xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 6-18 เม.ย.2552

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1. “สนธิ”รอดปาฏิหาริย์ หลังถูกมือมืด ควงอาวุธสงครามยิงถล่มนับร้อยนัด!
สนธิ ลิ้มทองกุล ยังมีสติดีหลังถูกยิง(17 เม.ย.)
เมื่อวันที่ 17 เม.ย. เวลา 05.40น. ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้รถปิคอัพเป็นพาหนะ ควงอาวุธสงครามหลายชนิดยิงถล่มรถยนต์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ จนพรุนไปทั้งคัน เหตุเกิดบริเวณหน้าปั๊มน้ำมันคาลเท็กซ์ ใกล้สี่แยกบางขุนพรหม เขตพระนคร ส่งผลให้นายสนธิ และคนขับรถ(นายอดุลย์ แดงประดับ) รวมทั้งผู้ติดตาม(นายวายุภักษ์ มังคละสินธุ์) ได้รับบาดเจ็บ โดยนายสนธิ ซึ่งนั่งที่เบาะหลัง ถูกเศษกระสุนเจาะเข้าบริเวณขมับข้างขวา และกระสุนถากบริเวณหน้าอก ขณะที่คนขับรถ เศษกระสุนเจาะเข้าบริเวณศีรษะ ท้ายทอย ทรวงอก และแขน ส่วนผู้ติดตามได้รับบาดเจ็บจากเศษกระสุนบริเวณแขนขาและลำตัว ทั้งนี้ หลังเข้ารับการรักษาที่วชิรพยาบาล แพทย์ได้ทำการผ่าตัดกว่า 2 ชม. หลังผ่าตัด นพ.ชัยวัน เจริญโชคทวี ผู้อำนวยการวิทยาลัยแพทยศาสตร์และวชิรพยาบาลกรุงเทพมหานคร แถลงว่า นายสนธิปลอดภัยดีแล้ว โดยแพทย์ได้ผ่าตัดกะโหลกเพื่อนำเศษกระสุนปืนไม่ทราบชนิดออกจากกะโหลกศีรษะด้านขวา บริเวณขมับ ซึ่งแรงกระแทกทำให้กะโหลกด้านนอกแตก และทำให้เนื้อสมองด้านในช้ำ มีเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง แต่สมองไม่มีอะไรสูญเสีย หลังการผ่าตัดนายสนธิได้พักรักษาตัวอยู่ในห้องไอซียู อย่างไรก็ตาม ในช่วงบ่าย นายสนธิได้ขอย้ายไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ขณะที่คนขับรถและผู้ติดตามก็ได้ย้ายไปรักษาต่อโรงพยาบาลเดียวกัน ทั้งนี้ แพทย์โรงพยาบาลจุฬาฯ แถลงถึงอาการของนายสนธิในวันนี้(18 เม.ย.)ว่า เป็นปกติดี สามารถพูดคุยได้ นั่ง เดิน รับประทานอาหารได้ตามปกติ แต่ยังมีอาการปวดศีรษะเล็กน้อย คาดว่า พักรักษาตัวอีกประมาณ 1 สัปดาห์ก็กลับบ้านได้ ส่วนอาการของนายอดุลย์ คนขับรถนั้น ยังน่าเป็นห่วง เพราะสมองบวม แพทย์ต้องติดตามอาการอย่างใกล้ชิด ขณะที่อาการของนายวายุภักษ์ คนติดตามนั้น พักฟื้นอีกประมาณ 1 สัปดาห์ก็ออกจากโรงพยาบาลได้ สำหรับเหตุคนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่มรถนายสนธิครั้งนี้ พยานที่เห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ก่อนเกิดเหตุ เห็นรถกระบะขับแซงรถนายสนธิไปจอดด้านหน้า จากนั้นคนร้ายที่นั่งกระบะท้าย 2 คน ได้ลุกขึ้นนั่งแล้วใช้อาวุธสงครามยิงถล่มใส่รถนายสนธิ ก่อนที่รถยนต์เก๋งสีดำที่ขับตามมา จะขับแซงขึ้นไปใช้ปืนยิงต่อสู้กับคนร้าย ทำให้คนร้ายหลบหนีไป ด้าน พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้นำทีมไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบปลอกกระสุนปืนอาก้า 64 นัด ,เอชเค 17 นัด และเอ็ม 16 จำนวน 3 นัด นอกจากนี้ยังพบกระสุนปืนเอ็ม 79 จำนวน 1 นัด ไปตกบนรถเมล์สาย 30 ที่วิ่งอยู่ใกล้เคียง แต่ไม่ระเบิด ขณะที่รถเมล์สาย 53 ถูกกระสุนปืนได้รับความเสียหายเช่นกัน แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ พล.ต.ท.วรพงษ์ บอกด้วยว่า ดูจากวิถีกระสุนแล้ว เป็นไปได้ 3 ด้าน 1. คนร้ายอาจเป็นบุคคลธรรมดา แต่มีความเชี่ยวชาญด้านอาวุธปืนที่เกิดจากการฝึกซ้อม เพราะอาวุธ แม้จะเป็นปืนสงคราม แต่อาจหาซื้อมาครอบครองไว้ก็เป็นได้ 2.ประเด็นเรื่องการเมือง และ 3.เรื่องส่วนตัว ขณะที่ พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล แถลงว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ไม่มีกล้องวงจรปิด จึงไม่สามารถบันทึกภาพขณะเกิดเหตุและภาพคนร้ายได้ และว่า ดูจากวิถีกระสุนและการก่อเหตุแล้ว เชื่อว่าคนร้ายไม่ได้ทำเพื่อข่มขู่ แต่ต้องการชีวิตนายสนธิ ทั้งนี้ จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ทราบว่า มีกล้องซีซีทีวีติดตั้งบริเวณสี่แยกบางขุนพรหม ซึ่งเป็นจุดเกิดเหตุ 5 ตัว แต่กล้องไม่ทำงานตั้งแต่บ่ายวันที่ 16 เม.