"สนธิ" อัด "แม้ว" เคืองศาล โดนจับแก้ผ้าเผยธาตุแท้โกงล่อนจ้อน แฉ รบ.ทักษิณ ใช้อำนาจสั่ง กสท. ชิงตัดหน้าลงทุนพีดีเอ เพื่อสกัดคู่แข่งฮ่องกง จี้ สอบ "เอสซี เอสแสท" ขุมทรัพย์ความร่ำรวยเพิ่ม ด้าน "อดีต รมว.ไอซีที" เห็นด้วย ศาลตัดสินแค่ประเด็นความร่ำรวยผิดปกติ "แม้ว" เชื่อ เปิดทางสอบสวนคดีอื่นเพิ่มเติม ขณะที่ "ปานเทพ" ชำแหละกลโกงแก้ว 3 ใบ "เอไอเอส" รับประโยชน์เต็มๆ ย้ำ แผนผูกขาดตลาด กดขี่นักธุรกิจหน้าใหม่ไม่ให้แข่งขัน
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "คนในข่าว"
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน เวลา 20.30-22.00 น. วันอังคารที่ 2 มีนาคม มี นายเติมศักดิ์ จารุปราณ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งวันนี้มีการเชิญ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ศ.ดร.สิทธิไชย โภไคยอุดม อดีต รมว.ไอซีที มาร่วมพูดคุยและวิเคราะห์ถึงกลโกงสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศไทยนับไม่ถ้วน
ทั้งนี้ ในระหว่างรายการ ได้ต่อสายสัมภาษณ์สด นายสนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ถึงประเด็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้อำนาจฉ้อฉล สมัย พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี
เริ่มต้นรายการ นายสิทธิชัย กล่าวถึงประเด็นการแก้ไขกฏหมายภาษีสรรพสามิต ในยุครัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ความจริงถ้ามองเรื่องนี้ด้วยความเป็นธรรม การเก็บภาษีสรรพสามิตในกิจการโทรคมนาคม ไม่ใช่เรื่องผิด แต่สิ่งที่ผิดมันอยู่ตรงที่ ครม. สมัยนั้น มีการลงมติให้เอกชนนำรายได้มาจ่ายภาษีให้แก่รัฐ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฏหมาย ทั้งที่ยังมีวิธีอื่นที่สามารถกระทำได้อีกเยอะแยะ โดยประเด็นภาษีสรรพสามิต เสมือนทำให้รัฐรับภาษีจากเอกชนด้วยมือขวา และจ่ายคืนภาษีให้แก่เอกชนด้วยมือซ้าย มันไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากทำให้รัฐมีรายได้จากการเก็บภาษีน้อยลง อีกทั้ง ยังทำให้เกิดปัญหาความไม่เท่าเทียมกันในตลาดแข่งขัน เนื่องจากมีการกีดกันคู่แข่งรายใหม่ ให้สู้ยักษ์ใหญ่ในตลาดไม่ได้
นายสิทธิชัย กล่าวต่อว่า หากสมัยนั้นคิดจะหาวิธีเอารายได้เข้ารัฐ ทำไมต้องใช้วิธีแบบนั้น ข้ออ้างที่ว่าถือว่าใช้ไม่ได้ และฟังไม่ขึ้น เพราะกฏหมายดังกล่าวช่วยเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชนยักษ์ใหญ่ 3 ราย โดยเฉพาะเอไอเอส ก็ถือเป็นธุรกิจส่วนตัวของนายกฯ สมัยนั้น ดังนั้น ข้ออ้างดังกล่าว มันจึงดูน่าเกลียดเกินไป
นายสิทธิชัย กล่าวถึงคำให้การของตนเองในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถึงคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณว่าในคำให้การของตน ไม่มีอะไรยุ่งยาก แต่ประเด็นที่ชัดเจนที่สุด คือ ฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ พยายามดิสเครดิตตนเองในศาล โดยกล่าวหาว่าตนเป็นรัฐมนตรีในรัฐบาลทหารยึดอำนาจ แต่ทางฝ่ายดังกล่าว ไม่สามารถหักล้างได้ว่า ในคำให้การของตน มีอะไรที่พูดไม่จริงบ้าง จึงไม่ใช่เรื่องน่าหนักใจแต่อย่างใด ตนก็ให้การทุกอย่างไปตามความจริง
