“มาร์ค” ยังไม่พบมีบึ้ม โยน “กี้ร์ อมฮอลล์” ตัวปูดข่าว ย้ำอย่าตื่น แต่ต้องไม่ประมาท วอนชาวบ้านให้ความร่วมมือรัฐ แนะทุกสีปล่อยเจ้าหน้าที่คุมม็อบ จวกสื่อบางยี่ห้อบิดเบือน ฮุกหมัดแชมป์โลกใส่ “แม้ว” ถามทำไมไม่ชวนลูกเมียให้อยู่ร่วมม็อบ เชื่อ รัฐผ่านสถานการณ์ไปได้ ย้ำไม่ถอดใจ ยังไม่ย้ายเข้าเซฟเฮาส์ รับมีคนกว้านซื้อชุดทหารจริง เผย “บัวแก้ว” เร่งคุยยูเออีส่ง “นช.แม้ว” ข้ามแดน
วันนี้ (10 มี.ค.) ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เปิดเผยว่า มีหน่วยข่าวรายงานว่า จะมีเหตุระเบิดใหญ่ 2 จุด และระเบิดขนาดดาวกระจาย 30-40 จุด ว่า ไม่มี ตนก็ได้อ่านจากหนังสือพิมพ์ ทั้งนี้ มีการข่าวที่พูดการก่อเหตุวินาศกรรมอยู่จริง แต่ว่ารัฐบาลได้ติดตามความเคลื่อนไหวกลุ่มคนต่างๆ ที่อยู่ในข่ายต้องสงสัยตามปกติอย่างใกล้ชิด ที่ผ่านมา เช่น การปาระเบิดธนาคารกรุงเทพ 3-4 แห่ง เป็นตัวอย่าง เราก็ดำเนินการจับกุมขยายผล สิ่งที่อยากจะย้ำ คือ ไม่ต้องตื่นตระหนก แต่อย่าประมาท และอยากขอความร่วมมือประชาชนเวลามีวินาศกรรม คนที่จะช่วยรัฐบาลได้ดีสุด คือ ประชาชน ถ้าทุกคนเป็นเสมือนเครือข่ายรักษาความสงบบ้านเมือง เราจะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าทุกคนทำอย่างนี้ได้ ก็ไม่มีอะไรน่าตื่นตระหนก
เมื่อถามว่า ข่าวต่างๆ ที่ออกมาเหมือนออกมาจากฝ่ายรัฐบาล เช่น เรื่องก่อวินาศกรรม จะมีระเบิดจุดต่างๆ เหมือนรัฐบาลทำให้สังคมตื่นตระหนก นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ครับ รัฐบาลมีหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อย และต้องการให้ประชาชนตื่นตัวในสถานการณ์อย่างนี้ แต่ไม่ใช่ตื่นตระหนก รัฐบาลไม่มีประโยชน์อะไรที่สร้างความตื่นตระหนก เพราะว่าจะมีผลกระทบด้านต่างๆ ตนย้ำอีกครั้งว่า เวลาท่านพูดถึงว่ามีข่าวความรุนแรง รัฐบาลพูดเป็นเสียงเดียวกันหมดว่า รัฐบาลไม่มีความคิดจะใช้ความรุนแรงเลย ตรงกันข้าม อย่าง นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำกลุ่ม นปช.และคนที่ขึ้นปราศรัยในเวทีต่างๆ พูดจาอย่างชัดเจนว่า เขาพร้อมจะใช้ความรุนแรง ฉะนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่รัฐบาลอยู่ดีๆ นึกสนุก พูดขึ้นมา มันไม่ได้เป็นประโยชน์กับรัฐบาล แต่ทั้งหมดมาจากการที่มีกลุ่มบุคคลกลุ่มหนึ่ง ซึ่งพูดเองว่าเขาพร้อมใช้ความรุนแรง ซึ่งก็มีการข่าวเข้ามา เราก็ต้องเตือนประชาชน ทางตรงข้ามถ้าเกิดเหตุขึ้นเราไม่ได้เตือนประชาชนเลย เราก็บกพร่อง ตนย้ำอีกครั้งว่าไม่ต้องตื่นตระหนก เพียงแต่ว่าอย่าประมาท ช่วยกันเป็นหูเป็นตาทุกอย่างก็เรียบร้อย
