เป็นข่าวที่ทำให้สังคมแตกตื่นไม่น้อย…
การจับกุม “กลุ่มผู้คิดก่อการ”วางแผนเพื่อสังหารนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี ที่ล่าสุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แถลงข่าวอย่างเป็นทางการถึงแผนลอบสังหารดังกล่าว เมื่อวานนี้ ( 8 เม.ย.)
กลุ่มคนร้ายประกอบด้วย นายคมิต สุกาญจนกาศ อายุ 33 ปี ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้รับงานแล้วจัดตั้งทีมมือปืน, นายศักดิ์ชาย แซ่ลิ้ม อายุ 28 ปี มือปืนรับจ้าง และนายภาณุพงศ์ รัตนไพบูลย์ หรือ กอล์ฟ อายุ 31 ปี ทำหน้าที่คนขี่รถจักรยานยนต์ และผู้จ้างวานคือ พ.ต.เทียนชัย เมืองจันทึก นายทหารสังกัดกองบัญชาการทหารบก
ทั้งหมดถูกรวบตัวได้ในช่วงเย็นวันที่ 6 เม.ย.52 ในซอย สุขสวัสดิ์ 66 อ.พระประแดง เป็นซอยที่บ้านพักนายชาญชัยตั้งอยู่ กลุ่มคนร้ายถูกจับได้อย่างเฉียดฉิว เพราะมี”สายตำรวจ”ที่เป็นตำรวจดีเอสไอ แฝงตัวอยู่ในโลกสีเทาของพวกมิฉาชีพทราบข่าวจึงหารือกับตำรวจภาค 1 เพื่อวางแผนจับกุม
ที่บอกว่าจับได้เฉียดฉิว เพราะกลุ่มมือปืนทั้งหมดได้รับการจ้างวานให้ลงมือสังหารนายชาญชัย ให้ได้ก่อนวันที่ 8 เม.ย.52 อันเป็นวันชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดง เหมือนกับจะต้องการให้เกิดเหตุ และเป็นประเด็นต่อเนื่องจนทำให้สถานการณ์วันที่ 8 เม.ย. เลวร้ายลงอย่างนึกไม่ถึง
แม้จะมีการตั้งข้อสังเกตถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของคดีนี้อย่างมาก จากหลายฝ่ายถึงการจับกุมว่าไม่เหมือนคดีจ้างวานฆ่าปกติ คล้ายกับการจัดฉากขึ้นหรือไม่ เนื่องจากมีข้อสงสัยหลายขั้นตอน แต่ในชั้นนี้กลุ่มคนร้ายได้รับสารภาพกับตำรวจไปแล้ว ทำให้ความสงสัยในเรื่องการจัดฉากลดลงไปได้บ้าง
กลุ่มมือปืนเปิดเผยว่า ไม่รู้มาก่อนว่า”เป้าหมาย” เป็นถึง คนระดับองคมนตรี และอดีตประธานศาลฏีกา และคนจ้างวานบอกว่า นายชาญชัย คือนักธุรกิจที่มีชื่อเสียง จึงทำให้รับงาน แต่ข่าวรั่วเสียก่อน ทำให้แผนแตก และทั้งหมดมีสิทธิ์นอนคุกยาว
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเด็นที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่า ทำไมรูปคดีจบง่ายผิดปกติ โดยเฉพาะคำรับสารภาพของกลุ่มผู้รับการจ้างวาน แต่อีกนัยหนึ่ง สาเหตุที่คดีจบได้ง่าย บางคนก็ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเพราะกลุ่มผู้รับจ้าง ยังไม่ได้ลงมือ