ย. ก่อนหน้าเกิดเหตุ 1 วัน อย่างไรก็ตาม มีกล้องซีซีทีวีที่ติดตั้งอยู่บริเวณแยกเทเวศร์จับภาพก่อนเกิดเหตุได้ว่า มีรถปิคอัพยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนซ์ทอง ขับตามรถนายสนธิ โดยวิ่งตามระยะห่างแค่ 18 วินาทีเท่านั้น ก่อนเกิดเหตุยิงถล่มรถนายสนธิในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม นายอนุรักษ์ พุดซ้อน เจ้าของรถกระบะอีซูซุ ดีแมกซ์ สีบรอนซ์ทอง หมายเลขทะเบียน ถง-4071 กทม.ที่กล้องวงจรปิดจับภาพไว้ได้ ได้เดินทางเข้าพบตำรวจ สน.ชนะสงครามในวันนี้(18 เม.ย.) โดยยืนยันว่า ตนไม่ได้ก่อเหตุยิงถล่มรถนายสนธิ และว่า ช่วงเกิดเหตุ ตนกับมารดาขับรถกระบะไปส่งไข่ไก่ที่ตลาดบางลำพูในช่วงเช้ามืดเป็นประจำทุกวัน โดยไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้ยินเพียงเสียงปืนดังขึ้น 2-3 นาที ก่อนจะเงียบไป และไม่เห็นผู้ก่อเหตุด้วย เพราะจอดอยู่หลังรถเมล์ ด้านแกนนำพันธมิตรฯ ทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 ได้ประชุมหารือกรณีนายสนธิถูกลอบยิง(17 เม.ย.) จากนั้นได้เปิดแถลงโดยเชื่อว่า สาเหตุของการลอบยิงนายสนธิเป็นเรื่องทางการเมือง และเป็นฝีมือของคนในเครื่องแบบ เพราะคนทั่วไปหรือซุ้มมือปืนคงไม่สามารถดำเนินการในช่วงที่ กทม.อยู่ภายใต้การประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินได้ พร้อมกันนี้แกนนำพันธมิตรฯ ได้เรียกร้องให้นายกฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดหาตัวผู้ปฏิบัติการและผู้อยู่เบื้องหลังมาดำเนินคดี ตลอดจนขอให้มีการจัดระเบียบกลไกรัฐใหม่ เพราะกลไกรัฐไม่สนองตอบนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งล้มเหลวจากเหตุจลาจลที่พัทยาและใน กทม. ด้านนายสำราญ รอดเพชร แกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 วิเคราะห์ว่า การลอบยิงนายสนธิครั้งนี้ เป็นแผนยิงนัดเดียวได้นก 4 ตัว1.เป็นเกมที่ต้องการล้มรัฐบาล 2.หวังว่าเมื่อสนธิดับ ASTV ก็ต้องสิ้นชีพ 3.หวังผลว่า เมื่อสนธิดับ พันธมิตรฯ ก็จะอ่อนกำลังลง และ 4.สั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาล ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ พูดถึงกรณีนายสนธิถูกลอบยิงว่า จะดูแลเรื่องการดำเนินการ ทั้งการสืบสวนสอบสวนและดำเนินคดีอย่างดีที่สุด และว่า ไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้กับใครทั้งสิ้น พร้อมสงสัยเช่นกันว่า เหตุใดในช่วงที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินใน กทม. จึงมีอาวุธหนักเล็ดลอดเข้ามาได้ ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก บอกว่า การลอบยิงเป็นเรื่องอาชญากรรม แม้จะมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินหรือไม่มี ก็สามารถเกิดขึ้นได้ และว่า เหตุการณ์นี้เป็นหน้าที่ของตำรวจต้องสืบสวน จับกุมมาให้ได้ ไม่ว่าสีไหนก็แล้วแต่ จะต้องนำตัวมาลงโทษให้ได้ ขณะที่ พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ซึ่งเคยฝึกนักรบพระเจ้าตากให้กลุ่ม นปช. รีบออกมาปฏิเสธว่า การลอบยิงนายสนธิครั้งนี้ไม่ใช่ฝีมือตนแน่นอน พร้อมโบ้ยว่า น่าจะมีเป็นฝีมือของชนชั้นปกครองระดับสูงของรัฐ ที่มีทั้งรัฐบาล อำมาตย์ ทหาร และตำรวจ ด้าน พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ญาติผู้พี่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ปฏิเสธเช่นกันว่าตนไม่เกี่ยวข้องกับการลอบยิงนายสนธิ และไม่ขอวิเคราะห์ด้วยว่าใครเป็นคนทำ ขณะที่ พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน(ซึ่งเคยประกาศว่าเป็นเพื่อนรักของ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แต่หลังจากไม่ได้รับเลือกให้ร่วมเป็นแกนนำพันธมิตรฯ รุ่น 2 จึงแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ) ก็ปฏิเสธที่จะตอบคำถามใดใดเกี่ยวกับการลอบยิงนายสนธิ ด้านสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย และสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์(17 เม.ย.)จี้ให้ตำรวจเร่งติดตามจับกุมคนร้ายที่ลอบยิงนายสนธิ เนื่องจากเป็นการกระทำที่อุกอาจ โหดเหี้ยม และป่าเถื่อน ซึ่งนอกจากจะมุ่งหวังชีวิตนายสนธิแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมสถานการณ์การเมืองภายในประเทศให้มีแนวโน้มไปสู่ความรุนแรงมากยิ่งขึ้น

2. “เสื้อแดง”พ่ายหมดรูป กลัวถูกสลาย-ยอม “ยุติชุมนุม”หลังก่อจลาจลทั่วเมือง!