เมื่อถามว่า กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้รวบรวมกำลังคนที่จะออกมาเคลื่อนไหว จะทำมันยิ่งมันรุนแรงขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยากขอร้องพี่น้องประชาชน ไม่ว่ากลุ่มไหนก็ตาม ไม่ว่าท่านจะมีความรู้สึกเห็นด้วยไม่เห็นด้วยกับการชุมนุมนี้ เจ้าหน้าที่จะช่วยดูแลความสงบเรียบร้อย ขอให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่แต่ถ้ามีกลุ่มมวลชนอื่นเข้ามาเคลื่อนไหว และมีลักษณะขัดแย้งมีแต่จะทำให้การบริหารสถานการณ์ยากขึ้น ฉะนั้น อยากขอความร่วมมือว่าอย่าให้มีการปะทะกัน
“วันนี้ได้มีการซักซ้อมว่าในกรณีใดก็ตามที่เกิดมวลชนขึ้นมาที่มีความขัดแย้ง อาจจะมีการปะทะกันภาระหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ คือ เข้าไปแยก อย่าให้มวลชน 2 กลุ่มปะทะกัน มีหนังสือพิมพ์ คอลัมนิสต์ บางฉบับไม่ทราบแกล้งไม่เข้าใจคำพูดผมหรือไม่ ที่ไปพูดว่าผมชักชวนให้คนทั้งหลายในสังคม ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่มาต่อสู้ความรุนแรง คำว่า ต่อสู้ในที่นี้ความหมายน่าจะเข้าใจได้อยู่แล้วว่าเป็นการต่อสู้โดยใช้ความสงบ เพื่อสยบความรุนแรงไม่น่าจะไปบิดเบือนเลย” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ตนได้ขอให้ตำรวจจราจรออกข่าวอยู่ตลอดเวลา ประชาชนที่จะใช้เส้นทางไหน ซึ่งจะมีปัญหาจราจรมีทางเลี่ยงอย่างไรบ้าง ก็ขอให้ติดตามข่าวสาร และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่
เมื่อถามถึงกรณีที่ครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้เดินทางออกนอกประเทศแล้ว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังไม่ทราบว่าออกหรือไม่ แต่ตนเรียนได้ว่าเมื่อเดือน เม.ย.ปีที่แล้วก็ไม่อยู่กัน เมื่อถามต่อว่า แสดงว่า จะเกิดความรุนแรงขึ้นหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ไม่ทราบครับ แต่ก็ต้องถามคุณทักษิณเหมือนกันว่าชวนทุกคนอยู่ที่นี่ แต่ว่าคนใกล้ชิดตัวเองไม่ชวนอยู่ละครับ”
เมื่อถามว่า ประเมินสถานการณ์แล้ว คิดว่า รัฐบาลจะผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ โดยอำนาจไม่เปลี่ยนมือ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้ครับ ปัญหาหลักไม่ได้อยู่ที่อำนาจเปลี่ยนมือหรือไม่เปลี่ยนมือ ปัญหาหลักอยู่ที่ว่าเรารักษากติกาและความสงบเรียบร้อยได้ นั่นคือภารกิจที่สำคัญ ตนมั่นใจว่าแนวทางที่เรากำหนดเป็นแนวทางที่ดีที่สุด ถ้าประชาชนให้ความร่วมมือทุกอย่างก็จะผ่านไปอย่างเรียบร้อยไม่มีปัญหา
เมื่อถามว่า ล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ โฟนอินเรียกร้องให้ทหารเรียกร้องให้นายกฯลาออก เพื่อแก้ปัญหา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่อยากรื้อฟื้นเหตุการณ์เดิม แต่เพื่อให้เกิดข้อเท็จจริง และให้เข้าใจตรงกัน รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วย พ.ต.ท.ทักษิณ ไปอ้างอิงถึงเหตุการณ์ช่วงเดือนธันวาคมปีที่แล้ว และกล่าวหา ผบ.ทบ.วันนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ตั้ง คตม.โดยมี ผบ.ทบ.ทำหน้าที่ใน คตม.