ดังนั้นการรับสารภาพและซักทอดไปถึง”ผู้จ้างวาน” ทำให้ความผิดย่อมเบาลงไป แต่คนที่จะรับไปเต็มๆ ก็คือ “คนจ้างวาน” ทำให้กลุ่มมือปืนยอมรับสารภาพได้ง่าย โดยอาจมีข้อตกลงพิเศษบางอย่าง เช่น การกันไว้เป็นพยานในคดีเพื่อให้ลดโทษลง ผนวกกับจำนนด้วยพยานหลักฐาน ทั้งอาวุธต่างๆ ที่เตรียมการสังหาร
ไม่ว่าจะเป็นปืน .38 พร้อมด้วยกระสุน 10 นัด รถจักรยานยนต์ หลักฐานการโอนเงินของผู้จ้างวาน ที่ตำรวจตรวจสอบพบเส้นทางการเงินจากสมุดบัญชีผู้ต้องสงสัย อันพบว่ามีการโอนเงินไปแล้ว 6 แสนบาทเพื่อเป็นเงินมัดจำล่วงหน้า แต่มีการเบิกจ่ายเพื่อเตรียมการไปแล้ว 15,000 บาท
หลักฐาน ภาพถ่าย นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ องคมนตรี ที่เป็นเป้าหมายลอบสังหารที่ตำรวจยึดได้จากทีมสังหาร รายละเอียดรถยนต์เป้าหมาย ภายใต้ข้อตกลงคือ เมื่องานแล้วเสร็จก่อนวันที่ 8 เม.ย. จะส่งมอบเงินจำนวนที่เหลือให้ และหลักฐานการติดต่อทางโทรศัพท์หลายครั้ง ของกลุ่มผู้วางแผน
แถมที่ทำให้หลายคนตกอกตกใจไม่น้อยก็คือ ข่าวที่ว่าระหว่างการสอบสวนเค้นปากคำพบว่า ผู้สั่งการยังได้วางแผนให้ทีมสังหารและคนรับงาน เตรียมพร้อมสำหรับการสร้างสถานการณ์ความรุนแรงในวันที่ 8 เม.ย. ด้วยการ
เผา"ธนาคารพาณิชย์" จำนวน 10 แห่ง เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย และตำรวจคุมสถานการณ์ไม่อยู่
บนกระแสข่าวที่ยืนยันมาถึงเวลานี้แล้วว่า ผู้จ้างวานเป็นนายทหารระดับ”พันเอก” ที่ยังรับราชการอยู่ และคาดว่าตำรวจอาจจะออกหมายจับได้ภายในอีกไม่กี่นาทีนับจากนี้
"ชาญชัย"จึงกลายเป็นอดีตประธานศาลฎีกาคนที่ 2 ต่อจากนายประมาณ ชันซื่อ ผู้ล่วงลับ ที่เจอคดีลอบสังหารเช่นเดียวกัน และก็คลาดแคล้วจากปลายกระบอกปืนไปได้เช่นเดียวกัน แต่ นายชาญชัย น่าจะเป็นองคมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ ที่ถูกวางแผนจ้างสังหารปลิดชีวิต อันถือเป็นเรื่องอุกอาจยิ่งนัก ที่คนซึ่งทำหน้าที่องคมนตรีต้องมาเจอกับเหตุเช่นนี้
จึงเป็นคดีที่ประชาชนกำลังรอคอย การขุดคุ้ยเบื้องหน้าเบื้องหลังทั้งหมดของตำรวจ ที่ต้องรีบเร่งปิดคดีนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด ว่ากลุ่มผู้คิดการชั่ว กระทำการวางแผนร้ายแรงเช่นนี้เป็นใคร?
และที่ต้องเน้นหนักเป็นพิเศษก็คือ การสอบสวนคลี่คลายคดี ตำรวจต้องทำให้ข้อสงสัยของคนบางกลุ่มในสังคมหายไปให้ได้ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องการเมืองอะไรหรือไม่ ?
