ASTVผู้จัดการรายวัน -“พานทองแท้-พินทองทา”ยื่นคำแถลงปิดคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน อ้างเงินกว่า 4 หมื่นล้าน ได้รับมอบก่อน “ทักษิณ” เป็นนายกฯ ทนายยัน 26 ก.พ. "พจมานและลูก" จะเดินทางฟังคำพิพากษาด้วยตนเอง ร้องศาลฎีกาสั่ง คตส.หยุดจ้อ
วานนี้(10 ก.พ.)เวลา 10.00 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายกิตติพร อรุณรัตน์ ทนายความของ นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภริยา เดินทางไปยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีในส่วนของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ในฐานะผู้คัดค้านที่ 2 – 3 ในคดีที่อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้คัดค้าน 22 ราย เป็นเงินจำนวน 76,000 ล้านบาท ที่ได้มาจากการออกนโยบายเอื้อประโยชน์แก่ตัวเองและพวกพ้อง จำนวน 5 กรณี และการให้บุตรและคนใกล้ชิดถือครองหุ้นบริษัทในเครือชินคอร์ปอเรชั่น แทนตัวเอง ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 วาระ
โดยนายกิตติพร เปิดเผยว่า ในส่วนคำแถลงการณ์ปิดคดีของ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา นั้น มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 130 หน้า แยกการชี้แจงออกเป็น 15 ประเด็น ที่จะยืนยันว่าทรัพย์สมบัติของ นายพานทองแท้ จำนวน 17,150 ล้านบาท และของ น.ส.พินทองทา จำนวน 23,529 ล้านบาท รวมกว่า 40,000 ล้านบาทนั้นได้รับมอบจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ได้รับผลประโยชน์เอง นอกจากนี้ยังชี้แจงในประเด็นเรื่องการไต่สวนว่าชอบหรือไม่ ในฐานะทนายความมีความเชื่อมั่นว่าตั้งแต่ในชั้นไต่สวนแล้วว่าสามารถชี้แจงให้ศาลทราบได้ ทั้งนี้ในวันที่ 26 ก.พ. นี้ จะได้รู้กันแล้วว่าศาลฎีกาฯ จะมีคำพิพากษาอย่างไร ที่ผ่านมาได้มีการปรึกษาหารือทางคดีกับนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา มาโดยตลอด และเข้าใจว่าในวันฟังคำพิพากษา คุณหญิงพจมาน นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา จะเดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง
**"โอ๊ค"ปัดถือหุ้นแทน"ทักษิณ"**
คำแถลงปิดคดีของนายพานทองแท้ ความยาว 66 หน้าสรุปว่า นายพานทองแท้ ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ จำนวน 458,550,220 หุ้น ที่แท้จริง และมีกรรมสิทธิ์ในหุ้นดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นแทน (นอมินี) พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหา และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้คัดคัดค้านที่ 1 ที่อย่างใด ดังนั้นหุ้นบริษัทจำนวนดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งมีสิทธิ์ใช้และจำหน่าย และได้รับดอกผลตามกฎหมายได้ เมื่อผู้คัดค้านที่ 2 ขายหุ้นบริษัททั้งหมดให้กับบริษัทซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด และบริษัทแอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งอยู่ในกลุ่มทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ เงินที่ได้รับมาจำนวน 17,150,292,534 บาท จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านที่ 2 อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และจากการไต่สวนข้อเท็จจริงในศาลก็เป็นที่ยุติแล้วว่าการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป เป็นการซื้อขายที่แท้จริง ปรากฏตามคำเบิกความของนายสมบูรณ์ คุปติมนัส (พยานของผู้คัดค้าน) ที่เบิกความเมื่อวันที่ 13 ส.