารวมพลังกันใหม่
ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และ ครม.ได้ประกาศให้วันที่ 16-17 เม.ย.เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติม เพราะแม้กลุ่มเสื้อแดงจะยุติการชุมนุมแล้ว แต่เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เคลียร์พื้นที่ที่มีการชุมนุมทั้งในแง่อาวุธ วัตถุอันตราย และซากความเสียหายให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว นายอภิสิทธิ์ ยังชี้ด้วยว่า สถานการณ์การชุมนุมที่คลี่คลายลงนี้ ไม่ใช่ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของฝ่ายใด แต่เป็นชัยชนะของสังคมที่สามารถกลับเข้าสู่ความสงบได้
คงต้องจับตาว่า การชุมนุมใหญ่ของกลุ่มเสื้อแดงในวันที่ 14 มี.ค.ที่จะถึงนี้ จะจบลงด้วยชัยชนะของสังคมหรือไม่?