“มาร์ค” มั่นใจเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว แม้อุณหภูมิการเมืองร้อนระอุ หลังกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศชุมนุมใหญ่ แต่รบ. มีแผนรองรับสถานการณ์ โดยจับตาความเคลื่อนไหวใกล้ชิด นายกฯ ยันไม่ใช้ความรุนแรงและพร้อมเจรจากับผู้ชุมนุม โดยรบ. จะอดทนและจริงใจแก้ปัญหา เชื่อ ทุกอย่างผ่านพ้นด้วยดี
เมื่อเวลา 21.00 น. ที่โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลเวิร์ล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษ ในหัวข้อ “การสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนท่ามกลางวิกฤต” เนื่องในงานวันนักข่าวประจำปี 2553 ที่จัดโดยสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย มีใจความตอนหนึ่ง ว่า ถ้าจะให้พูดถึงวิกฤตการลงทุน และความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจไทย ถ้าเป็นปีที่แล้วคงจะพูดกันมาก 2 วิกฤต 1.เศรษฐกิจโลก และ 2..การเมืองในประเทศ แต่วันนี้ความวิตกวิกฤตเศรษฐกิจโลกดูจะลดลงไปมาก การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจเริ่มต้นตั้งแต่กลางเดือนม.ค.ทำให้ตัวเลขที่มีการประกาศล่าสุด ยืนยันว่าเศรษฐกิจได้กลับเป็นบวก และตลอดปี 2552 ที่ผ่านมา ตัวเลขต่างๆก็ต่ำกว่าที่เคยประเมินกันทั้งสิ้น นอกจากนี้ตัวเลขการใช้จ่ายต่างๆ ทำให้เรามั่นใจว่าการฟื้นตัวจะมีความแข็งแรง แม้จะมีความเสี่ยงอยู่แล้ว ที่สำคัญตัวเลขการขยายตัวเศรษฐกิจของปี 2553 ปรับสูงขึ้นเป็น 3-4.5% ปัญหาที่ยังค้างอยู่คือปัญหากรณีมาบตาพุดที่คณะกรรมการ 4 ฝ่ายกำลังเดินหน้าแก้ปัญหา โดยกำหนดกรอบกติกาชัดเจนแล้ว และการตรากฎหมายก็มีความก้าวหน้า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อีกวิกฤตหนึ่งที่ทุกคนจับตาด้วยความห่วงใย คือวิกฤตทางการเมือง โดยเฉพาะสถานการณ์อีกไม่กี่วันข้างหน้า ที่จะมีการชุมชุนใหญ่อีกครั้งในกทม.ที่มีการโหมโรงรุนแรงเป็นพิเศษ ไม่เพียงแง่จำนวนคน รูปแบบการชุมนุม แต่ยังมีคนบางกลุ่มเริ่มเปิดเผยชัดเจนว่าอาจมีการใช้ความรุนแรง แนวคิดของตนที่ทำมาตลอด 20 ปี มีความชัดเจนมาตลอดว่า ความเชื่อมั่นที่จะเกิดขึ้นได้ รัฐบาลจะต้องทำบนพื้นฐานความเป็นจริง ตนไม่เคยเชื่อเรื่องการโฆษณาชวนเชื่อหรือตกแต่งตัวเลขปกปิดความจริง ดังนั้นไม่ว่าเรื่องเศรษฐกิจหรือการเมือง สิ่งที่ตนใช้ในการบริหารคือการให้ความจริง เมื่อปีที่แล้วตั้งแต่ต้นปี รัฐบาลก็พูดชัดว่าคาดการณ์เศรษฐกิจอย่างไร จากนั้นก็รีบทำแผนให้ชัดเจนว่าจะใช้มาตรการอะไรแก้ปัญหาบ้าง แล้วก็ดำเนินการตามนั้น ส่วนเรื่องการเมือง ตนพูดตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่ง ว่าการทำให้บ้านเมืองสงบสุข ไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องใช้หลายอย่างประกอบกัน ทั้งการใช้เวลา ความอดทน และช่วยสร้างค่านิยม ให้อยู่ภายใต้กติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับ บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แม้เรายังวิตกกับเหตุการณ์ที่อาจเกิดในสัปดาห์หน้า แต่ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา แนวทางยึดความจริง ก็สามารถลบคำสมประมาท ทำให้รัฐบาลยังอยู่ได้ท่ามกลางวิกฤต ความจริงบางอย่างวันนี้ไม่มีใครทำให้คนที่ขัดแย้งมาพูดคุยกันได้ เนื่องจากสังคมเติบโตบนความหลากหลายมากขึ้น ซึ่งเราต้องรู้จักปรับตัวอยู่ในภาวะที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป และมีข้อเท็จจริงคือมีคนกลุ่มเล็กๆกลุ่มหนึ่งที่หวังให้เกิดความวุ่นวายเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ล้มกระดานเพื่อประโยชน์ของตัวเอง พรรคพวก และคนในครอบครัว การจะพูดอย่างอื่น ไม่สามารถทำให้คนเชื่อถือได้ ความจริงจึงเป็นบันไดขั้นแรกที่รัฐบาลต้องให้กับประชาชนเพื่อปูทางไปสู่การมีความเชื่อมั่น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เมื่อให้ความจริงกับประชาชนแล้ว ก็ต้องแสวงหาความร่วมมืออยู่ตลอดเวลา โดยทำจากประชาชนทุกกลุ่มเท่าที่ทำได้ เพราะการบริหารสถานการณ์วิกฤตที่ยืดเยื้อแบ่งแยกสังคมเป็นเวลา ลำพังคนกลุ่มหนึ่งหรือฝ่ายใดไม่สามารถจะแก้ปัญหาให้เกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาได้ สิ่งที่รัฐบาลนี้พิสูจน์คือท่ามกลางความแตกแยกขัดแย้งที่ดำรงต่อมาอีก 1 ปี รัฐบาลได้ยึดหลักของกฎหมาย ความถูกต้อง และการเคารพสิทธิเสรีภาพของทุกฝ่ายอย่างแท้จริง ซึ่งต้องอาศัยทั้งความอดทนอดกลั้น และแน่วแน่ที่จะแก้ปัญหาตามแนวทางนี้ ตลอด 1 ปีตนถูกเรียกร้องให้แก้ปัญหาด้วยวิธีสุดโต่งตลอดเวลา ซึ่งตนยืนยันว่าไมใช่วิธีแก้ปัญหา อีกด้านหนึ่งบอกให้เด็ดขาดที่น่าจะหมายถึงใช้ความรุนแรง แม้หลายเรื่องที่เกิดกับตนจะมีความรู้สึกโกรธหรือแค้น แต่คนที่ใช้อำนาจจะต้องถอดออกไปจากการทำงาน การแก้ปัญหาด้วยความเด็ดขาดไม่มีทางทำให้ปัญหาจบ แผลที่เกิดกับสังคมไทยกับความขัดแย้งทางการเมืองครั้งนี้ลึกพอสมควร ไม่ว่าใครอยู่ขั้วใด ตนเห็นว่ามีเหตุผลที่ดีสนับสนุน จึงไม่มีเหตุผลที่จะไปกวาดล้าง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนอีกด้าน ก็สะท้อนผ่านกลุ่มคนทั้งที่เป็นกลาง หรืออาจมีผลประโยชน์ คือให้แก้ปัญหาโดยการต่อรอง ให้สมประโยชน์ทุกฝ่าย ซึ่งตนปฏิเสธเพราะการต่อรองคือการตกลงระหว่างสิ่งที่ผิดกับสิ่งที่ถูก แม้จะแก้ปัญหาวันนี้ได้แต่จะทำให้เกิดปัญหาในวันข้างหน้า เพราะทำลายหลักและกัดกร่อนสถาบันหลักของบ้านเมือง แนวทางเดียวที่รัฐบาลทำคือเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายแสดงออก โดยรัฐบาลต้องรักษาความสงบเรียบร้อยและกฎหมาย เหตุการณ์เม.