“เหตุการณ์วันนั้นการชุมนุมบริหารจัดการกันอย่างไรก็แล้วแต่ถึงจุดที่ คตม.เขาประชุมกัน คตม.ไม่ได้มีแต่ พล.อ.อนุพงษ์ แต่มีภาคเอกชน ภาคพลเรือน ประชุมคณะใหญ่ เป็นมติที่ประชุม พล.อ.อนุพงษ์ ได้เป็นผู้แถลง บังเอิญวันนี้มันไม่มีเรื่องที่จะไปเทียบเคียง จะมีก็แต่คตม.ที่มีนายสุเทพ เป็นประธาน หากนายสุเทพ ประชุมแล้วบอกว่า ให้ผมจะทำอะไรเพื่อรักษาความสงบ ทำก็ต้องพิจารณาครับ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามอีกว่า ความเห็นของนายกฯวันนี้ลาออกหรือยุบสภาไม่ใช่ทางออกของปัญหา นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แกนนำเขาก็พูดอยู่แล้วว่ายุบสภาเป็นแค่หลักกิโลฯแรก แสดงว่า เป้าหมายขณะนี้มันไม่ใช่ เหมือนก่อนหน้านี้พูดเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ พอตกลงกันได้ก็เป็นฝ่ายที่ว่าไม่แก้แล้ว เพราะเป้าหมายจริงๆ มันไม่ใช่ ตนถึงบอกกับทุกคนว่าขอให้ดูเป้าหมายที่แท้จริงว่ามันคืออะไร แต่เอาเรื่องซึ่งไปอยู่ในใจพี่น้องประชาชนบางส่วน เรื่องประชาธิปไตย เรื่องความเป็นธรรม มาเป็นตัวชูแต่จริงๆ ไม่ใช่ฉะนั้น ไม่อยากให้ใครตกเป็นเหยื่อกลุ่มคนที่จะไปสร้างปัญหา ขณะที่จำนวนกำลังตำรวจทหารที่จะดูแลการชุมนุมนั้น นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พอสมควรแก่เหตุ
เมื่อถามว่า ภายใต้สถานการณ์รุมเร้าเคยคิดถอดใจจากการทำหน้าที่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ไม่ครับ ผมไม่มีสิทธิ์ถอดใจ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องดูแลตัวผม มันเป็นเรื่องดูแลบ้านเมือง ผมมาทำหน้าที่ดูแลบ้านเมือง ประชาชน สิ่งทีผมทำคือรักษาประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชน ไม่มีสิทธิ์ไปคิดอย่างอื่น ต้องทำภารกิจให้ลุล่วง” (สื่อข่าวถามว่า เคยคิดถึงเรื่องความสง่างามบ้างหรือไม่ เพราะเป็นนายกฯคนแรกที่มีคนไปขว้างสิ่งปฏิกูลเข้าบ้านถึงสองครั้ง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนว่ามันสะท้อนคนปามากกว่า ไม่ได้สะท้อนคนอยู่ในบ้าน ตนกล้าพูดว่า คนเป็นนายกฯในอดีตหลายคน มีคนไม่ชอบทั้งนั้น มีใครกล้าพูดบ้างว่า มีนายกฯคนไหนทุกคนชอบทุกคนรัก แต่อยู่ที่ว่าคนไม่ชอบปฏิบัติอย่างไร ฉะนั้นถ้าเราใช้ตรรกะที่ผิด เราจะตกเป็นเหยื่อ ส่วนการติดภาพบุคคลพึงระวังที่บริเวณบ้านตนนั้นยังไม่ทราบ และไม่เคยเห็น ยังไม่ทราบเรื่องเลย
