คนที่ นช.ทักษิณ ต้องขอโทษ ไม่ใช่ลูกและเมีย แต่ต้องขอโทษคนไทยทั้งชาติว่า “ยกโทษให้ผมเถิดครับ ที่หลอกพ่อแม่พี่น้องมา 5 ปีเต็มๆ ผมก็นึกไม่ถึงว่า ตัวเองจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ ใครมีลูกมีหลาน อย่าลืมสอนลูกสอนหลานนะครับว่า อย่าไปเชื่อเด็ดขาด ถ้ามีใครมาบอกว่า รวยแล้วไม่โกง ไปแล้วครับ เดี๋ยวต้องไปนั่งสมาธิก่อนนอน”
คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เรื่องขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน ที่สั่งให้ทรัพย์สินจำนวน 46,373 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ตกเป็นของแผ่นดิน เพราะใช้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เอื้อประโยชน์ต่อ ธุรกิจครอบครัว หรือเรียกให้ง่ายๆ สะท้อนพฤติกรรมของสองสามีภรรยาคู่นี้ อย่างตรงไปตรงมาว่า “คดีปล้นชาติ-โกงไทย” นั้น ทำให้เกียรติภูมิของกระบวนการยุติธรรมของไทย สูงเด่นในสายตาของประชาคมโลก เพราะแสดงให้เห็นถึง ประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อปราบปรามการคอร์รัปชัน
การคอร์รัปชัน เป็นปัญหาร่วมของโลก ยิ่งระบบทุนนิยมก้าวหน้าไปมากเท่าไร การคอร์รัปชันก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น และมีพัฒนาการด้านเทคนิค วิธีการ ที่พลิกแพลง ซับซ้อน ยากที่จะจับได้ไล่ทัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคอร์รัปชันของนักการเมือง ประเทศที่เจริญแล้วทั้งในตะวันตก และในเอเชีย ต่างพยายามสร้างระบบกฎหมาย และมาตรการปราบปรามคอร์รัปชัน ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อลงโทษคนโกงให้เข็ดหลาบ และไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่นักการเมืองอื่นๆ
คำพิพากษาคดี ปล้นชาติ โกงไทย จึงไม่ใช่เป็นเพียงชัยชนะของคนไทย แต่เป็นชัยชนะร่วมกันของโลก และทำให้ นช.ทักษิณ กลายเป็นน้องใหม่ในทำเนียบอดีตผู้นำคอร์รัปชั่น ที่ถูกยึดทรัพย์ไปเรียบร้อยแล้ว
ต้องสดุดี การทำงานของ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ในความกล้าหาญ ไม่หวาดหวั่นต่อการคุกคามทั้งที่เปิดเผย โดยการฟ้องศาลให้เอาผิดในข้อหาหมิ่นประมาท และข้อหาอื่นๆ นับสิบๆ คดี การข่มขู่ให้หวาดกลัว แต่ คตส.ก็ยืนหยัดในภาระหน้าที่ สามารถแกะรอย การอำพรางซ่อนหุ้น จนสามารถนำหลักฐานมาแสดงต่อศาลได้
ต้องชมเชย การทำงานของทนายแผ่นดิน อัยการสูงสุด ที่ร่วมกับ คตส.ในการทำสำนวนที่รัดกุม รอบคอบ สามารถมัดคนโกงจนดิ้นไม่หลุด
คำให้การของพยานหลายคนซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน ตลาดทุน อุตสาหกรรมโทรคมนาคม กฎหมาย เป็นคุณูปการที่สำคัญ เพราะได้ทำให้เรื่องที่เป็นเทคนิค ความรู้เฉพาะด้าน ซึ่งยากต่อความเข้าใจ มีความกระจ่าง เข้าใจง่ายขึ้น และชี้ให้เห็นข้อพิรุธหลายๆ อย่าง