ย.2552 ไม่มีการกวาดล้าง และพูดถึงชัยชนะของฝ่ายใด ตนเปิดโอกาสให้ตรวจสอบ และยังแสวงหาคำตอบทางการเมือง ที่น่าเสียดายฝ่ายค้านถอนตัวออกไปก่อน แม้หลายคนจะวิจารณ์ว่าแนวทางที่รัฐบาลเดินอาจไม่สร้างความเชื่อมั่น ตนเถียงว่าไม่จริง ถามว่าเหนื่อยไหม ก็เหนื่อยที่ต้องเดินสายชี้แจงทั้งในและต่างประเทศ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราโชคดีเพราะแม้ช่วงวิกฤตแต่ตัวเลขเราดีกว่าอีกหลายๆประเทศ คนเริ่มมาเที่ยว มีคนขอขยายการลงทุน เพราะสิ่งที่เรามีเป็นพื้นฐานมากเกินพอใจการสร้างความเชื่อมั่น แต่มันต้องการการบริหารและใช้อำนาจทางการเมืองที่มีความชอบธรรม ที่ไม่เพียงแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังเป็นหัวใจในระยะยาวด้วย เหตุการณ์ที่มีความขัดแย้งกัน กระทั่งการชุมนุม ไม่ใช่สิ่งที่ทำลายความเชื่อมั่น หากอยู่ในขอบเขตประชาธิปไตย การดูแลให้เกิดความเชื่อมั่น อยู่ที่สังคมจะเลือกจัดการความรุนแรงอย่างไร ดีที่สุดคือป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น เลวร้ายที่สุดหากเกิดขึ้นเราก็จัดการได้แบบอารยประเทศ
“ผมเองแต่เสียดายและเสียใจว่าขณะที่สังคมส่วนใหญ่ต้องการเดินหน้า เรายังสุ่มเสี่ยงเป็นเมืองของคนกลุ่มเล็กๆที่ต้องการเห็นความวุ่นวาย คนที่มาเคลื่อนไหวชุมนุม ผมพูดย้ำแล้วย้ำอีก เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย เขามาตามความคิดความเชื่อของเขา ที่ผมเสียดายเสียใจคือหลายคนที่มาได้รับชุดข้อมูลที่มีความคาดเคลื่อน ผมฟังจากคนที่มาชุมนุมชี้หน้าด่าตามที่ต่างๆ จดหมายที่มาที่บ้าน โทรศัพท์ที่มาที่บ้าน หลายคนเชื่อคลิปเสียงว่าผมเคยสั่งฆ่าคนจริงๆ อันนี้เป็นสิ่งที่ผมเสียดายจริงๆว่าสังคมไทยไม่สามารถทำให้ความจริงปรากฏได้ ซึ่งหากผมเชื่อคลิปเสียงนั้นจริงๆ ดีไม่ดีผมเองจะมาร่วมชุมนุมด้วยซ้ำ แถมยังลังเลว่าจะใช้ความรุนแรงด้วยหรือไม่ด้วยซ้ำ ทั้งที่รัฐบาลยืนยันมาตลอดไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับใคร” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญ ตลอด 2-3 วันนี้กระบวนการสร้างความแตกแยกก็ยังมีต่อเนื่อง โดยอ้างว่ารัฐบาลไปขึ้นบัญชีดำ แต่ก็ยังมีสื่อมวลชนบางฉบับ ที่ไม่รู้เป็นสื่อเทียมหรือไม่ ก็ยังเขียนเอาไปขยายผล คนที่เคยทำเรื่องคลิปเสียงก็เอาไปทำเหมือนเป็นเรื่องจริง เพื่อสร้างความแตกแยก เข้าใจผิด สุดท้ายก็เป็นเหยื่อจองคนที่ต้องการก่อความรุนแรง ที่เตรียมโยนความผิดมาให้ภาครัฐหากเกิดความรุนแรง ตนทำทุกวิถีทางขณะนี้ เพื่อให้ความจริงปรากฏ แม้อ้างไม่ได้ว่าความคิดตนเป็นสิ่งที่ถูก และหากเราไม่สามารถทำให้ความจริงชนะความเท็จได้ ไม่ใช่เฉพาะปัญหาความเชื่อมั่น แต่เป็นความล้มละลายของสังคมไทย ที่สามารถทำให้กระบวนการสร้างความเท็จ สามารถทำลายความสงบสุขและสถาบันหลักของชาติ ตนยังเชื่อมั่นว่าที่สุดความจริง ข้อเท็จจริง เหตุผล ความดีจะชนะในที่สุด แต่เป็นเรื่องท้าทายและอยากเรียกร้องจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะสื่อมวลชนที่จะทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้น
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อีกปัญหาใหญ่ในสังคมไทยปัจจุบัน คือขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน ภาคสังคม การเมือง นักธุรกิจ ไม่เชื่อถือกันและกัน ทำให้ทุกอย่างเดินต่อไปลำบาก อย่างกรณีมาบตาพุดข้อเสนอของคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ตนก็เห็นว่าใช้ได้ แต่พอนำลงไปปฏิบัติหน้ายังไม่สามารถทำให้ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ปัญหาก็ยังไม่จบลงง่ายๆ เวลาลงไปทำผลกระทบสิ่งแวดล้อม หากทุกฝ่ายไม่เชื่อข้อมูลบนโต๊ะ ประชาชนไม่เชื่อข้อมูลรัฐ ปัญหาก็หาข้อยุติได้ยาก แต่ตนเข้าใจว่าทำไมความไว้เนื้อเชื่อใจกันและกันถึงไม่มี เพราะปัญหามาบตาพุดเกิดขึ้น เนื่องจากในอดีตมีการทุจริตคอร์รัปชั่น
“ผมทำงานแต่ละวันไม่ได้คิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่มองไกลถึงการสร้างค่านิยมที่ทุกคนเปลี่ยนวิถีเดิมๆ ทั้งการศึกษา สังคม และการเมือง และผมขอย้ำว่า สื่อมวลชนมีบทบาทสำคัญมากในการปรับเปลี่ยนประเทศต่อไปในอนาคต เพราะข่าวสารคือหัวใจที่จะทำให้คนรับรู้ข้อมูลร่วมกัน เพื่อหลอมให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แม้จะมีความเชื่อแตกต่างกัน ผมพูดกับสื่อแต่วันแรกที่เขารับตำแหน่งว่าผมจะวิจารณ์สื่อแต่ไม่แทรกแซง โดยผมจะเรียกร้องจากสื่อเท่าที่สื่อเรียกร้องจากผม ตามหน้าที่ที่แต่ละคนรับผิดชอบ โดยการอัดรายการเชื่อมั่นประเทศไทยกับนายกฯอภิสิทธิ์ในวันที่ 6 มี.ค.จะเชิญคนที่คิดเห็นแตกต่างกันมาพูดคุยกัน” นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ผู้ร่วมงานรายหนึ่งถามว่าหากยุบสภาวันนี้คิดว่ามีโอกาสได้มานั่งนายกฯอีกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าว่า ถ้ายุบสภาไม่มีใครทราบผลจะเป็นอย่างไร แต่วันนี้สังคมมีคนสนับสนุนพรรคใหญ่ 2 ขั้วใกล้เคียงกัน ในการเลือกตั้ง 2550 คะแนนก็ต่างไม่กี่แสนคะแนนจากที่เคยต่างกันเป็นล้าน วันนี้คะแนนทั้งสองพรรคก็ยังต่างกันไม่มาก และหากเทียบวันนั้นกับวันนี้ก็ยืนยันได้ว่าคะแนนพรรคตนดีขึ้น แต่ตอบไม่ได้ว่าจะได้ส.ส.เท่าไร แต่ยืนยันไม่มีพรรคใดได้เสียงข้างมาก จึงไม่มีใครทราบว่าพรรคเล็กจะมาจับขั้วกับใครตั้งรัฐบาล แต่ยืนยันว่า ณ วันนี้ ยังไม่มีแนวคิดที่จะยุบสภา