ม็อบเสื้อแดงกับผลงานเผารถเมล์ป่วนกรุง
หลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีในคดีซื้อที่รัชดาฯ ได้ปลุกระดมคนเสื้อแดงทั่วประเทศผ่านวิดีโอลิงก์ไปยังเวที นปช.ที่ปักหลักชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลให้ออกมาชุมนุมกันมากๆ ในวันที่ 8 เม.ย. โดยอ้างว่าเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง ขณะที่แกนนำ นปช.ก็ประกาศว่า วันที่ 8 เม.ย.จะเป็นวันเผด็จศึกเช็คบิลรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และโค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตยที่มี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีเป็นหัวหน้า โดยเชื่อว่าจะมีคนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมไม่ต่ำกว่า 3 แสนคนนั้น ปรากฏว่า เมื่อถึงวันจริง กลับมีคนเสื้อแดงมาร่วมชุมนุมที่ทำเนียบฯ ไม่ถึง 1 แสนคน โดยมีรายงานว่า พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้กำหนดยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวและเป็นผู้บัญชาการม็อบเสื้อแดงด้วยตนเองแม้ตัวจะอยู่ต่างประเทศก็ตาม แต่น่าสังเกตว่า แม้คนตระกูลชินวัตรจะลุกขึ้นมาเปิดศึกกับองคมนตรีและประธานองคมนตรี รวมทั้งปลุกระดมคนเสื้อแดงให้ล้มรัฐบาลและระบอบอำมาตยาธิปไตย แต่ พ.ต.ท.ทักษิณกลับให้คนในครอบครัวและเครือญาติเอาตัวรอดด้วยการหนีไปตั้งหลักที่ต่างประเทศก่อนที่การชุมนุมใหญ่ 8 เม.ย.จะเริ่มขึ้น โดยคุณหญิงพจมาน เดินทางไปฮ่องกงเมื่อวันที่ 6 เม.ย. ,น.ส.แพทองธาร เดินทางไปลอนดอนวันที่ 6 เม.ย. ,น.ส.พิณทองทา เดินทางไปฮ่องกง 7 เม.ย. ,นายพานทองแท้ เดินทางไปดูไบ กลางดึกวันที่ 7 เม.ย. ทั้งนี้ เมื่อถึงวันชุมนุมใหญ่ 8 เม.ย. ม็อบเสื้อแดงที่ทำเนียบฯ ได้พยายามขยายฐานการชุมนุมไปยังบริเวณลานพระบรมรูปทรงม้า และหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ของ พล.อ.เปรม โดยมีการปราศรัยโจมตี พล.อ.เปรมด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย ขณะที่แกนนำ นปช.อ่านแถลงการณ์มวลมหาประชาชนคนเสื้อแดง 3 ข้อ 1.พล.อ.เปรม ,พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี ต้องลาออกจากองคมนตรี 2.นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องลาออกจากนายกฯ และ 3.การบริหารราชการแผ่นดินต้องดำเนินไปตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย การจะปรับปรุงใดใดให้ดีขึ้นตามหลักสากล ต้องปรึกษาหารือนักประชาธิปไตยผู้มีประวัติและพฤติกรรมเชิดชูระบอบประชาธิปไตยเป็นที่ประจักษ์ ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ วิดีโอลิงก์มายังเวทีคนเสื้อแดงที่ทำเนียบฯ (8 เม.ย.) โดยขอให้ผู้ชุมนุมอดทนอีก 3 วัน จะได้ประชาธิปไตยแน่นอน “พอแล้วกับประชาธิปไตยวับๆ แวมๆ ที่เจอมา 40-50 ปี ต่อไปนี้ต้องเป็นประชาธิปไตยที่สดใส ไม่มีอีแอบเปิดเข้าเปิดออก” เป็นที่น่าสังเกตว่า เมื่อการชุมนุมใหญ่วันที่ 8 เม.ย.ไม่สามารถส่งผลให้องคมนตรีและประธานองคมนตรี รวมทั้งนายอภิสิทธิ์ลาออกตามคำขู่ได้ แกนนำ นปช.จึงประกาศยกระดับการชุมนุมในวันต่อมา(9 เม.ย.) โดยได้ปฏิบัติการดาวกระจายไปปิดล้อมสถานที่ต่างๆ 7 จุด ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ ,ศาลรัฐธรรมนูญ ,กองทัพบก ,พรรคประชาธิปัตย์ ,อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ,สถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย(ช่อง 11 หรือเอ็นบีทีเดิม) รวมทั้งจุดที่เป็นศูนย์กลางการจราจรอย่างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สร้างความไม่พอใจให้ผู้ใช้รถใช้ถนนเป็นอย่างมาก รวมถึงผู้ป่วยที่ไม่สามารถเดินทางเข้ารักษาหรือออกจากโรงพยาบาลละแวกอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมินับ 10 แห่งได้ ด้าน พ.ต.ท.ทักษิณ วิดีโอลิงก์มายังม็อบเสื้อแดงที่ทำเนียบฯ อีก(9 เม.ย.) โดยบอกว่า วันนี้แพ้ไม่ได้ เราต้องชนะ พร้อมจี้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ให้ยุบสภา และว่า ถ้าเจ้าหน้าที่มีการใช้กำลังสลายผู้ชุมนุม ตนจะมาเป็นผู้นำผู้ชุมนุมเอง “เรามีกองหนุนอยู่ทั่วประเทศอย่างนี้ ถ้าเปลี่ยนไม่ได้ให้มันรู้ไป เราต้องไม่ถอย ถ้าครั้งนี้ใช้กำลังปราบปรามทั้งๆ ที่มาสันติ เราจะลุกขึ้นทั้งประเทศ แล้วจะเดินกันทุกสาย ทั้งอีแต๋น เก๋ง บรรทุก เข้ากรุงเทพฯ ให้หมด ผมจะอยู่ตรงนั้นด้วย” ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ได้แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ (9 เม.ย.) โดยยืนยัน หากยุบสภาท่ามกลางสถานการณ์ขณะนี้ อาจนำไปสู่ความวุ่นวาย พร้อมประกาศว่า เมื่อผู้ชุมนุมมีจุดมุ่งหมายยั่วยุให้เกิดความรุนแรง รัฐบาลก็จะดำเนินการบังคับใช้กฎหมาย พร้อมกันนี้รัฐบาลได้แก้เกมด้วยการประกาศให้วันที่ 10 เม.ย.