"ผมสงสัยมาตลอด ในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ สามารถสั่งกระทรวงการคลัง ให้ทีโอทีจัดการเรื่องนี้เองได้ แต่ทำไมถึงต้องออกมติ ครม. แล้วเปลี่ยนแปลงทุกอย่าง รู้ก็รู้ว่าทำผิดกฏหมาย ในสามัญสำนึกหากมีต้องรู้แล้วว่า นั่นเป็นการเปลี่ยนแปลงสาระสำคัญในสัญญาสัมปทาน แล้วก็น่าสงสัยว่า ทำไมตอนนั้นถึงรีบร้อนหนักหนา กระทำอะไรต่างๆ เร่งรีบผิดปกติ" นายสิทธิชัย กล่าว
นายสิทธิชัย กล่าวถึงนโยบายเชิงคอร์รัปชันของ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า แรกๆหากจะดูเรื่องนโยบาย สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ พูดหรือคิดไว้ ล้วนแล้วแต่สวยงาม แต่พอมาพิจารณารายละเอียดให้ดี จะเห็นว่า มันสร้างความเสียหายใหญ่หลวงให้แก่ประเทศไทย และปัญหาที่ตามมาคือ ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้ ซึ่งสำหรับความคิดตน หากจะไปไล่เบี้ยกับเอกชนที่ได้รับผลประโยชน์ แบบนั้นถือว่าไม่ยุติธรรม เพราะอย่าลืมว่า หากรัฐบาลสมัยนั้นไม่เอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชน เรื่องทั้งหมดก็คงไม่เกิดขึ้น ดังนั้น ฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบทุกสิ่งทุกอย่าง หนีไม่พ้น ครม. ชุดนั้น ที่เห็นชอบมติดังกล่าว
นายปานเทพ กล่าวถึงการแก้กฏหมายภาษีสรรพสามิต ว่า การให้เอกชนใช้รายได้มาเสียภาษีให้แก่รัฐ แค่ประเด็นนี้อย่างเดียวก็สร้างความเสียหายมากมายแล้ว มันเปรียบได้กับ แท้งก์น้ำขนาดใหญ่ เทน้ำลงใส่แก้ว 3 ใบ คือ เอไอเอส ดีแทค และทรูมูฟ แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงที่ แก้วใบของเอไอเอสมันใหญ่กว่าเอกชนรายอื่นๆ จึงมีการผูกขาดในตลาด มันเป็นการปฏิเสธไม่ได้ว่า นโยบายดังกล่าวมันเอื้อประโยชน์เต็มๆ
นายสิทธิชัย กล่าวถึงผลประโยชน์ที่ดีแทค กับทรูมูฟ ได้รับอนิสสงค์จากเอไอเอส ว่า เนื่องจาก 2 บริษัทเอกชนดังกล่าว มีส่วนแบ่งทางการตลาดน้อยกว่าเอไอเอส ดังนั้น จึงได้รับประโยชน์ได้น้อยกว่า แต่ทั้งหมดก็เป็นเครื่องยืนยันว่า รัฐเกิดความเสียหายจริง แถมยังเป็นการปิดโอกาสให้เอกชนหน้าใหม่ เข้ามาแข่งขันในตลาด
นายปานเทพ กล่าวถึงข้อสังเกตของตนเองว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ออกมาระบุหลังศาลตัดสิน ว่าราคาหุ้นชินคอร์ปฯเป็นไปตามกลไกของตลาด ซึ่งประเด็นนี้ตนคิดว่าเป็นพูดแบบตรรกะครึ่งเดียว คือ ในส่วนการแก้กฏหมายภาษีสรรพสามิต มันเอื้อประโยชน์ให้แก่เอกชน ไม่จำเพาะแต่ทำให้ราคาหุ้นพุ่งสูงขึ้น แต่มันยังสะท้อนการแข่งขันในตลาดว่ามีความเป็นธรรมหรือไม่ ทำไมมีแต่เอกชนไม่กี่รายที่ได้รับผลประโยชน์ โดยเพียงแค่การกีดกันเอกชนรายใหม่เข้ามาแข่งขัน นั่นก็เท่ากับผูกขาดตลาดไว้เพียงรายเดียวแล้ว ก็ถือว่าเป็นการฉ้อฉลผลประโยชน์ได้ทันที