เหตุเพราะชื่อของนายชาญชัย ลิขิตจิตถะได้ถูกเอ่ยถึงจากปาก นช.ทักษิณ ชินวัตร อย่างบ่อยครั้งในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา ว่านายชาญชัย เป็นคนหนึ่งที่ไปร่วมวางแผนโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ ที่บ้าน ม.ล.ปีย์ มาลากุลฯ ในซอยสุขุมวิท กับพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ
ทำให้ระยะหลังเวทีเสื้อแดง จึงมีการเอ่ยชื่อ นายชาญชัย อยู่หลายครา แม้จะไม่รุนแรงเท่า พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และพลเอกสุรยุทธ์ และ พลเอกพิจิตร กุลละวณิชย์ นั่นย่อมทำให้นายชาญชัย เวลานี้ กลายเป็นคนที่เสื้อแดงก็ไม่พอใจตามที่ นช.ทักษิณ ปลุกระดมไว้เช่นกัน
ตำรวจจึงต้องเร่งปิดคดีให้ได้ก่อนว่า เป็นเรื่องประเด็นการเมืองหรือไม่ เพราะหากเป็นเรื่องการเมือง ถือว่าเวลานี้บุคคลสำคัญของประเทศไทย อยู่ในสภาวะอันตรายอย่างยิ่งแล้ว!
และทำไมการสอบสวนผู้ต้องหาจึงเป็นไปอย่างง่ายดาย เป็นการจัดฉากอย่างที่บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตหรือไม่ ตำรวจต้องเคลียร์ทุกประเด็นให้กระจ่างโดยเร็ว
ยิ่งเมื่อคดีนี้ พบว่าโยงใยไปถึงคนในเครื่องแบบ “ทหาร” ก็ยิ่งทำให้หลายคนไม่สบายใจมากยิ่งขึ้น เมื่อบุคคลในหน่วยที่ต้องเป็นรั้วของชาติในการทำให้บ้านเมืองสงบ แต่กลับเป็นผู้วางแผนคิดกระทำการลอบสังหารองคมนตรีเสียเอง ก็ทำให้ทหาร และกองทัพเสียหายแน่นอน ในเรื่องการเข้าไปมีส่วนกับการทำผิดกฎหมายขั้นร้ายแรง
แม้ตอนนี้ผู้นำหน่วยทั้ง พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จะออกมายืนกรานว่า ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ไม่มีการช่วยเหลือกัน ไม่ว่าจะเป็นทหารในหรือนอกราชการ
ทว่า เป็นแค่การเล่นไปตามบทปกติ ที่ไม่ต้องไปให้ราคามาก โดยเฉพาะกับ “บิ๊กป๊อก” ผบ.ทบ. ที่ไร้ความเด็ดขาดในฐานะผู้นำหน่วยทหาร เพราะหากถามกลับไปว่า เหตุใดระยะหลัง ผู้ใต้บังคับบัญชาจึงมักออกนอกลู่นอกทาง ไม่รักษาวินัยทหาร แถมล้ำเส้นเกินความเป็นข้าราชการทหารไปเสียหลายก้าว
คำตอบที่ได้ส่วนหนึ่ง อาจคิดไปได้ว่าเป็นเพราะ ผู้นำหน่วย อย่าง “บิ๊กป๊อก” ขาดบารมี ไร้ความเด็ดขาดในการบริหารจัดการหรือไม่ จนทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาไม่เกิดความยำเกรง และไม่เกรงกลัวแม้แต่จะรักษาวินัยทหาร หรือรักษากฎหมาย
กรณีพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดง ที่ก่อนหน้านี้ออกมาด่า พลเอกอนุพงษ์ อย่างดุเดือด ในช่วงพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยปักหลักในทำเนียบรัฐบาล รวมทั้งพูดจาข่มขู่พันธมิตรฯ หลายครั้งว่า จะเกิดเหตุร้าย มีการยิงอาวุธใส่พันธมิตรฯในยามดึก ก็พบว่าเป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น
มิหนำซ้ำ เสธ.แดง ยังไปมีส่วนในการจัดตั้งกองกำลังส่วนตัวให้กับ นปช. คนเสื้อแดงที่สนามหลวงเพื่อไว้ชนกับประชาชนชาวเสื้อเหลือง ทั้งที่เสธ.แดง เป็นทหารซึ่งต้องปกป้องชีวิตประชาชน
สิ่งเหล่านี้ ทำไมพลเอกอนุพงษ์ในฐานะผู้นำทหารกลับไม่ดำเนินการใดๆ ให้เด็ดขาด
แม้แต่กรณี ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต นายทหารหญิงประจำสำนักงานเลขานุการกองทัพบก ที่ออกหนังสือเชียร์ นช.ทักษิณ อย่างออกหน้าออกตาสองเล่ม คือ ทักษิณ แวร์ อาร์ ยู ? และล่าสุด ทักษิณ อาร์ ยู โอเค ?