ค.52 แต่ในส่วนพยานของอัยการสูงสุด ผู้ร้อง รวมถึงคณะกรรมการตรวจสอบที่มาเบิกความต่อศาล ก็ไม่มีหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯที่แท้จริง พยานผู้ร้องต่างเบิกความลักษณะคาดเดาทั้งสิ้น ในลักษณะปรักปรำ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 2 เพื่อต้องการให้เงินที่ผู้คัดค้านที่ 2 ที่ได้มาจากการขายหุ้นตกเป็นของแผ่นดิน โดยไม่สนใจว่าเงินนั้นเป็นของผู้คัดค้านที่ 2 หรือไม่ ทั้งที่การซื้อขายหุ้นก็เป็นไปตามเจตนาของผู้ซื้อและผู้ขาย ดังนั้นข้อเท็จจริงต้องฟังว่าผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯที่แท้จริงไม่ได้ถือหุ้นแทน
**อ้างพ่อขายหุ้นแอมเพิลให้เป็นของขวัญ**
ประเด็นการได้มาซึ่งหุ้นบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสเมนท์ จำกัดนั้น ว่า เดิม พ.ต.ท.ทักษิณ จัดตั้งบริษัทที่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิ้น ไอล์แลนด์ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปจำนวน 32,920,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท เพื่อนำไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ แนสแดก ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาทางการเงินโดยไม่ได้ประกอบกิจการใด แต่เพื่อเตรียมให้บริษัทชินคอร์ปเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดแนสแดก เท่านั้น โดยเมื่อวันที่ 1ธ.ค. 43 พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหุ้นบริษัทแอมเพิล ริชฯ ให้กับผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 1 หุ้น ราคา 5 เหรียญสหรัฐ เพื่อเป็นของขวัญวันเกิด ของผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเกิดวันที่ 2 ธ.ค. ประกอบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการลงสมัครเลือกตั้งเป็นข้าราชการการเมือง โดยผู้คัดค้านที่ 2 ได้ชำระค่าหุ้นแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทแอมเพิล ริชฯอีกต่อไป ต่อมาปี 2548 บริษัทแอมเพิล ริชฯ ได้จำหน่ายหุ้นเพิ่มอีก 4 หุ้น จากเดิม มีเพียงแค่ 1 หุ้น โดยผู้คัดค้านที่ 2 ซื้อไว้จำนวน 3 หุ้น และผู้คัดค้านที่ 3 ซื้อไว้จำนวน 1 หุ้น โดยมีการชำระค่าหุ้นไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ซึ่งการได้มาของหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯที่บริษัทแอมเพิล ริช ฯ ถือครองนั้นผู้คัดค้านที่ 2 ได้ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯจากบริษัทแอมเพิล ริช ฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.49 โดยซื้อในฐานะผู้ถือหุ้นและกรรมการ จึงซื้อได้ในราคาหุ้นละ 1 บาทจำนวน 164,600,000 หุ้น และได้ชำระค่าหุ้นให้บริษัทแอมเพิล ริชฯ แล้ว โดยกรมสรรพากรได้เรียกเก็บภาษีเงินได้กับผู้คัดค้านที่ 2 จากเงินส่วนต่างของราคาหุ้นที่ซื้อมา ดังนั้นผู้คัดค้านที่ 2 จึงเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ที่ซื้อมาจากบริษัทแอมเพิล ริชฯ
