อดีต คตส.พอใจคำตัดสินศาลคดียึดทรัพย์ “แม้ว” แต่ยังมั่นใจทฤษฎีวัวกินหญ้า น่าจะยึดหมด 7.6 หมื่นล้าน ย้ำไม่เคยได้รับส่วนแบ่ง และไม่ขอกำลังอารักขาอะไรเพิ่ม เหตุเกรงคนมองว่าขี้ขลาด โต้ คตส.มีอำนาจโอนคดี สอนมวยแดงถ่อยถอดถอนผู้พิพากษาทั้ง 9 ไม่มีผล
วันนี้ (2 มี.ค.) ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) อดีตคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้นัดหารือประจำเดือน โดยมีนายนาม ยิ้มแย้ม อดีตประธาน คตส. รวมทั้งอดีตกรรมการ คตส. อาทิ นายอุดม เฟื่องฟุ้ง นายบรรเจิด สิงคะเนติ นายวิโรจน์ เลาหะพันธุ์ คุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา เข้าร่วม
โดย นายนามกล่าวว่า รู้สึกพอใจผลคำตัดสินคดียึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่ส่วนตัวเห็นว่าน่าจะยึดทั้งหมดกว่า 7.6 หมื่นล้านบาท ตามทฤษฎีวัวกินหญ้าของนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการ คตส. ทั้งนี้ ย้ำว่า คตส.ไม่ได้รับส่วนแบ่งจากการยึดทรัพย์ครั้งนี้ ไม่มีกรรมการคนไหนได้แม้แต่แดงเดียว และไม่มีผู้แจ้งเบาะแสอะไร คตส.ได้ทำงานหาหลักฐานกันเอง จึงไม่มีใครมีสิทธิได้รับ สำหรับกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณหยิบเรื่องดังกล่าวไปปลุกกระแสกับคนเสื้อแดงเห็นว่าเป็นความคิดของแต่ละคนว่าจะเชื่อหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คตส.ไม่ได้ร้องขอกำลังรักษาความปลอดภัยจากฝ่ายความมั่นคงหลังพิพากษาคดีดังกล่าว เพราะไม่ต้องการให้ถูกมองว่าขี้ขลาด แต่ก็ยอมรับว่าต้องระมัดระวังตัวมากขึ้น
ส่วนกรณีที่ฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทย เตรียมอุทธรณ์โดยหยิบยกกรณียึดทรัพย์สมัย รสช.มาเทียบเคียงนั้น นายนามกล่าวว่า ไม่สามารถเทียบเคียงกันได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญสมัยก่อนมีความเด็ดขาด ไม่ต้องผ่านกระบวนการอัยการ ศาลสามารถทำได้เลย และย้ำว่า คตส.มีอำนาจในการโอนคดีให้ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินการต่อได้ตามประกาศ คปค.ฉบับที่ 30 ระบุไว้
สำหรับกรณีที่คนเสื้อแดงเตรียมยื่นถอดถอนองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทั้ง 9 ท่าน โดยมีเหตุผลหนึ่งว่ามีการวินิจฉัยขัดต่อ พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม พ.ร.บ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต ซึ่งเป็นกฎหมายที่ผ่านการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ ให้ประกาศใช้ได้แล้ว ทำให้การวินิจฉัยอาจขัดต่อรัฐธรรมนูญนั้น นายนามกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องดูแยกกัน แต่ขอให้อ่านคำพิพากษาขององคณะผู้พิพากษา เพราะเขียนไว้ชัดเจนมากแล้ว ละเอียดทุกประเด็น การยื่นถอดถอนองคณะผู้พิพากษาทั้ง 9 สามารถทำได้ แต่ไม่มีผล
นายนาม กล่าวว่า หากทีมทนายของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะอุทธรณ์ ต้องอุทธรณ์ภายใน 30 วัน แต่การอุทธรณ์ในที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ต้องมีข้อเท็จจริงใหม่เท่านั้น ไม่ใช่ข้อกฎหมาย ดังนั้น จึงต้องรอฟังทีมทนาย พ.ต.ท. ทักษิณ อีกครั้ง ว่าจะอุทธรณ์ในประเด็นใด ส่วนกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะฟ้องศาลโลก ไม่สามารถทำได้แน่นอน เพราะคดีนี้ เป็นการทำผิดในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย สำหรับผลพวงจากคดียึดทรัพย์ที่มีคดีควาทั้งทางแพ่งและอาญาตามมา ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและข้าราชการในหลายหน่วยงาน รวมถึงผู้บริหารของรัฐวิสาหกิจนั้น เป็นหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานที่จะต้องขอสำเนาคำวินิจฉัยของศาลฏีกาไปศึกษาอย่างละเอียด เพื่อรวบรวมพยานหลักฐานในการดำเนินคดีบุคคลที่เกี่ยวข้อง ที่ทำให้รัฐเสียหาย เนื่องจาก คตส.หมดอายุไปนานแล้ว ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง จึงเป็นหน้าที่หน่วยงานต้นสังกัดโดยตรง
ด้านนาย สัก กอแสงเรือง ให้สัมภาษณ์ว่า ในที่ประชุมได้ข้อสรุปตรงกันว่า คตส. ได้หมดอำนาจหน้าที่แล้ว ไม่อยู่ในฐานะที่จะแถลงอะไรอีก เรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับคดี ก็ขอให้ไปศึกษาคำวินิจฉัยของศาล เพราะมีความครบถ้วน และสำนวนของ คตส.ก็ถือว่า ผ่านศาลแล้ว ถ้าจะทำหน้าที่ก็คือกรณีคดีเดิม ที่ศาลเรียกให้ไปเบิกความ ส่วนที่พรรคการเมืองใหม่ เรียกร้องให้มีการแก้กฎหมาย ป.ป.ช.ให้การยึดทรัพย์รัดกุมขึ้นนั้น เรื่องนี้ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาล หรือฝ่ายนิติบัญญัติ คตส.คงไม่มีหน้าที่อะไรตรงนี้
เมื่อถามว่า จากคำพิพากษา ถือว่า มีการเปิดช่องให้ดำเนินคดีอาญากับนักการเมืองต่อหรือไม่ นายสักกล่าวว่า ขอไม่ให้ความเห็นในเรื่ องนี้ ให้เป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องโดยตรง การให้ความเห็นจะถูกมองว่า ชี้นำ หรือหมดหน้าที่แล้ว มาให้ความเห็นเป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่ เพราะวันนี้เราเห็นตรงกันแล้วในเรื่องการยุติบทบาท ทั้งนี้ ไม่ได้มีการหารือเรื่องการถูกข่มขู่ หรือการรักษาความปลอดภัยแต่อย่างใด