การทำงาน คตส.เป็นข้อพิสูจน์ว่า หากหน่วยงานของรัฐในกระบวนการยุติธรรมมีความซื่อสัตย์ สุจริต ยึดถือผลประโยชน์ของแผ่นดินเป็นที่ตั้ง ไม่เห็นแก่อามิสสินจ้าง ตำแหน่งหน้าที่การงาน การปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชัน สามารถทำได้ แม้ว่าคนโกงจะใช้เล่ห์เหลี่ยม เพทุบาย ปิดบังอำพรางอย่างซับซ้อน แต่ก็ไม่เหลือวิสัยที่จะแกะรอย หาหลักฐานเพื่อสาวให้ถึงตัวคนโกงได้ เพราะการปกปิดอำพราง การโกงในยุคนี้ ส่วนใหญ่ต้องทำผ่านตลาดการเงิน ซึ่งต้องบันทึกไว้ในระบบข้อมูล ข่าวสารของสถาบันการเงิน เป็น “ใบเสร็จ” รอให้มือปราบคนโกง มาตรวจสอบ
จริงอยู่ที่ คตส.มาจากการรัฐประหาร แต่มิใช่เพราะอำนาจพิเศษนี้นะหรือ จึงทำให้สามารถปิด คดีปล้นชาติ-โกงไทยได้ รวมทั้งคดีอื่นอีกหลายคดี เช่น คดีที่ดินรัชดา คดีคุณหญิงพจมาน และนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ เลี่ยงภาษี ฯลฯ เพราะหากพึ่งพากลไกรัฐในระบบปกติ อย่าหวังว่า จะจับคนโกงในระบอบทักษิณได้เลย แม้แต่คดีเดียว
ดูอย่างคดีปกปิดการถือหุ้น บริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SC เป็นตัวอย่างก็ได้ ทันทีที่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ก็เด้งนายสุนัย มโนมัยอุดม ออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ ย้ายพ.ต.อ. ทวี สอดส่อง มือไม้ของระบบทักษิณ มารับตำแหน่งแทน หลังจากนั้น กรมสอบสวนคดีพิเศษก็เป่าคดี สั่งไม่ฟ้อง นช.ทักษิณ
ตัวนายสุนัยเอง ซึ่งเป็นถึงผู้พิพากษาศาลหัวหน้าคณะในศาลอุทธรณ์ เมื่อพ้นตำแหน่งอธิดีดีเอสไอแล้ว ถูกลิ่วล้อของระบอบทักษิณเอาคืน ด้วยการไปแจ้งความจับข้อหาหมิ่น ประมาท นช.ทักษิณ ที่สถานีตำรวจภูธรอำเภอวังน้อย อยุธยา เมื่อนายสุนัยไม่ไปพบตำรวจตามหมายเรียก ก็ขอให้ผู้พิพากษาศาลจังหวัดอยุธยา ออกหมายจับ ไปรอรวบตัวนายสุนัยถึง ปากประตูผู้โดยสารขาเข้า สนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อยัดเข้าห้องขัง ยังดีที่นายธาริต เพ็งดิษฐ รองอธิบดี ดีเอสไอในขณะนั้น ไปรับตัวนายสุนัยออกมาเสียก่อน
ที่เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ จับนักการเมืองคอร์รัปชันเข้าคุกได้ และมีหลายๆ กรณีที่นักการเมืองเพียงแต่ถูกตั้งข้อหาเท่านั้นยังไม่ลงมือสอบสวน คดียังไม่ถึงศาลก็ฆ่าตัวตายไปเสียก่อน ก็เพราะว่า กฎหมายมีผลบังคับใช้จริง และข้าราชการประจำในหน่วยงานปรายคอร์รัปชั่น เช่น อัยการ เอฟบีไอ ฯลฯ และสื่อมวลชน ทำงานอย่างตรงไปตรงมา
อย่างไรก็ตาม คตส.ทำหน้าที่ของพนักงานสอบสวน ทำสำนวนส่งไปให้ศาลพิจารณา คตส. ไม่ใช่ ผู้ชี้ผิด ชี้ถูก ตัดสินลงโทษ เพราะนั่นเป็นอำนาจของศาล ซึ่งให้สิทธิผู้ถูกกล่าวหาต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ เมื่อคดีขึ้นสู่ศาลแล้ว คือ การนับหนึ่งใหม่ นช. ทักษิณ มีสิทธิต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ จะร้องขอเปลี่ยนตัวผู้พิพากษาองค์คณะก็ได้