นอกจากนี้เงินปันผลที่บริษัทแอมเพิล ริช ฯ ได้รับจากการถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯรวม 6 ครั้ง ระหว่างปี 2546-2548 รวมเป็นเงิน 40 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้ฝากไว้ที่ธนาคารยูบีเอส เอจี สิงคโปร์ เพื่อให้ดูแลดอกเบี้ยเงินฝาก โดยผู้คัดค้านที่ 2 คอยรับผลประโยชน์ แต่ไม่ได้เข้าไปจัดการร่วมด้วยแต่อย่างใด
**อ้างหุ้นชินมูลค่าสูงเกิดจากการลงทุน**
ส่วนประเด็นที่หุ้นบริษัทชินคอร์ปฯมีมูลค่าสูงขึ้นนั้น เนื่องจากบริษัทชินคอร์ปฯเป็นบริษัทเพื่อการลงทุน ลักษณะโฮลดิ้ง Company โดยได้รับผลตอบแทนอย่างมากจากการลงทุนบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ซึ่งมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องมานานไม่ต่ำกว่า 10 ปี ทำให้หุ้นบริษัทเอไอเอสมีมูลค่าสูงและเป็นผลโดยตรง จึงทำให้หุ้นบริษัทชินคอร์ปฯมีมูลค่าสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ประกอบกับหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯและเอไอเอส เป็นหุ้นที่มี Maket Cap ขนาดใหญ่ เคยอยู่ใน 5 หรือ 10 อันดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ จึงมีความเคลื่อนไหวสัมพันธ์กับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นการที่หุ้นบริษัทชินคอร์ปฯมีมูลค่าสูง ที่เกิดจากการลงในกับบริษัทในเครือ และเมื่อนักลงทุนเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมาก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงขึ้น จึงเป็นเรื่องปกติที่มูลค่าหุ้นชินคอร์ปฯสูงขึ้นตามไปด้วย
**ซื้อหุ้นตัดสินใจเองไม่เกี่ยว"พ่อ-แม่"**
ขณะที่เงินที่รับจากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯนั้น เมื่อมีการซื้อขายหุ้นแล้วผู้คัดค้านที่2มีสิทธิ์นำเงินไปใช้จ่ายส่วนตัวและลงทุนในธุรกิจต่างๆโดยไม่มีข้อห้าม เพราะเป็นเงินที่ได้มาสุจริต โดยผู้คัดค้านที่ 2 นำเงินจำนวน 1.1 พันล้านบาท ไปให้บริษัท ประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กู้ยืม โดยจ่ายเป็นเช็คธนาคารเมื่อวันที่ 24 เม.ย.50 ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินการกู้ยืมมอบให้กับผู้คัดค้านที่ 2 นอกจากการกู้ยืมแล้วผู้คัดค้านที่ 2 ยังได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทดังกล่าวอีกจำนวน 800 ล้านบาท และนำเงินชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนในบริษัทเวิร์ธซัพพลายส์ จำกัด จำนวน 1,000 ล้านบาท และนำเงินไปซื้อที่ดิน ต.หมูศรี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จำนวน 27,227,200บาท พร้อมทั้งนำเงินจำนวน 30 ล้านบาท ไปชำระเป็นค่าที่ปรึกษากฎหมายให้กับบริษัทไว้ท์แอนด์เคส ประเทศไทย จำกัด การนำเงินไปใช้ลงทุนหรือซื้อทรัพย์สินต่างๆนั้นเป็นการตัดสินใจของผู้คัดค้านที่ 2 อย่างแท้จริง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษายกคำร้องของอัยการสูงสุด ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 2 และขอให้เพิกถอนการอายัดทรัพย์และหลักทรัพย์จำนวน 17,150,292,534 บาท ของผู้คัดค้านที่ 2 พร้อมดอกผลของยอดเงินดังกล่าว และเพิกถอนการอายัดที่ดิน 4 แปลง ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ด้วย
