โดย...สุภางค์ ศิริเดช
สถานการณ์ทางการเมืองที่อึมครึม กอปรกับกระแสข่าวเรื่องการปฏิวัติที่ลือสะพัดออกมาเป็นระยะๆ กลายเป็นชนวนให้หลายฝ่ายคาดการณ์กันไปต่างๆ นานา แม้รัฐบาลจะพยายามดับกระแสด้วยการเรียกประชุมสภาความมั่นคงด่วนกลางดึก เพื่อโชว์พลังความเป็นปึกแผ่นระหว่างรัฐบาลกับกองทัพไปเมื่อสัปดาห์ก่อน แต่กระแสข่าวเรื่องการปฏิวัติยังคงคุกรุ่น ไม่ได้เงียบหายดังที่รัฐบาลหวังไว้
ขณะเดียวกัน กองทัพเถื่อนคน 'เสื้อแดง' ประกาศจะรวมพลเคลื่อนไหวหนักหลังการตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยการวางแผน ก่อจลาจลป่วนเมือง หวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง สนองอารมณ์นายใหญ่ ที่เคียดแค้นและไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมไทย
วันนี้สถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นจากความขัดแย้งของคนในชาติ ที่ก่อเกิดจากปัญหาทางการเมือง สังคมไทยยังหวังว่า คนไทยด้วยกัน ถอยกันคนละก้าวมันน่าจะคุยกันได้ ทว่ายังไม่เห็นคนกลางที่จะมาเป็นตัวเชื่อมแก้ปมความขัดแย้งนี้ได้
แม้แต่คนอ่านคำสั่งประกาศปฏิวัติอย่าง พล.ต.ประพาศ ศกุนตนาค ที่ปรึกษาผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) ยังมองว่า วันนี้มันมืดมนเหลือเกินที่จะหาคนกลางมาเจรจาให้คนในชาติรักกันเหมือนในอดีตกาล
พล.ต.ประพาศ วัย 77 ปี อดีตผู้ประกาศข่าวสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบก (ททบ.5) สะท้อนความรู้สึกในการทำหน้าที่ของผู้อ่านคำสั่งปฏิวัติด้วยแววตาของคนที่อยากเห็นบ้านเมืองสงบสุขว่า ถ้าเลือกได้ไม่อยากทำหน้าที่นี้เลย แต่เป็นทหารจะเลี่ยงหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไม่ได้ อีกอย่างได้ทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศข่าวของ ททบ.5 มาตั้งแต่ปี 2508 เวลามีการปฏิวัติสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทับบก ช่อง 5 จะมีบทบาทสูงในการทำหน้าที่ชี้แจงต่อประชาชน ตนในฐานะผู้ประกาศ เขาจึงเลือกให้ทำหน้าที่นี้
“ถ้าวันนี้มีการปฏิวัติเกิดขึ้นอีก ผมคงต้องขออนุญาต ไม่ทำหน้าที่นี้ เนื่องจากสุขภาพไม่ไหวแล้ว ต้องให้คนอื่นรับหน้าที่แทน”
พล.ต.ประพาศ ย้อนอดีตให้ฟังว่าก้าวเข้ามาทำหน้าที่ประกาศคำสั่งปฏิวัติ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 เมี่อคราวคณะรักษาความ สงบเรียบร้อยแห่งชาติ หรือ รสช. ภายใต้การนำของ พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ ผบ.สูงสุดในขณะนั้น ยึดอำนาจการปกครองจาก พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกรัฐมนตรี
ก่อนหน้านั้นก็อ่านประกาศช่วงเกิดกบฏยังเติร์ก หรือกบฏเมษาฮาวาย เมื่อเดือนเมษายน ปี 2524 และอีกหลายๆ เหตุการณ์ที่เป็นการเคลื่อนไหวกลุ่มนั้นกลุ่มนี้เป็นเพียงการปราบ
จากนั้นก็เว้นว่างมาเรื่อย ไม่ได้ใช้เสียง มาอีกทีก็ปี พ.ศ.2549 แต่จากนี้ไปคงไม่ทำอีกเพราะสุขภาพไม่ค่อยดี ทำบอลลูนหัวใจมา 2 ครั้งแล้ว ต้องให้คนอื่นเขาทำบ้าง
พล.ต.ประพาศ มองเหตุผลการปฏิวัติแต่ละครั้งที่ผ่านมาว่า ส่วนใหญ่เกิดจากปัญหาที่เกี่ยวกับบ้านเมือง มีเหตุการณ์ที่สามารถทำการปฏิวัติได้ คือจุดติด
“แต่วันนี้ผมยังมองไม่เห็นเหตุผลที่สุกงอมที่ทหารจะทำการปฏิวัติได้ การเมืองมันน่าจะแก้ปัญหาด้วยการทำความเข้าใจกัน โดยความรู้สึกของผมยังเชื่อว่ามันน่าจะคุยกันได้ ที่สำคัญ ผมมองว่าการปฏิวัติแต่ละครั้งมันไม่ค่อยดี ประเทศชาติก็ถอยหลัง”
พล.ต.ประพาศ เชื่อว่า ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบบ้านเมืองในขณะนี้ คงจะมีความคิด โดยเฉพาะการแก้ปัญหาความแตกแยกของคนในชาติ คนไทยด้วยกันมันน่าจะคุยกันได้