นายสิทธิชัย กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ตนแปลกใจทุกประเด็นที่รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ทำ เพราะทำไมไม่ยอมทำตามกฏหมายให้ถูกต้อง ทั้งที่คุมเสียงในสภาส่วนใหญ่ แต่ทำไมถึงเลือกทำวิธีนี้ แทนที่จะเสียเวลาเพียงเล็กน้อยอดใจรอออกเป็น พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ ก็ได้ แค่เท่านี้ก็ถือว่าทำถูกต้องตามกฏหมาย
นายสิทธิชัย กล่าวถึงคำตัดสินศาลที่ยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ บางส่วน ว่า ศาลพิจารณาจากพยานหลักฐาน และพยายามให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย โดยแม้จะยึดทรัพย์บางส่วน ซึ่งทำให้ไม่สะใจคนส่วนใหญ่ แต่มันก็สะท้อนพฤติกรรม พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าที่ผ่านมาบริหารบ้านเมืองด้วยความมิชอบด้วยกฏหมาย ดังนั้น ตนคิดว่านี่คือความฉลาดล้ำเหลือของศาลไทย ที่เลือกไม่แตะต้องประเด็นอื่น นอกจากความร่ำรวยผิดปกติ และพุ่งเป้าให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เพื่อลดข้อถกเถียงในสังคม
"ศาลฉลาดที่ไม่แตะต้องวินมาร์ค เพื่อที่จะนำไปสู่การฟ้องร้องคดีอื่นๆ ต่อไป ซึ่งผมรู้สึกเห็นด้วย และคิดในมุมที่ดี เพราะคดียึดทรัพย์จะได้จบลงไปพร้อมคำพิพากษา และนำไปสู่การสาวถึงคดีอื่นๆ ได้อย่างสะดวก จึงไม่มีการเชื่อมโยงประเด็นอื่นเข้ามาเกี่ยวในคำตัดสิน" นายสิทธิชัย กล่าว
ต่อจากนั้น ในรายการได้มีการต่อสายสัมภาษณ์ นายสนธิ ถึงประเด็นความฉ้อฉล พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ตนอยากเพิ่มเติมข้อมูลในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ มีการกีดกั้นในเชิงธุรกิจหลายอย่าง โดยเฉพาะมีเจ้าพ่อฮ่องกง สนใจลงทุนพีดีเอ (เครื่องช่วยงานส่วนบุคคลแบบดิจิทัล จำพวก ปาล์ม หรือ พ็อกเกตพีซี) ในประเทศไทย ซึ่งตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นว่า หากปล่อยให้นักธุรกิจรายนี้เข้ามาลงทุน จะกระทบกระเทือนต่อธุรกิจที่ตนเองมีอยู่ จึงใช้อำนาจในมือขณะนั้นสั่งการ กสท. ให้ชิ่งดำเนินการเรื่องนี้ตัดหน้าคู่แข่งนักธุรกิจฮ่องกงรายดังกล่าว ทั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ รู้ดีว่าศักยภาพ กสท. สมัยนั้น ทำแล้วอย่างไรก็เจ๊ง แต่ยังฝืน ไม่สนใจว่าหน่วยงานรัฐจะอ่อนแอลงอย่างไร
นายสนธิ กล่าวต่อว่า ประเด็นที่ศาลตัดสินยึดทรัพย์บางส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ ตนเห็นว่า มันเป็นการพิสูจน์ว่า ความร่ำรวยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้มาโดยถูกกฏหมายหรือไม่ แต่ถ้าหากมองประเด็นเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่รัฐ ตนคิดว่าหากนับดูแล้ว บางทีเงินที่ พ.ต.ท.ทักษิณ มีอยู่ทั้งหมด อาจจะไม่พอจ่ายด้วยซ้ำ ดังนั้น การตัดสินดังกล่าว ถือว่าศาลให้ความปรานี พ.ต.ท.ทักษิณ แล้ว เพราะอย่างน้อยก็ยังเหลือเงินอีก 30,000 ล้านบาท แต่ในกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแสดงอาการไม่ยอมรับคำตัดสิน แบบนี้เกิดจากเหตุผลที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทนไม่ได้ที่ถูกศาลฎีกาฯ จับแก้ผ้า จนทำให้เห็นตัวตนล่อนจ้อนว่าเป็นคนโกงเช่นนี้ โดยคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ จะนำไปสู่การตรวจสอบ เอสซี แอสเสท ต่อไป