**"เอม"อ้างได้มาถูกต้องตามกฎหมาย**
ขณะที่คำแถลงปิดคดีของ น.ส.พินทองทา ผู้คัดค้านที่ 3 ในคดีดังกล่าว บรรยายสรุปไว้ 64 หน้า ได้มีการชี้แจงการได้มาของหุ้น และการเข้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ในหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ตั้งแต่ปี 2545 ว่ากระทำอย่างถูกต้องตามกฎหมายเช่นเดียวกับคำแถลงปิดคดีของ นายพานทองแท้ คัดค้านที่ 2 โดยตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ถือครองหุ้นดังกล่าวอยู่นั้น ไม่เคยมีหน่วยงานราชการใดมีความสงสัย หรือตั้งข้อกล่าวหาผู้คัดค้านที่ 3 ถือหุ้นดังกล่าวแทน พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน กระทั่งเมื่อปี 2550 กลับมีการตั้ง คตส. ขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อตรวจสอบกล่าวหาว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปที่ขายไปนั้นเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน แต่ใช้ชื่อบุตร และญาติพี่น้อง ถือครองหุ้นแทน ซึ่งผู้คัดค้านที่ 3 ไม่อาจเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงมีการกล่าวหาดังกล่าว และกรณีนี้ควรมีหลักเกณฑ์พิจารณาอย่างไร ซึ่ง คตส. และอัยการสูงสุด ผู้ร้อง ไม่มีมูลเหตุเพียงพอที่จะกล่าวหาผู้คัดค้านที่ 3 ถือหุ้นแทน เมื่อไม่มีมาตรฐานในการตรวจสอบ เพราะไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเพียงพอที่จะมาใช้กล่าวหาว่าผู้คัดค้านที่ 3 เป็นผู้ถือหุ้นแท้จริงหรือไม่ จึงควรยกคำร้องของอัยการสูงสุด
ผู้คัดค้านที่ 3 ยืนยันว่าการที่นายพานทองแท้ ผู้คัดค้านที่ 2 ขายหุ้น ชินคอร์ปฯ ให้กับผู้คัดค้านที่ 3 นั้น เป็นการตัดสินใจโดยอิสระ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ไม่ได้บังคับผู้คัดค้านที่ 2 ให้ต้องขายแต่อย่างใด ขณะที่การบริหารจัดการหุ้นดังกล่าวนั้น ผู้คัดค้านที่ 3 ได้มอบหมายให้ นางกาญจนภา ดูแลและจัดการทรัพย์สินต่างๆ และเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน การลงทุนให้ โดยผลประโยชน์ที่ได้รับจากการทำธุรกรรมทั้งหมดตกอยู่กับผู้คัดค้านที่ 3 และการที่ผู้คัดค้านที่ 3 ฝากเงินที่ได้จากการขายหุ้นไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์ หลายแห่ง หลายสาขา เนื่องจากต้องการบริหารผลตอบแทน เรื่องดอกเบี้ย และเป็นการบริหารความเสี่ยงที่จะไม่ฝากเงินไว้กับธนาคารใดทั้งหมดไว้แห่งเดียว ผู้คัดค้านที่ 3 จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษายกคำร้องของอัยการสูงสุด ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 2 และขอให้เพิกถอนการอายัดทรัพย์และหลักทรัพย์จำนวน 23,529,837,028.60 บาท ของผู้คัดค้านที่ 3 พร้อมดอกผลของยอดเงินดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่าวันนี้ (11 ก.พ.) เวลา 10.00 น. นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา จะเดินทางไปยังศาลฎีกา ฯ เพื่อยื่นคำร้องต่อศาล กรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ( คตส.) บางคนออกมาให้สัมภาษณ์ และกรณีที่สื่อมวลชนมีการนำเสนอรายงานพิเศษที่อาจจะกระทบคดียึดทรัพย์ที่ทั้งสองในฐานะที่เป็นผู้คัดค้านคดีดังกล่าวจะได้รับความเสียหาย เพื่อให้ศาลพิจารณาและมีคำสั่งให้หยุดดำเนินการดังกล่าว.