เป็นวันหยุดราชการ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่เกิดกับประชาชนจากกรณีที่ผู้ชุมนุมปิดถนน ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ได้ออกมาขู่จะล้มการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา(อาเซียน+3 +6)ที่พัทยา ที่จะเริ่มขึ้นระหว่างวันที่ 10-12 เม.ย. โดยอ้างว่า เมื่อนายอภิสิทธิ์ไม่ปลดนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศตามที่พวกตนได้เรียกร้องก่อนหน้านี้ ดังนั้น การประชุมอาเซียน +3 +6 ก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น จากนั้น วันต่อมา(10 เม.ย.) นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ก็ได้นำทัพคนเสื้อแดงไปปิดล้อมโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท พัทยา สถานที่จัดประชุมสุดยอดอาเซียน โดยก่อนจะถึงโรงแรม ได้มีประชาชนกลุ่มเสื้อสีน้ำเงินออกมาต่อต้าน เพราะไม่ต้องการให้กลุ่มเสื้อแดงเข้าไปป่วนการประชุมสุดยอดอาเซียน จึงเกิดการปะทะกัน มีผู้บาดเจ็บเล็กน้อย ทั้งนี้ นายอริสมันต์ ได้ขู่จะบุกโรงแรมฯ หากตัวแทนทั้ง 10 ประเทศอาเซียนไม่ออกมารับหนังสือจากกลุ่มเสื้อแดงที่ต้องการให้ผู้นำแต่ละประเทศทราบว่า รัฐบาลชุดนี้มีที่มาไม่ชอบ อย่างไรก็ตาม แม้ตัวแทนผู้นำอาเซียนจะออกมารับหนังสือแล้ว นายอริสมันต์ ก็ยังขู่อีกว่า วันรุ่งขึ้น(11 เม.ย.)จะมีคนเสื้อแดงมาชุมนุมเพิ่มอีก 5,000 คน ซึ่งสอดคล้องกับนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช.ที่ได้ประกาศยกเลิกการปิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ(บ่ายวันที่ 10 เม.ย.) หลังรัฐบาลแก้เกมด้วยการประกาศให้วันที่ 10 เม.ย.เป็นวันหยุดราชการ นายจตุพรจึงสั่งให้กลุ่มเสื้อแดงกลับมารักษาฐานกำลังที่ทำเนียบฯ ก่อนแบ่งกำลังไปสมทบคนเสื้อแดงที่พัทยา วันต่อมา(11 เม.ย.) นายอริสมันต์ได้นำม็อบเสื้อแดงบุกโรงแรมรอยัล คลิฟฯ อีก โดยก่อนจะถึงโรงแรมได้ปะทะกับกลุ่มเสื้อน้ำเงินอีกครั้ง ทำให้มีผู้บาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย(เสื้อแดงเจ็บ 4 ราย เสื้อน้ำเงินเจ็บ 5 ราย) ทั้งนี้ นอกจากกลุ่มเสื้อแดงจะเข้าปิดล้อมโรงแรมรอยัล คลิฟฯ สถานที่จัดประชุมสุดยอดอาเซียนแล้ว ยังได้แบ่งกำลังบางส่วนไปปิดล้อมโรงแรมที่พักของผู้นำประเทศต่างๆ ด้วย เพื่อไม่ให้เดินทางออกมาร่วมประชุมได้ โดยที่โรงแรมรอยัล คลิฟฯ ไม่เพียงนายอริสมันต์จะขู่บุกโรงแรม หากไม่ยอมให้ตนเข้าไปแถลงข่าว แต่เมื่อได้แถลงข่าวสมใจแล้ว กลุ่มเสื้อแดงที่ล้อมโรงแรมอยู่ก็ได้ใช้ไม้ทุบกระจกโรงแรมก่อนบุกเข้าไปภายใน และควานหาตัวนายอภิสิทธิ์ ขณะเดียวกันก็ใช้ไม้ทุบทำลายสิ่งของภายในโรงแรม สร้างความหวาดกลัวให้เจ้าหน้าที่โรงแรมและเจ้าหน้าที่ทูตประเทศต่างๆ เป็นอย่างมาก(เจ้าหน้าที่ทูตพม่าถึงกับร้องไห้) การกระทำที่ป่าเถื่อนของกลุ่มเสื้อแดง ส่งผลให้นายอภิสิทธิ์ต้องแถลงเลื่อนการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาออกไป พร้อมประกาศใช้ พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินในพื้นที่เมืองพัทยาและ จ.ชลบุรี เพื่อดูแลความปลอดภัยให้ผู้นำแต่ละประเทศในการเดินทางกลับ และเมื่อผู้นำประเทศต่างๆ เดินทางกลับเรียบร้อยแล้ว นายอภิสิทธิ์จึงได้แถลงยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินในช่วงค่ำ รวมแล้วประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินแค่ 6 ชม.เท่านั้น นายอภิสิทธิ์ ยังชี้ด้วยว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคือความสูญเสียของชาติ ใครก็ตามที่ประกาศชัยชนะกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ผมถือว่าใครคนนั้นคือศัตรูของประเทศไทย ผมจะไม่ยอมให้ใครที่คิดร้ายต่อประเทศ มามีอิทธิพลหรือมีอำนาจเหนือประชาชนชาวไทย ผมจะใช้อำนาจที่มี เพื่อนำความสงบเรียบร้อยกลับมาสู่ประชาชนชาวไทย” ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. ประกาศ แม้คนเสื้อแดงจะได้รับชัยชนะที่พัทยาแล้ว แต่การต่อสู้ยังไม่จบ จนกว่านายอภิสิทธิ์ และ พล.อ.เปรมจะลาออก นายจตุพรยังขอให้คนเสื้อแดงตรึงกำลังบริเวณศาลากลางจังหวัดทั่วประเทศเอาไว้ เพราะเวลานี้ได้เวลาแผ่นดินลุกเป็นไฟแล้ว วันต่อมา(12 เม.ย.) พล.ต.ต.สุพร พันธุ์เสือ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(บช.น.) ในฐานะโฆษก บช.น.เผยว่า ตำรวจได้ขอศาลออกหมายจับนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดงที่นำม็อบบุกโรงแรมรอยัล คลิฟฯ เนื่องจากมีพฤติการณ์ยุยงให้ประชาชนจับกุมนายกฯ ทั้งนี้ ตำรวจได้เข้าควบคุมตัวนายอริสมันต์ที่บ้านพัก ก่อนนำตัวไปสอบสวนและควบคุมตัวไว้ที่ค่ายนเรศวร จ.เพชรบุรี ด้านแกนนำม็อบเสื้อแดงเมื่อทราบว่านายอริสมันต์ถูกจับกุมตัว ก็ได้ปลุกระดมมวลชนให้ลุกฮือเพื่อกดดันให้มีการปล่อยตัวนายอริสมันต์ โดยได้มีการเคลื่อนพลกดดันในหลายจุด เช่น ที่ศาลอาญาและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่งผลให้นายอภิสิทธิ์ ตัดสินใจประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงใน กทม.