“ศึกภายในไม่หนักเท่ากับศึกภายนอก ศึกภายนอกสำคัญที่สุด ศึกภายในเป็นคนไทยด้วยกัน น่าจะแก้ปัญหาได้”
พล.ต.ประพาศ หวังว่ารัฐบาลจะมีแนวทางการแก้ปัญหาและหาคนกลาง เข้ามาไกล่เกลี่ย แต่ขณะนี้ยังมองไม่เห็น เพราะแต่ละฝ่ายก็ยังไม่ยอม ยังแรงกันอยู่ แต่ผมก็ยังหวังว่า ประเทศชาติจะไม่มีปัญหาอะไรไปมากกว่านี้
“ในอดีตที่ผ่านมา เวลาจะมีการปฏิวัติ มันมักจะมีการปล่อยข่าวออกมาอย่างนี้ทุกครั้ง แต่ผมคิดว่าสถานการณ์ในปัจจุบันยังไม่ถึงขั้นที่ทหารจะออกมาทำอะไร แต่จะต้องหาจุดที่ลงตัวให้ได้”
พล.ต.ประพาศ ย้อนไปกล่าวถึงการทำหน้าที่เป็นผู้ประกาศคำสั่งปฏิวัติว่า แต่ละครั้งไม่เคยได้รับการแจ้งให้รู้ล่วงหน้า แจ้งปุ๊บก็ต้องรีบแต่งตัวเดินทางเข้าสถานี ททบ.5 ทันที ล่าสุดปี 2549 ทหารยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตนอยู่บ้านก็ถูกเรียกตัวด่วน
เมื่อครั้งที่ รสช. ไม่ได้อยู่กรุงเทพฯ รับราชการอยู่โรงเรียนนายร้อยฯ เขาชะโงก เขาโทรศัพท์ตามให้มาที่ ททบ.5 ด่วน ก็มาแบบไม่รู้เรื่อง ในใจตอนนั้นคิดเหมือนกันว่ามันต้องมีเรื่องอะไรที่สำคัญบางอย่าง คิดมาตลอดทาง มาได้คำตอบก็ตอนถึงสถานี
“ผมไม่เคยสั่น ไม่เคยประหม่า เพราะหน้าที่นี้เราเคยทำอยู่แล้ว และเราก็เป็นผู้ประกาศออกหน้าจอมานานตั้งแต่ปี 2508 และก็อยู่วงการนี้มาตลอด”
พล.ต.ประพาศ ยังวิเคราะห์กระแสข่าวการปฏิวัติด้วยว่า ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากกระแสความแตกแยกของวงการทหาร แต่ผมเชื่อว่า มันไม่ถึงขนาดที่จะต้องเกิดการปฏิวัติ ทหารถูกอบรม โดยเฉพาะผู้ที่จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยฯ ถูกอบรมมาให้รู้จักรุ่นพี่ รุ่นน้อง คงไม่ทำอะไรกันมาก
ส่วนที่นายทหารที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองในตอนนี้ พล.ต.ประพาศ มองว่า เป็นเรื่องของตัวบุคคล แต่ยังคิดอยู่ในใจเสมอ ทหารไม่ควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะทหารเราไม่ได้เรียนมาด้านการบ้าน การเมืองมากนัก เราเรียนเฉพาะด้านการทหารเท่านั้น หากเรามาเล่นการเมืองจะเสียเปรียบ
“ปัญหาการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ทหารคนไหนที่โดดเข้าไปเล่นการเมืองเปลืองตัวแน่นอน ดีก็ดีไป ไม่ดีก็เสียผู้เสียคน ถ้าถามผมบอกได้เลยไม่มีความคิดที่จะลงเล่นการเมือง”
พร้อมกับวิงวอนให้พี่ๆ น้องๆ ทหารและชาวไทยทุกคนต้องสามัคคีกันให้มากๆ ศึกภายในมันไม่มากมายเท่ากับศึกภายนอก ศึกภายนอกต้องระวัง ศึกภายในเมื่อตกลงกันได้ก็ไม่มีปัญหา
พล.ต.ประพาศ กล่าวว่า ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาคนไทยเราจะรวมพลังกันต่อสู้ศึกภายนอกมากกว่า แม้จะมีศึกภายในก็ตาม เมื่อมีศึกภายนอกเราก็จะรวมกัน มันเป็นอย่างนี้เรื่อยมา
“ศึกในเราต้องยอมถอยกันคนละก้าว แต่นี่ไม่ถอยกันเลย เดินหน้าเข้าหากันตลอด คนที่จะมาเป็นข้อกลางตอนนี้มองดูแล้วไม่มี ต่างคนต่างไม่ยอมกัน สถานการณ์บ้านเมืองตอนนี้หนักใจเหมือนกันเพราะปัญหาความขัดแย้งมันมีแต่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ลดลงเลย ตึงขึ้นเรื่อยๆ ผมก็ได้แต่เฝ้าดูอยู่ เพราะเราเป็นทหารที่เกษียณมาแล้ว แต่เราคุยได้ทุกฝ่าย ผมยังเชื่อว่าความขัดแย้งภายในวงการทหารยังสามารถคุยกันได้ เพราะเรียนมาจากที่เดียวกัน ต้องใจหนักแน่น' พลตรีประพาศ กล่าวแบบมีความหวัง
ถามว่าจำเป็นไหม บ้านเราจะเกิดการปฏิวัติขึ้นอีก มันควรจะหายไป ผมคิดว่าเรื่องนี้พูดยาก หลายคนเคยพูดมาว่าประเทศไทยไม่น่าจะมีการปฏิวัติอีก น่าจะหมดไปได้แล้วจากปี 2534 แต่มันก็ยังเกิดขึ้นอีก”