วานนี้(10 ก.พ.)เวลา 10.00 น.ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นายกิตติพร อรุณรัตน์ ทนายความของ นายพานทองแท้ ชินวัตร และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภริยา เดินทางไปยื่นคำแถลงการณ์ปิดคดีในส่วนของนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ในฐานะผู้คัดค้านที่ 2 – 3 ในคดีที่อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาฯ มีคำสั่งยึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้คัดค้าน 22 ราย เป็นเงินจำนวน 76,000 ล้านบาท ที่ได้มาจากการออกนโยบายเอื้อประโยชน์แก่ตัวเองและพวกพ้อง จำนวน 5 กรณี และการให้บุตรและคนใกล้ชิดถือครองหุ้นบริษัทในเครือชินคอร์ปอเรชั่น แทนตัวเอง ขณะที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 2 วาระ
โดยนายกิตติพร เปิดเผยว่า ในส่วนคำแถลงการณ์ปิดคดีของ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา นั้น มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 130 หน้า แยกการชี้แจงออกเป็น 15 ประเด็น ที่จะยืนยันว่าทรัพย์สมบัติของ นายพานทองแท้ จำนวน 17,150 ล้านบาท และของ น.ส.พินทองทา จำนวน 23,529 ล้านบาท รวมกว่า 40,000 ล้านบาทนั้นได้รับมอบจาก พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี รวมถึงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ที่ได้รับผลประโยชน์เอง นอกจากนี้ยังชี้แจงในประเด็นเรื่องการไต่สวนว่าชอบหรือไม่ ในฐานะทนายความมีความเชื่อมั่นว่าตั้งแต่ในชั้นไต่สวนแล้วว่าสามารถชี้แจงให้ศาลทราบได้ ทั้งนี้ในวันที่ 26 ก.พ. นี้ จะได้รู้กันแล้วว่าศาลฎีกาฯ จะมีคำพิพากษาอย่างไร ที่ผ่านมาได้มีการปรึกษาหารือทางคดีกับนายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา มาโดยตลอด และเข้าใจว่าในวันฟังคำพิพากษา คุณหญิงพจมาน นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา จะเดินทางมาฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง
**"โอ๊ค"ปัดถือหุ้นแทน"ทักษิณ"**
คำแถลงปิดคดีของนายพานทองแท้ ความยาว 66 หน้าสรุปว่า นายพานทองแท้ ผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ จำนวน 458,550,220 หุ้น ที่แท้จริง และมีกรรมสิทธิ์ในหุ้นดังกล่าวถูกต้องตามกฎหมาย โดยไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นแทน (นอมินี) พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหา และคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ผู้คัดคัดค้านที่ 1 ที่อย่างใด ดังนั้นหุ้นบริษัทจำนวนดังกล่าวจึงเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งมีสิทธิ์ใช้และจำหน่าย และได้รับดอกผลตามกฎหมายได้ เมื่อผู้คัดค้านที่ 2 ขายหุ้นบริษัททั้งหมดให้กับบริษัทซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด และบริษัทแอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งอยู่ในกลุ่มทุนเทมาเส็ก ประเทศสิงคโปร์ เงินที่ได้รับมาจำนวน 17,150,292,534 บาท จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้คัดค้านที่ 2 อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และจากการไต่สวนข้อเท็จจริงในศาลก็เป็นที่ยุติแล้วว่าการซื้อขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป เป็นการซื้อขายที่แท้จริง ปรากฏตามคำเบิกความของนายสมบูรณ์ คุปติมนัส (พยานของผู้คัดค้าน) ที่เบิกความเมื่อวันที่ 13 ส.