และบางอำเภอของปริมณฑล อย่างไรก็ตาม ขณะที่นายอภิสิทธิ์แถลงข่าวการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่กระทรวงมหาดไทย ม็อบเสื้อแดงก็ได้ยกพวกไปปิดล้อมกระทรวงมหาดไทยด้วยความไม่พอใจ และเมื่อเห็นขบวนรถนายกฯ กำลังจะเคลื่อนออกจากกระทรวงฯ ม็อบเสื้อแดงได้ใช้อิฐ ไม้ และกระถางต้นไม้ ฯลฯ รุมเข้าทุบรถนายกฯ อย่างไม่ยั้ง โชคดีที่เป็นรถกันกระสุนและคนขับตัดสินใจฝ่าวงล้อมม็อบเสื้อแดงด้วยการพุ่งชนประตู จึงสามารถรอดพ้นเงื้อมมือม็อบเสื้อแดงได้ ขณะที่รถของชุดรักษาความปลอดภัยของนายกฯ ไม่สามารถออกจากกระทรวงฯ ได้ เพราะถูกม็อบเสื้อแดงรุมทุบรถและทำร้ายร่างกาย ทราบชื่อคือ จ.ส.อ.ชนินทร์ สิงห์เล็ก ขณะที่ พ.ท.ประกร สมภานต์ หัวหน้าทีมรักษาความปลอดภัยนายกฯ นอกจากถูกม็อบเสื้อแดงทำร้ายแล้ว ยังถูกใส่กุญแจมือและหิ้วปีกไปแถลงที่หน้าเวทีม็อบเสื้อแดงที่ทำเนียบฯ ด้วย โดยแกนนำม็อบเสื้อแดงพยายามปลุกอารมณ์มวลชนด้วยการอ้างว่า พ.ท.ประกรยิงใส่ผู้ชุมนุม ทั้งที่ความจริงแล้ว คนเสื้อแดงแย่งปืนกับชุดรักษาความปลอดภัยนายกฯ กระทั่งปืนลั่น แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ นอกจากนี้เสื้อแดงบางคนยังขโมยปืนในรถของชุดรักษาความปลอดภัยนายกฯ จากนั้นทำทียิงขึ้นฟ้า แล้วตะโกนว่าทหารฆ่าประชาชน เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียงชุดรักษาความปลอดภัยนายกฯ ที่ถูกม็อบเสื้อแดงรุมทำร้ายในกระทรวงมหาดไทย แม้แต่นายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการนายกฯ ก็ถูกม็อบเสื้อแดงรุมทุบรถและทำร้ายจนหัวแตกเช่นกัน ส่วนสถานการณ์หลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินร้ายแรงใน กทม.และปริมณฑลนั้น ได้มีทหารพร้อมรถฮัมวี่ติดอาวุธหนักออกมาประจำตามสี่แยกสำคัญๆ แต่ทางแกนนำ นปช.นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ก็ได้ออกมาเย้ยว่า กลุ่มเสื้อแดงไม่ได้ตื่นตระหนก เพราะ พ.ร.ก.ฉุกเฉินก็แค่กระดาษเปื้อนหมึกแผ่นเดียว พร้อมกันนี้ ม็อบเสื้อแดงได้ตอบโต้ด้วยการยึดรถเมล์มาปิดถนนหลายจุด ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้โฟนอินเข้ามายังม็อบเสื้อแดง(12 เม.ย.) โดยยืนยันอีกครั้งว่า ถ้ามีการใช้อาวุธกับผู้ชุมนุม ตนจะกลับมาเดินนำพี่น้องทุกคน ต่อมาช่วงย่ำรุ่งวันที่ 13 เม.ย.(เวลา 04.00น.) กองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(กอฉ.)ที่นายกฯ สั่งตั้งขึ้นโดยให้ พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นผู้อำนวยการ ก็ได้ปฏิบัติการสลายการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงที่ปิดถนนบริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดงโดยใช้แก๊สน้ำตา และใช้ปืนยิงขู่ขึ้นฟ้า เพื่อให้ม็อบถอยร่นออกไป ขณะที่ฝ่ายม็อบเสื้อแดงตอบโต้ด้วยการขว้างระเบิดเพลิงเข้าใส่เจ้าหน้าที่เป็นระยะๆ ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บทั้ง 2 ฝ่าย(90 กว่าราย ส่วนใหญ่บาดเจ็บเล็กน้อย) หลังเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมบริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดงได้แล้ว ม็อบเสื้อแดงได้รุกกลับด้วยการนำรถบรรทุกก๊าซแอลพีจีขนาดใหญ่ไปจอดตามจุดต่างๆ เช่น หน้าแฟลตดินแดง พร้อมขู่จะเผารถเมล์ที่นำไปจอดไว้ใกล้รถแก๊ส ส่งผลให้ชาวแฟลตไม่พอใจ ออกมาต่อต้าน หรือแม้แต่การยึดรถเมล์ไปปิดบริเวณชุมชนนางเลิ้ง พร้อมขู่จะเผา ส่งผลให้ชาวบ้านรวมตัวกันออกมาขับไล่ จนเกิดการปะทะกัน โดยชาวบ้านถูกยิงเสียชีวิต 2 ราย ไม่เท่านั้น ม็อบเสื้อแดงยังปะทะกับชาวบ้านถนนเพชรบุรี ซอย 5 และ 7 มีการยิงปืนเข้าใส่มัสยิด ทำให้ชาวมุสลิมละแวกนั้นไม่พอใจเป็นอันมาก นอกจากนี้ม็อบเสื้อแดงยังมีการยึดและเผารถเมล์ในหลายจุด(รวมแล้วยึดรถเมล์ทั้งหมด 52 คัน) รวมทั้งเผาอาคารอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ และปาระเบิดเพลิงเข้าไปในกองบัญชาการกองทัพบก เป็นต้น ทั้งนี้ หลังเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมบริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดง ทางแกนนำเสื้อแดงรวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามจุดกระแสด้วยการอ้างว่า ทหารใช้ปืนยิงใส่ผู้ชุมนุมจนมีผู้เสียชีวิตหลายสิบศพ แต่ศพถูกนำไปซ่อน ซึ่งทางกองทัพได้ออกมาแถลงยืนยันว่า อาวุธที่ทหารใช้เป็นการยิงขู่ขึ้นฟ้าเท่านั้น ส่วนการยิงตอบโต้ผู้ชุมนุมนั้น เป็นปืนซ้อมรบ ไม่มีหัวกระสุนแต่อย่างใด ซึ่งผู้สื่อข่าวที่ติดตามทำข่าวก็ทราบดี เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเจ้าหน้าที่รุกคืบจำกัดพื้นที่ชุมนุมของม็อบเสื้อแดงจนเหลือแต่ที่ทำเนียบฯ ซึ่งมีผู้ชุมนุมเหลืออยู่แค่ประมาณ 2 พันคน ปรากฏว่า ช่วงสายวันที่ 14 เม.ย. แกนนำ นปช.ได้ชิงประกาศยุติการชุมนุม เพราะกลัวจะถูกเจ้าหน้าที่เข้าสลายการชุมนุม ทั้งนี้ รัฐบาลได้อำนวยความสะดวกแก่ผู้ชุมนุมที่ยุติการชุมนุมด้วยการจัดรถบัสไปส่งยังภูมิลำเนาทั้งหมด ขณะที่แกนนำ นปช.