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เกิดขึ้นตามรัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญ ที่ นช.ทักษิณ ยอมรับว่า เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด พ.ร.บ. ป.ป.ช.ปี 2542 มีอยู่แล้ว ในสมัยที่ นช.ทักษิณ เป็นนายกฯ เช่นเดียวกับ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาความ ของศาลฏีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ศาลฎีกาฯ ซึ่งตัดสินว่า นช.ทักษิณ มีผลประโยชน์ทับซ้อน และสั่งให้ เงิน 46,373 ล้านบาท เป็นของแผ่นดิน จึงไม่ใช่ผลผลิตของการรัฐประหาร การใช้ดุลพินิจเป็นไปโดยอิสระ เปิดโอกาสให้ นช.ทักษิณ และครอบครัว ต่อสู้อย่างเต็มที่ แต่นช. ทักษิณ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่า หุ้นชินคอร์ปของลูกๆ ไม่ใช้หุ้นของตนเองที่ไปซุกไว้กับลูก
คดีปล้นชาติ-โกงไทย เป็นคดีแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่อดีตผู้นำประเทศถูกยึดทรัพย์เป็นจำนวนเงินสูงที่สุด คือ 46,373 ล้านบาท แม้ศาลจะสั่งให้คืนเงิน นช. ทักษิณ30,000 ล้านบาท แต่อย่าคิดว่า จะได้ใช้เงินก้อนนี้ เพราะกรมสรรพากร จะขออายัดไว้ก่อน 12,000 ล้านบาท เพื่อจ่ายภาษีขายหุ้นชินคอร์ป ที่ลูกชายกับลูกสาว นช.ทักษิณ หลีกเลี่ยงไม่ยอมชำระ กลับเป็นการสะดวกแก่กรมสรรพากรเสียอีก ที่ไม่ต้องตามไปอายัดเงินในธนาคารยูบีเอสที่สิงคโปร์ และที่รัฐบาลอังกฤษอายัดไว้ หากศาลสั่งให้ยึดเงิน76,000 ล้านบาททั้งหมด
(กรณีเลี่ยงภาษีนี้ เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของ การบิดเบือนของนายนพดล ปัทมะ และพยายามทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่า คตส.มี 2 มาตรฐาน โดยอ้างว่า คตส.กล่าวหาว่า หุ้นชินคอร์ป เป็นของ นช.ทักษิณ แต่ขณะเดียวกัน คตส.ก็จะไปเก็บภาษี ลูกชาย ลูกสาว นช.ทักษิณ จากการซื้อขายหุ้นชินคอร์ป ที่ คตส.เองเชื่อว่าไม่มีการซื้อขายจริง
เรื่องนี้ เป็นข้อต่อสู้ของ นช.ทักษิณ ในคดีปล้นชาติ-โกงไทย โดยศาลได้วินิจฉัยว่า การเรียกเก็บภาษีซื้อหุ้นชินคอร์ป จากลูกชาย ลูกสาวเป็นคนละเรื่องกับ การพิจารณาความผิดฐานร่ำรวยผิดปกติของพ่อ ประมวลรัษฎากร บัญญัติว่า การเรียกเก็บภาษีเงินได้ ให้เรียกเก็บจาก คนที่มีชื่อปรากฏเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ก่อให้เกิดเงินได้ หรือเป็นผู้ได้รับเงินได้จาก ทรัพย์สินนั้น
ในกรณีนี้ก็คือ ใครมีชื่อเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ป ก็ต้องมีหน้าที่เสียภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ป หุ้นชินคอร์ปนั้นจะเป็นของตนจริงหรือไม่ หรือถือไว้แทนคนอื่น กฎหมายไม่สนใจ