ค.52 แต่ในส่วนพยานของอัยการสูงสุด ผู้ร้อง รวมถึงคณะกรรมการตรวจสอบที่มาเบิกความต่อศาล ก็ไม่มีหลักฐานใดที่แสดงให้เห็นว่า ผู้คัดค้านที่ 2 ไม่ใช่ผู้ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯที่แท้จริง พยานผู้ร้องต่างเบิกความลักษณะคาดเดาทั้งสิ้น ในลักษณะปรักปรำ พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหา และผู้คัดค้านที่ 2 เพื่อต้องการให้เงินที่ผู้คัดค้านที่ 2 ที่ได้มาจากการขายหุ้นตกเป็นของแผ่นดิน โดยไม่สนใจว่าเงินนั้นเป็นของผู้คัดค้านที่ 2 หรือไม่ ทั้งที่การซื้อขายหุ้นก็เป็นไปตามเจตนาของผู้ซื้อและผู้ขาย ดังนั้นข้อเท็จจริงต้องฟังว่าผู้คัดค้านที่ 2 เป็นเจ้าของหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯที่แท้จริงไม่ได้ถือหุ้นแทน
**อ้างพ่อขายหุ้นแอมเพิลให้เป็นของขวัญ**
ประเด็นการได้มาซึ่งหุ้นบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสเมนท์ จำกัดนั้น ว่า เดิม พ.ต.ท.ทักษิณ จัดตั้งบริษัทที่หมู่เกาะบริติชเวอร์จิ้น ไอล์แลนด์ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปจำนวน 32,920,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท เพื่อนำไปซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ แนสแดก ประเทศสหรัฐอเมริกา ตามคำแนะนำของที่ปรึกษาทางการเงินโดยไม่ได้ประกอบกิจการใด แต่เพื่อเตรียมให้บริษัทชินคอร์ปเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดแนสแดก เท่านั้น โดยเมื่อวันที่ 1ธ.ค. 43 พ.ต.ท.ทักษิณ ขายหุ้นบริษัทแอมเพิล ริชฯ ให้กับผู้คัดค้านที่ 2 จำนวน 1 หุ้น ราคา 5 เหรียญสหรัฐ เพื่อเป็นของขวัญวันเกิด ของผู้คัดค้านที่ 2 ซึ่งเกิดวันที่ 2 ธ.ค. ประกอบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการลงสมัครเลือกตั้งเป็นข้าราชการการเมือง โดยผู้คัดค้านที่ 2 ได้ชำระค่าหุ้นแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้ถูกกล่าวหาจึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทแอมเพิล ริชฯอีกต่อไป ต่อมาปี 2548 บริษัทแอมเพิล ริชฯ ได้จำหน่ายหุ้นเพิ่มอีก 4 หุ้น จากเดิม มีเพียงแค่ 1 หุ้น โดยผู้คัดค้านที่ 2 ซื้อไว้จำนวน 3 หุ้น และผู้คัดค้านที่ 3 ซื้อไว้จำนวน 1 หุ้น โดยมีการชำระค่าหุ้นไว้เรียบร้อยแล้วเช่นกัน ซึ่งการได้มาของหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯที่บริษัทแอมเพิล ริช ฯ ถือครองนั้นผู้คัดค้านที่ 2 ได้ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯจากบริษัทแอมเพิล ริช ฯ เมื่อวันที่ 20 ม.ค.49 โดยซื้อในฐานะผู้ถือหุ้นและกรรมการ จึงซื้อได้ในราคาหุ้นละ 1 บาทจำนวน 164,600,000 หุ้น และได้ชำระค่าหุ้นให้บริษัทแอมเพิล ริชฯ แล้ว โดยกรมสรรพากรได้เรียกเก็บภาษีเงินได้กับผู้คัดค้านที่ 2 จากเงินส่วนต่างของราคาหุ้นที่ซื้อมา ดังนั้นผู้คัดค้านที่ 2 จึงเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ ที่ซื้อมาจากบริษัทแอมเพิล ริชฯ
นอกจากนี้เงินปันผลที่บริษัทแอมเพิล ริช ฯ ได้รับจากการถือหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯรวม 6 ครั้ง ระหว่างปี 2546-2548 รวมเป็นเงิน 40 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้ฝากไว้ที่ธนาคารยูบีเอส เอจี สิงคโปร์ เพื่อให้ดูแลดอกเบี้ยเงินฝาก โดยผู้คัดค้านที่ 2 คอยรับผลประโยชน์ แต่ไม่ได้เข้าไปจัดการร่วมด้วยแต่อย่างใด