บางคน เช่น นายวีระ มุสิกพงศ์ ,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และ นพ.เหวง โตจิราการ ยอมมอบตัวเพื่อต่อสู้คดี โดยแกนนำเหล่านี้ ยืนยันว่า การยุติการชุมนุมครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าพ่ายแพ้ ขณะที่นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ อดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย และแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ประกาศว่า การสลายการชุมนุมเพื่อรักษาผลประโยชน์ แล้วค่อยมารวมพลังกันใหม่ ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ และ ครม.ได้ประกาศให้วันที่ 16-17 เม.ย.เป็นวันหยุดราชการเพิ่มเติม เพราะแม้กลุ่มเสื้อแดงจะยุติการชุมนุมแล้ว แต่เพื่อให้เจ้าหน้าที่ได้เคลียร์พื้นที่ที่มีการชุมนุมทั้งในแง่อาวุธ วัตถุอันตราย และซากความเสียหายให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว นายอภิสิทธิ์ ยังชี้ด้วยว่า สถานการณ์การชุมนุมที่คลี่คลายลงนี้ ไม่ใช่ชัยชนะหรือความพ่ายแพ้ของฝ่ายใด แต่เป็นชัยชนะของสังคมที่สามารถกลับเข้าสู่ความสงบได้

3. ตร. ออกหมายจับ “27 เสื้อแดง”ก่อความวุ่นวายใน กทม. ขณะที่ “ทักษิณ”ผู้บงการโดนด้วย!
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี วิดีโอลิงก์ปลุกม็อบเสื้อแดงให้ออกมาชุมนุมมากๆ
หลังม็อบเสื้อแดงชุมนุมก่อจลาจลปั่นป่วนทั่วเมือง โดยใช้ชาวบ้านเป็นตัวประกัน แต่สุดท้ายยอมยุติการชุมนุม เพราะกลัวถูกเจ้าหน้าที่สลายการชุมนุมนั้น ปรากฏว่า ในแง่การดำเนินคดี พนักงานสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ขอศาลเพื่อออกหมายจับแกนนำม็อบเสื้อแดงจำนวน 13 คน ซึ่งศาลอนุมัติ ประกอบด้วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ,นายจตุพร พรหมพันธุ์ ,นายวีระ มุสิกพงศ์ ,นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ,นายจักรภพ เพ็ญแข ,นพ.เหวง โตจิราการ ,นายอดิศร เพียงเกษ ,นายสิรวิชญ์ พิมพ์กลาง ,นายพีระ พิมพ์กลาง ,นายณรงค์ศักดิ์ มณี ,นายณัฐพงศ์ อินทะนาง ,นายชินวัตร หาบุญพาด และชายไทยไม่ทราบชื่อ(มีภาพถ่าย) โดยทั้งหมดถูกตั้งข้อหา 2 ข้อหา 1. กระทำการเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดจะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน ตามมาตรา 116 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 7 ปี และ 2. มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้พนักงานสอบสวนยังได้ขอศาลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องกับการกระทำที่อาจกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ...ตาม พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 มาตรา 11(1) รวมทั้งสิ้น 27 คน โดยนอกจากจะเป็นบุคคลชุดเดียวกับที่ถูกออกหมายจับ 13 คนตามมาตรา 116 และ 215 แล้ว ยังมีนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ,นายนิสิต สินธุไพร ,นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์(หรือ แซ่ด่าน) ,พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ และนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ เป็นต้น นอกจากคดีกลุ่มเสื้อแดงก่อความวุ่นวายใน กทม.แล้ว ตำรวจยังได้ขอศาลออกหมายจับคนเสื้อแดงบุกที่ประชุมสุดยอดอาเซียนที่พัทยาจำนวน 14 คน ,คนเสื้อแดงที่รุมทุบรถนายกฯ ที่พัทยา 12 คน และคนเสื้อแดงที่รุมทุบรถนายกฯ ที่กระทรวงมหาดไทย 10 คนด้วย ส่วนการดำเนินคดีกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 1 ในผู้ที่ถูกออกหมายจับนั้น นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกฯ ปฏิบัติหน้าที่โฆษกรัฐบาล เผย(15 เม.ย.)ว่า กระทรวงการต่างประเทศได้เพิกถอนหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณแล้ว มีผลตั้งแต่วันที่ 12 เม.ย.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ล่าสุด(17 เม.ย.) นายธฤต จรุงวัฒน์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ยืนยันว่า จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สำนักประธานาธิบดีนิการากัวได้ให้หนังสือเดินทางทูตแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะทูตในกิจกรรมพิเศษที่รัฐบาลนิการากัวได้มอบหมายให้เป็นผู้ช่วยดึงดูดการลงทุนเข้าประเทศนิการากัว ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณจึงสามารถเดินทางไปทุกประเทศได้ ด้านนายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลง(15 เม.ย.)ว่า กระทรวงการต่างประเทศได้ส่งหนังสือให้มิตรประเทศทราบถึงพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในไทย พร้อมแจ้งให้ทุกประเทศทราบถึงหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณฉบับล่าสุดในคดีล้มล้างรัฐบาล โดยได้ประสานตำรวจสากลเพื่อให้จับกุม พ.ต.ท.