จันทบุรี - จังหวัดจันทบุรีจัดซ้อมแผนกรกฎ 52 รับมือ ม๊อบหางแดงบุกยึด เผาสถานที่ราชการหลังจังหวัดจันทบุรีเป็นจังหวัดเป้าหมายใน 38 จังหวัดที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะมาชุมนุมใหญ่
วันนี้ (23 ก.พ.53) ที่ลานหน้าศาลากลางจังหวัดจันทบุรี นายมานพ วีระอาชากุล รองผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี พล.ต.ต.อิทธิพล พิระยะภิญโญ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรีได้มาดูการฝึกซ้อมแผนของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการรับมือม๊อบคนเสื้อแดง ที่มีเป้าหมายจะมีการมา ชุมนุมใหญ่ใน 38 จังหวัดทั่วประเทศ ดังนั้น ทางจังหวัดจึงได้มีการจัดฝึกซ้อมแผนใหญ่
โดยได้มีการจำลองเหตุการณ์ว่ามีกลุ่มคนเสื้อแดงนับ 100 คนมาทำการบุกยึด และเผาสถานที่ราชการ ทางกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดจันทบุรีจึงได้มีการสั่งการให้มีการจัดกำลังเสริมจำนวน 3 กองร้อย
ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัด เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนที่ 11เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี และกำลังเสริมจากอาสาสมัครรักษาดินแดนจังหวัดจันทบุรี รวม 500 นาย เพื่อรับมือม๊อบคนเสื้อแดง การจัดฝึกซ้อมแผนในครั้งนี้ทางจังหวัดได้เน้นในการใช้แผนกรกฎ 52 เข้าควบคุมม๊อบคนเสื้อแดง
ขั้นตอนแรกทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเจรจากับแกนนำ ม๊อบคนเสื้อแดงให้หยุดการที่จะเข้าไปบุกยึดสถานที่ราชการ ศาลากลางจังหวัดแต่กลุ่มคนเสื้อแดงไม่สามารถเจรจาตกลงกับทางเจ้าหน้าที่ ตำรวจได้และยังคงใช้ความรุนแรงโดยการใช้สิ่งของขว้างปาใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมทั้งยังปุกระดมให้มีการยึดสถานที่ราชการให้ได้ภายในวันนี้
ทั้งนี้ ทำให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมีการใช้แผนกรกฎ 52 เข้า มาใช้เพื่อทำการควบคุมให้กลุ่มคนเสื้อแดงได้อยู่ในกอบของกฎหมายให้ได้ แต่ถึงอย่างไรกลุ่มคนเสื้อแดงยังคงไม่ฟังและยังคงเดินหน้าที่จะยึดศาลากลาง จังหวัดให้ได้ต่อไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงต้องนำแผนกรกฎ 52 เข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงพร้อมกับทำการควบคุมตัวแกนนำคนเสื้อแดงมาดำเนินคดีตามกฎหมาย จากนั้นชุดเก็บกู้วัตถุระเบิดจะเข้าเคลียร์พื้นที่ และหน่วยพยาบาลจะนำผู้ได้รับบาดเจ็บส่งโรงพยาบาล
นายมานพ กล่าวต่อว่า จากการฝึกซ้อมแผนในครั้งนี้ทางจังหวัดมีความพอใจเป็นอย่างมากที่ เห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนาย รวมถึงกำลังเสริม อส.ตชด.มี ความ พร้อมและความเข้มแข็งในการฝึกซ้อมแผนในครั้งนี้ และคิดว่าถ้าเกิดเหตุการณ์จริงก็ขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกนายได้นำไปปฏิบัติ ให้ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพให้มากที่สุดเพื่อรักษาสถานที่ราชการให้ได้เนื่องจากเป็น สมบัติส่วนรวมที่จะต้องร่วมกันรักษาอีกด้วย