ด้วยความรู้ด้านกฎหมายแค่หางอึ่ง เทียบไม่ได้กับนักเรียนกฎหมายทุนอานันทมหิดลที่หลวงไม่เอา อย่างนายนพดล ขอสันนิษฐานว่า ที่ประมวลรัษฎากรกำหนดไว้เช่นนี้ก็เพื่อเป็นการลงโทษ หรือดัดหลัง ผู้ที่ยอมถือหุ้นไว้แทนคนอื่น ถ้าลูกยอมรับหุ้นที่พ่อแม่ ยัดมาให้ ก็ต้องเสียภาษีการซื้อขายหุ้นตัวนั้นเอง จะอ้างว่า เป็นหุ้นของพ่อ ของแม่ ไม่ใช่หุ้นของตัวเอง ไม่ได้นะจ๊ะ หนูเอม)
ความพยายามบิดเบือนคำพิพากษาคดีปล้นชาติ-โกงไทย ว่าไม่ยุติธรรม สองมาตรฐาน อำมาตย์สั่ง ผมรวยมาก่อน ฯลฯ เป็นเรื่องที่คาดได้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่า จะต้องเกิดขึ้น ตามประสาคนผิดที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองผิด
คำสั่งศาลที่ให้เงิน46,373 ล้านบาท ของ นช.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ตกเป็นของแผ่นดินนั้น เป็นผล หรือกรรม ซึ่งเกิดจากเหตุ หรือ การกระทำของ นช.ทักษิณ และคุณหญิงพจมานเอง
ผลแห่งคำพิพากษาคดีปล้นชาติ-โกงไทย ที่ส่งผลรุนแรงที่สุดต่อ นช.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ไม่ใช่ถูกยึดเงิน46,373 ล้านบาท และคดีอาญาอื่นๆที่จะตกแก่ตัวเอง ลูกชาย ลูกสาว พี่ชาย น้องสาว ข้อหาให้การเท็จ ใช้เอกสารเท็จ แต่ผลที่รุนแรงที่สุดกลับเป็น การเปลือยนช.ทักษิณ เปลือยคุณหญิงพจมาน ให้คนไทยทังชาติ ได้ให้เห็นธาตุแท้ของสามีภรรยาคู่นี้ ว่า
นับตั้งแต่วันที่ 9 กุมภาพันธฺ 2544 ซึ่งเป็นวันที่ นช.ทักษิณ รับพระราชโองการโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี จนถึงวันที่ 23 มกราคม 2549 ที่มีการขายหุ้นชินคอร์ป ให้กลุ่มเทมาเส็ก นช. ทักษิณ หลอกคนไทยมาตลอดว่า เป็นนายกรัฐมนตรีตำแหน่งเดียว ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนทางธุรกิจ แต่ความจริงแล้ว นช.ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของชินคอร์ปควบคู่กันไปด้วย โดยไม่ต้องแยกแยะว่า งานไหนเป็นงานหลัก งานไหนเป็นงานจ๊อบ เพราะทั้งสองงานต่างมีความสำคัญไม่แพ้กัน และเกื้อหนุนกันและกัน การเป็นนายกฯเป็นงานเอื้อประโยชน์ให้ชินคอร์ป การเป็นเจ้าของชินคอร์ป เป็นการทำมาหากิน แสวงหาความร่ำรวยเพื่อตนเอง
คำพิพากษาคดีปล้นชาติ-โกงไทย จึงเป็นดั่งแสงสว่าง ที่ส่องสามีภรรยาคู่นี้ ทะลุไปถึงไส้ใน เป็นแสงสว่างที่นำความเจิดจ้ามาสู่สังคม แต่เป็นแสงสว่างที่ภูตผีปีศาจ หวาดกลัวเป็นที่สุด จึงต้องพยายามทำลายต้นกำเนิดแห่งแสงนั้นให้ดับสิ้นไป
คนที่ นช.ทักษิณ ต้องขอโทษ ไม่ใช่ลูกและเมีย แต่ต้องขอโทษคนไทยทั้งชาติว่า “ยกโทษให้ผมเถิดครับ ที่หลอกพ่อแม่พี่น้องมา 5 ปีเต็มๆ ผมก็นึกไม่ถึงว่า ตัวเองจะเป็นได้ถึงขนาดนี้ ใครมีลูกมีหลาน อย่าลืมสอนลูกสอนหลานนะครับว่า อย่าไปเชื่อเด็ดขาด ถ้ามีใครมาบอกว่า รวยแล้วไม่โกง ไปแล้วครับ เดี๋ยวต้องไปนั่งสมาธิก่อนนอน”
ศรีปราชญ์ตายเพราะความเจ้าชู้ของตัวเอง ผิดลูกผิดเมียชาวบ้านไปทั่ว นช.ทักษิณ ตายเพราะอะไร?