ทักษิณมาดำเนินคดีตามกฎหมายไทย ซึ่งทางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้รับทราบและยินดีจะให้ความร่วมมือกับประเทศไทยแล้ว ขณะที่นายสมัย เจริญช่าง ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะชาวมุสลิมและองค์กรชาวมุสลิมหลายองค์กร ได้ยื่นหนังสือถึงเอกอัครราชทูตสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เรียกร้องให้รายงานความเดือดร้อนให้เจ้าผู้ครองนครดูไบทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณและลูกน้องกลุ่มผู้สนับสนุน ได้ทำลายทรัพย์สินและทำร้ายชาวบ้านมุสลิมที่ถนนเพชรบุรี ซอย 7 เมื่อวันที่ 13 เม.ย.โดยเฉพาะการยิงปืนใส่มัสยิด ทั้งที่ชาวมุสลิมไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง โดยหวังว่า เมื่อเจ้าผู้ครองนครดูไบทราบถึงพฤติกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้ไม่ให้ใช้นครดูไบเป็นฐานในการเคลื่อนไหวและเป็นที่พำนักอีกต่อไป เพราะการทำลายมัสยิดก็เหมือนการทำร้ายชาวมุสลิมทั่วโลก ทั้งนี้ แม้การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงจะยุติลง แต่ ส.ส.พรรคเพื่อไทยยังส่งสัญญาณให้ท้ายคนเสื้อแดงเคลื่อนไหวต่อไป โดย พ.ต.ท.สุรทิน พิมานเมฆินทร์ ส.ส.อุดรธานี บอก(15 เม.ย.)ว่า แม้การชุมนุมที่ กทม.จะยุติลง แต่ยืนยันว่าการเคลื่อนไหวนอกสภาก็คงดำเนินต่อไป และว่า จากนี้ไป กลุ่มคนเสื้อแดงจากต่างจังหวัดจะเดินทางเข้า กทม.เพื่อเรียกร้องด้วยตัวเอง ส่วนจะใช้ยุทธวิธีใดกดดันรัฐบาลนั้น ยังไม่ขอเปิดเผย เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่เพียง ส.ส.พรรคเพื่อไทยจะเดินเกมให้คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลนอกสภาต่อไป แต่พรรคเพื่อไทยยังจะใช้สภาเป็นตัวกดดันให้นายอภิสิทธิ์ประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ด้วย โดยนายวิทยา บูรณศิริ ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย และประธานวิปฝ่ายค้าน ได้ยื่นหนังสือพร้อมลายเซ็น ส.ส.ของพรรค 48 คน ต่อนายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา(14 เม.ย.) ขอให้ ส.ว.ร่วมลงชื่อเพื่อเปิดประชุมร่วมกันของรัฐสภาด่วนที่สุด เพื่อพิจารณาปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมือง ทั้งนี้ นายวิทยา บอกว่า ส่วนตัวแล้วเห็นว่า ทางออกของปัญหาคือควรยุบสภา ด้านที่ประชุม ครม.นัดพิเศษเมื่อวานนี้(17 เม.ย.) มีมติให้เปิดสภาในวันที่ 22-23 เม.ย.เพื่อรับฟังข้อมูลจากใครก็ตามที่มีข้อมูลที่ยังเป็นข้อสงสัย ซึ่งรัฐบาลพร้อมตรวจสอบและชี้แจงเพื่อความโปร่งใสชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้ ที่ประชุม ครม.ยังมีมติไม่ยกเลิกประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินใน กทม.และปริมณฑล เนื่องจากยังมีความเคลื่อนไหวที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบ เช่น ยังมีการปลุกระดมประชาชนผ่านช่องทางต่างๆ ขณะที่การควบคุมตัวหรือจับกุมผู้ที่ถูกออกหมายจับก็ยังไม่เสร็จสิ้น ประกอบกับเกิดกรณีลอบยิงนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงจำเป็นต้องคง พ.ร.ก.ฉุกเฉินอีกระยะหนึ่ง ส่วนท่าทีของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งพยายามปลุกม็อบเสื้อแดงให้ต่อสู้เพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริง โดยการันตีว่า หากเจ้าหน้าที่ใช้กำลังสลายการชุมนุม ตนจะกลับมานำม็อบด้วยตนเอง แต่สุดท้ายกลับไม่ทำตามที่พูดนั้น ปรากฏว่า หลังม็อบเสื้อแดงยุติการชุมนุม พ.ต.ท.ทักษิณก็มามุกใหม่ โดยให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเอพี(16 เม.ย.)จากเมืองดูไบว่า “หากรัฐบาลต้องการปรองดอง ผมจะขอให้เสื้อแดงยอมเจรจากับรัฐบาล” พร้อมกันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้ามาช่วยคลี่คลายปัญหาทางการเมืองด้วย วันเดียวกัน(16 เม.ย.) พ.ต.ท.ทักษิณยังได้ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวรอยเตอร์ด้วย โดยขอให้ผู้สนับสนุนตนอยู่ในความสงบ และว่า ตนไม่มีเงินเพียงพอที่จะให้การสนับสนุนทางการเมืองอีกต่อไป แม้จะได้เดินทางกลับประเทศไทยก็ตาม อย่างไรก็ตาม ชั่วระยะเวลาแค่ข้ามวัน(17 เม.ย.) พ.ต.ท.ทักษิณก็ออกมาปฏิเสธว่า ตนไม่ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินต่อผู้ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดงแต่อย่างใด พร้อมกันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังดิสเครดิต พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีไม่เลิก โดยแสดงความสงสัยว่า พล.อ.เปรม น่าจะอยู่เบื้องหลังกลุ่มเสื้อสีน้ำเงิน (ที่พยายามขัดขวางกลุ่มเสื้อแดงไม่ให้บุกโรงแรมรอยัล คลิฟฯ ที่พัทยา) และว่า พล.อ.เปรม คือนายกฯ ตัวจริงที่ไม่ได้ผ่านการเลือกตั้งมานาน 8 ปีแล้ว

4. ตร.รวบมือปืนเตรียมลอบสังหาร “องคมนตรี” ด้าน “เสธ.หนั่น”ป้องลูกน้อง-ไม่มีเอี่ยว!