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีการห้ามคนเดินทางเท้าหน้าบ้านนายกฯนั้นละเมิดสิทธิ์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนพยายามอย่างเต็มที่ในการอำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชนเพราะตนก็เกรงใจ แต่อยากทวนความจำว่าตอนที่ตนเข้ามาทำหน้าที่ตอนแรกๆ พยายามทำให้มันปกติที่สุด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น เกิดจากคนที่มาสร้างปัญหาโดยความรุนแรง ตนเข้ามาเดิมทีรถกันกระสุนยังไม่นั่งเลย จริงๆนั่งวันแรกวันไปกระทรวงมหาดไทย ถ้าวันนั้นตนไม่นั่ง วันนี้ก็ไม่ได้มานั่งตรงนี้ การดูแลให้น้อยที่สุด แต่มีคนกลุ่มหนึ่งไปประกาศให้ไปทำอย่างนั้นอย่างนี้
“ถ้ามันเกิดอะไรขึ้นมันมีผลกระทบ ไม่ใช่ตัวผม มันกระทบบ้านเมือง แต่ไม่ใช่เพราะตัวผม แต่เพราะตำแหน่งผม ถ้าอยากให้ทุกอย่างกลับไปปกติ ต้องไปเรียกร้องกับคนที่ชักชวนคนให้ใช้วิธีการไม่ปกติ ไม่อย่างนั้นจะเป็นอย่างนี้ตลอดไป ไม่ใช่เฉพาะผม ถ้าคิดแบบใครไม่ชอบกันก็ยุยงส่งเสริมสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง ละเมิดกฎหมายมันก็ไม่จบ” นายอภสิทธิ์ กล่าว
เมื่อถามถึงแรงงานต่างด้าวที่จะมาร่วมชุมนุม นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยู่ในช่วงการจัดระเบียบอยู่แล้ว มีการขึ้นทะเบียน เราถือว่าเราให้โอกาสเขาทางเศรษฐกิจ แต่ถ้าเขามาใช้โอกาสในทางที่ผิด เขาจะเสียโอกาสต่อไปในอนาคต เมื่อถามว่า มีการกว้านซื้อชุดทหารตามตลาด มีการตรวจสอบอย่างไรบ้าง และมันส่งสัญญาณอะไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้รับเสียงสะท้อนมาว่ามีการซื้อขายชุดทหารเยอะจริง อยากย้ำว่ามีข่าวสารอะไรขอให้ทุกฝ่ายกลั่นกรอง เพราะอาจจะมีคนคิดสวมรอย แต่เราจะป้องกัน ปฏิบัติการภาครัฐจะทำเหมือนเดือนเม.ย.ทำให้โปร่งใสที่สุด ฉะนั้นสื่อจะเป็นพยานได้ เมื่อถามว่า จะย้ายไปอยู่เซฟเฮาส์หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ยังครับ ถึงเวลาที่มีสถานการณ์ตนคงอยู่กับคนทำงานเกือบตลอดเวลา เม.ย.ที่แล้วก็แทบไม่ได้นอน ส่วนในทำเนียบรัฐบาลคงไม่มีการขนย้ายของออกเพราะตนก็ไม่ค่อยมีของอยู่แล้ว ขณะนี้ก็ยังไม่มีการจัดที่สำรองเผื่อไว้
เมื่อถามว่า ถ้าผ่านการชุมนุมครั้งนี้ไปแล้วประเทศไทยจะเป็นอย่างไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าผ่านด้วยความสงบก็พิสูจน์ความแข็งแกร่งของสังคมไทย ถ้าผ่านไปโดยไม่สงบเรียบร้อยประเทศก็เสียหายมาก ถ้าเป็นไปตามเป้าหมายของคนที่อยากให้เกิดความรุนแรงไม่มีใครชนะทุกคนสูญเสียหมด และเศรษฐกิจจะฟื้นตัวอยากกว่าที่ผ่านมา เมื่อถามถึงการถวายรายงานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การถวายรายงานเป็นเรื่องมารยาทไม่พึงมาเปิดเผยที่นี่ เมื่อถามว่า การดำเนินการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะทางอาหรับเอมิเรตต้องการส่งแลกตัวกับผู้ร้ายข้ามแดน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศ ดำเนินการอยู่