และมีการลาราชการโดยไม่แจ้งวัตถุประสงค์ต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อไปรับจ๊อบออกหนังสือเชียร์ทักษิณ นักโทษหนีคดี ซึ่งมีท่าทีอันเห็นได้ชัดว่า มุ่งร้ายต่อสถาบันองคมนตรี และเหยียบย่ำทำลายเกียรติภูมิของกองทัพ
แต่"หมวดเจี๊ยบ" กลับทำหนังสือเสนอด้านดีของนักโทษชายผู้สร้างความแตกแยกให้กับประเทศอย่างที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน จนทำให้ประเทศไทยเสียหายอย่างหนัก แม้แต่การจะไปทำงานเป็นพิธีกรในรายการดี ทีวีสเตชั่นของ นช.ทักษิณ ทั้งที่ตัวเองเป็นข้าราชการทหาร กินเงินเดือนจากภาษีประชาชน
ถามว่า หมวดเจี๊ยบ ทหารผู้เห็นแก่เงินที่ได้จากค่าขายหนังสือ และคิดจะรับเงินสองทาง จากการเป็นพิธีกรทีวี ดีสเตชั่น ของคนเสื้อแดงและ นช.ทักษิณ จะกล้าทำเช่นนี้หรือ หากว่ากองทัพ และทหาร มีผู้นำที่เด็ดขาด ตรงไปตรงมา ไม่เห็นแก่หน้าไหน
ยังมีข่าวว่า มีนายทหารใหญ่บางคน ไม่ยอมอนุมัติให้หมวดเจี๊ยบลาออกจากราชการ กรณีไปรับจ๊อบกอบโกยเงินของ นช.ทักษิณ ทั้งที่เจ้าตัวทนแรงกดดันและข่าวฉาวๆ ไม่ไหว จนยื่นหนังสือลาออกจากราชการไปแล้ว แต่ผู้บังคับบัญชาไม่อนุมัติ
จนทำให้ทหารหลายคน เกิดความรู้สึกว่า วินัยทหารมีแค่ไว้ให้ท่องจำ แต่หากเป็นทหารมีเส้น แถมหน้าตาสะสวย พูดจาฉอเลาะ ถูกใจนาย ต่อให้ทำผิดก็ไม่ต้องรับโทษ อย่างมากก็อาจไม่ได้เลื่อนขั้น แต่ก็ได้อยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำงานอะไร แต่มีเงินเดือนที่เป็นเงินภาษีประชาชนส่งเข้าบัญชีทุกเดือนไว้ให้กินฟรีๆ อย่างที่มีทหารหญิงบางคนได้รับอยู่
แล้วแบบนี้ กองทัพจะเข้มแข็งได้อย่างไร เมื่อทหารส่วนใหญ่เห็นแล้วว่า กองทัพอ่อนแอ ผู้นำทหารปวกเปียก มัวแต่เกาะเก้าอี้ เกาะตำแหน่ง ท่องคาถา ทหารเป็นกลาง
แต่บ้านเมืองกำลังฉิบหาย ผู้ใต้บังคับบัญชาทำผิดวินัย และกฎหมายบ้านเมืองอย่างนี้ ผบ.ทบ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ไม่รู้จักคิดบ้างหรือไง
หรือจะปล่อยให้กองทัพเต็มไปด้วยเหลือบยั้วเยี้ยอย่างที่เป็นอยู่ ถึงขั้นเป็นผู้ร่วมก่อการวางแผนสังหาร “องคมนตรี”กันแล้ว