นายสนธิ กล่าวอีกว่า สมัย นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ร่วมมือกับ นายไกรสร บารมีอวยชัย อธิบดีกรมบังคับคดี ร่างกฏหมายเปิดทางให้บริษัทนอมินี พ.ต.ท.ทักษิณ กว้านซื้อที่ดินจำนวนมาก โดยประเด็นนี้ ต่อมานำไปสู่การโยกย้าย นายสุนัย มโนมัยอุดม ออกจากอธิบดีดีเอสไอ ก่อนที่จะมีการตรวจสอบเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง ดังนั้น กล่องดวงใจของ พ.ต.ท.ทักษิณ เวลานี้ ไม่ใช่เอไอเอส แต่เป็นเอสซี แอสเสท
ช่วงต่อมาของรายการ มีการวิเคราะห์ถึงดาวเทียมไอพีสตาร์ ในยุค พ.ต.ท.ทักษิณ โดยนายสิทธิชัย กล่าวว่า ความเสียหายเรื่องดาวเทียม มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นเกินกว่า 500,000 ล้านบาทแน่นอน โดยมีการเอาดาวเทียมสำรองมาใช้เป็นดาวเทียมหลัก ซึ่งไม่มีใครเขากระทำเช่นนั้นกัน แต่ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ทำ ซึ่งในคำตัดสินของศาลฎีกา มันชัดเจนว่า ไอพีสตาร์เป็นดาวเทียมเถื่อน ดังนั้น ด้วยหลักการสามารถยึดได้ทันที แม้ว่าจะเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่ในเมื่อศาลพิพากษามาเช่นนี้แล้ว หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะหลีกเลี่ยงไม่ได้
นายสิทธิชัย กล่าวอีกว่า นอกจาก ความเสียหายเรื่องดาวเทียมแล้ว ยังเกี่ยวเนื่องกับการที่รัฐบาลไทยสมัยนั้น เจรจาเอฟทีเอ (เขตการค้าเสรี) กับหลายประเทศ ซึ่งล้วนแล้วแต่เอาประโยชน์ของประเทศไปแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัวของอดีตนายกฯ โดยมีการขายดาวเทียมไอพีสตาร์ให้กับต่างประเทศ แล้วเอาชีวิตเกษตรหลายล้านคนไปแลก เนื่องจาก ตอนนั้นประเทศที่ทำเอฟทีเอกับไทย ส่วนใหญ่มักจะนำผลผลิตทางการเกษตรมาแลกกับดาวเทียม ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ ยอมทุกอย่าง เพียงแค่อยากขายดาวเทียมเท่านั้น
จากนั้นได้มีการต่อสายสัมภาษณ์ นายสนธิ อีกครั้ง เพื่อกล่าวถึงกรณีความเสียหายจากการดำเนินดาวเทียมไอพีสตาร์ ที่มิชอบด้วยกฏหมาย ว่า นับว่าเป็นความอำมหิตที่ประเทศไทยต้องพบเจอเช่นนี้ เพราะสมัยนั้น มีการเจรจาโดยเอาผลประโยชน์ประเทศไปเป็นเครื่องต่อรอง ซึ่งสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ว่าประเทศไหนที่ทำเอฟทีเอกับไทย ก็ล้วนแล้วแต่เอาสินค้าการเกษตรมาแลกกับดาวเทียมไอพีสตาร์ และไม่หนำซ้ำ นอกจากสร้างความเสียหายให้แก่เกษตรกรแบบไม่เคยคำนึงถึงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกลับมาใช้คนกลุ่มนี้เป็นเครื่องทางการเมืองให้แก่ตัวเองอีก