น.อ.จักรกฤษณ์ เสขะนันท์ หรือ เสธ.เป๊ก(คนกลาง) นายทหารคนสนิท พล.ต.สนั่น กลายสภาพจากผู้ต้องหาจ้างวานฆ่าองคมนตรีชาญชัย มาเป็นผู้บริสุทธิ์
เมื่อวันที่ 8 เม.ย. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ด้านความมั่นคง พร้อมด้วย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้ร่วมกันแถลงข่าวผลการจับกุมทีมมือปืนที่เตรียมลอบสังหารนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี โดยผู้ต้องหามี 4 คน ประกอบด้วย พ.ต.เทียนชัย เมืองจันทึก หรือ “ผู้พันอ๊อด” นายทหารสังกัดกองแผนและโครงการ กรมสารบรรณทหารบก ,นายคมิก สุขกาญจนกาศ หรือเหน่ง ,นายภานุพงศ์ รัตนาไพบูลย์ หรือกอล์ฟ และนายศักดิ์ชาย แซ่ลิ้ม หรือแบงก์ โดยจับกุมได้พร้อมหลักฐานอาวุธปืนขนาด .38 แบบไทยประดิษฐ์ พร้อมกระสุน 10 นัด กระดาษระบุข้อความเกี่ยวกับยานพาหนะ บ้านเลขที่ ลักษณะบ้าน ภาพถ่ายหน้าบ้าน เอกสารภาพถ่ายนายชาญชัย สมุดบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์สาขาตลาดยิ่งเจริญของ พ.ต.เทียนชัย ทั้งนี้ จากการสอบปากคำ ผู้ต้องหาอ้างว่า ทราบเพียงว่าได้รับการว่าจ้างให้มาสังหารนักธุรกิจทางภาคเหนือเท่านั้น ไม่ทราบว่าเป็นองคมนตรี โดยได้ค่าจ้างเป็นเงิน 1.5 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม นอกจากผู้ต้องหาทั้ง 4 คนแล้ว ตำรวจยังได้ขอศาลออกหมายจับผู้จ้างวานที่ผู้ต้องหาให้การซัดทอดอีก 2 คน ซึ่งศาลอาญาได้อนุมัติหมายจับ ประกอบด้วย น.อ.จักรกฤษณ์ เสขะนันท์ และนายแจ๊ค หรือชาติ ไม่ทราบนามสกุล หลังศาลอนุมัติหมายจับ น.อ.จักรกฤษณ์ หรือ เสธ.เป๊ก ได้เข้ามอบตัวกับตำรวจในวันต่อมา(9 เม.ย.) โดยยืนยันว่า ตนไม่รู้เรื่องด้วย และไม่รู้จักผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมก่อนหน้าแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดไปฝากขังที่ศาลจังหวัดสมุทรปราการ โดย น.อ.จักรกฤษณ์ยื่นขอประกันตัว แต่ศาลไม่อนุญาต เพราะเป็นข้อหาที่อัตราโทษสูง รวมทั้งเกรงว่าจะไปยุ่งกับพยานหลักฐานและหลบหนี ทั้งนี้ มีรายงานว่า น.อ.จักรกฤษณ์ เป็นนายทหารคนสนิทของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกฯ และประธานที่ปรึกษาพรรคชาติไทยพัฒนา โดยหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ พล.ต.สนั่น ได้เปิดบ้านแถลงข่าว(12 เม.ย.) ยืนยันว่า น.อ.จักรกฤษณ์ไม่เคยมีพฤติกรรมที่ชั่วร้ายหรือเป็นมือปืนรับจ้าง แต่เป็นทหารที่ค่อนข้างเรียบร้อย จึงยังงงว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้อย่างไร พล.ต.สนั่น ยังข้องใจด้วยว่า เหตุใดตำรวจจึงดำเนินการเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว และว่า ตนได้โทรศัพท์ไปคุยกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และผู้บัญชาการทหารบก เพื่อให้ติดตามเรื่องนี้ด้วย ต่อมาวันที่ 16 เม.ย. พนักงานสอบสวน สภ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลจังหวัดสมุทรปราการให้ปล่อยตัว น.อ.จักรกฤษณ์ โดยให้เหตุผลว่า จากการสอบสวนไม่พบพยานหลักฐานว่า น.อ.จักรกฤษณ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ ซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้ปล่อยตัว จากนั้นช่วงเย็นวันเดียวกัน น.อ.จักรกฤษณ์ ได้เปิดแถลงข่าวที่บ้านพักสนามบินน้ำของ พล.ต.สนั่น โดยชี้ว่า “การทำงานของตำรวจที่ทำให้ตนต้องอยู่ในเรือนจำ 7 วัน ทำให้ตนได้รับความทุกข์ทรมาณแสนสาหัส ต้องมีผู้รับผิดชอบ โดยเฉพาะ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. ต้องปรับปรุง เพราะนั่งแถลงข่าวออกหน้าออกตาโชว์ผลงาน แต่พอผิดพลาด กลับหายไปหมด ทำไมไม่รับผิดชอบกอบกู้ศักดิ์ศรีของผม” ด้าน พล.ต.ท.ฉลอง สนใจ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้ออกมาขอโทษแทนพนักงานสอบสวนที่ทำให้ น.อ.จักรกฤษณ์เสื่อมเสียชื่อเสียงและถูกคุมขังระยะหนึ่ง พร้อมยืนยัน ตำรวจเสียใจและไม่มีเจตนากลั่นแกล้งแต่อย่างใด ทั้งนี้ นอกจากตำรวจจะปล่อยตัว น.อ.จักรกฤษณ์แล้ว ยังมีรายงานว่า ตำรวจได้จับกุมผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 2 คน คือ นายสุชาติ ทิพย์มณี หรือเดียร์ หรือแจ๊ค และ พ.จ.อ.สุกรี ขาวผ่อง ซึ่งทั้งสองมีศักดิ์เป็นญาติพี่น้องกัน โดยจากการสืบสวนพบว่า พ.จ.อ.สุกรีเป็นคนรับงานจ้างฆ่านายชาญชัยจากนายทหารยศ พ.อ.นอกราชการนายหนึ่ง ก่อนมาส่งงานต่อให้นายสุชาติ ที่เป็นคนประสานหามือปืนชุดที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ โดยขณะนี้ ตำรวจอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับ พ.อ.นอกราชการนายนี้อยู่.
กำลังโหลดความคิดเห็น