**อ้างหุ้นชินมูลค่าสูงเกิดจากการลงทุน**
ส่วนประเด็นที่หุ้นบริษัทชินคอร์ปฯมีมูลค่าสูงขึ้นนั้น เนื่องจากบริษัทชินคอร์ปฯเป็นบริษัทเพื่อการลงทุน ลักษณะโฮลดิ้ง Company โดยได้รับผลตอบแทนอย่างมากจากการลงทุนบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ซึ่งมีผลประกอบการเติบโตต่อเนื่องมานานไม่ต่ำกว่า 10 ปี ทำให้หุ้นบริษัทเอไอเอสมีมูลค่าสูงและเป็นผลโดยตรง จึงทำให้หุ้นบริษัทชินคอร์ปฯมีมูลค่าสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ประกอบกับหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯและเอไอเอส เป็นหุ้นที่มี Maket Cap ขนาดใหญ่ เคยอยู่ใน 5 หรือ 10 อันดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ จึงมีความเคลื่อนไหวสัมพันธ์กับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ดังนั้นการที่หุ้นบริษัทชินคอร์ปฯมีมูลค่าสูง ที่เกิดจากการลงในกับบริษัทในเครือ และเมื่อนักลงทุนเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จำนวนมาก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์สูงขึ้น จึงเป็นเรื่องปกติที่มูลค่าหุ้นชินคอร์ปฯสูงขึ้นตามไปด้วย
**ซื้อหุ้นตัดสินใจเองไม่เกี่ยว"พ่อ-แม่"**
ขณะที่เงินที่รับจากการขายหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯนั้น เมื่อมีการซื้อขายหุ้นแล้วผู้คัดค้านที่2มีสิทธิ์นำเงินไปใช้จ่ายส่วนตัวและลงทุนในธุรกิจต่างๆโดยไม่มีข้อห้าม เพราะเป็นเงินที่ได้มาสุจริต โดยผู้คัดค้านที่ 2 นำเงินจำนวน 1.1 พันล้านบาท ไปให้บริษัท ประไหมสุหรี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด กู้ยืม โดยจ่ายเป็นเช็คธนาคารเมื่อวันที่ 24 เม.ย.50 ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินการกู้ยืมมอบให้กับผู้คัดค้านที่ 2 นอกจากการกู้ยืมแล้วผู้คัดค้านที่ 2 ยังได้ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทดังกล่าวอีกจำนวน 800 ล้านบาท และนำเงินชำระค่าหุ้นเพิ่มทุนในบริษัทเวิร์ธซัพพลายส์ จำกัด จำนวน 1,000 ล้านบาท และนำเงินไปซื้อที่ดิน ต.หมูศรี อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา จำนวน 27,227,200บาท พร้อมทั้งนำเงินจำนวน 30 ล้านบาท ไปชำระเป็นค่าที่ปรึกษากฎหมายให้กับบริษัทไว้ท์แอนด์เคส ประเทศไทย จำกัด การนำเงินไปใช้ลงทุนหรือซื้อทรัพย์สินต่างๆนั้นเป็นการตัดสินใจของผู้คัดค้านที่ 2 อย่างแท้จริง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด
จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษายกคำร้องของอัยการสูงสุด ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 2 และขอให้เพิกถอนการอายัดทรัพย์และหลักทรัพย์จำนวน 17,150,292,534 บาท ของผู้คัดค้านที่ 2 พร้อมดอกผลของยอดเงินดังกล่าว และเพิกถอนการอายัดที่ดิน 4 แปลง ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ด้วย
**"เอม"อ้างได้มาถูกต้องตามกฎหมาย**
ขณะที่คำแถลงปิดคดีของ น.ส.พินทองทา ผู้คัดค้านที่ 3 ในคดีดังกล่าว บรรยายสรุปไว้ 64 หน้า ได้มีการชี้แจงการได้มาของหุ้น และการเข้าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ในหุ้นบริษัทชินคอร์ปฯ ตั้งแต่ปี 2545 ว่ากระทำอย่างถูกต้องตามกฎหมายเช่นเดียวกับคำแถลงปิดคดีของ นายพานทองแท้ คัดค้านที่ 2 โดยตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ถือครองหุ้นดังกล่าวอยู่นั้น ไม่เคยมีหน่วยงานราชการใดมีความสงสัย หรือตั้งข้อกล่าวหาผู้คัดค้านที่ 3 ถือหุ้นดังกล่าวแทน พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน กระทั่งเมื่อปี 2550 กลับมีการตั้ง คตส. ขึ้นมาโดยเฉพาะเพื่อตรวจสอบกล่าวหาว่า หุ้นบริษัทชินคอร์ปที่ขายไปนั้นเป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน แต่ใช้ชื่อบุตร และญาติพี่น้อง ถือครองหุ้นแทน ซึ่งผู้คัดค้านที่ 3 ไม่อาจเข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใดจึงมีการกล่าวหาดังกล่าว และกรณีนี้ควรมีหลักเกณฑ์พิจารณาอย่างไร ซึ่ง คตส. และอัยการสูงสุด ผู้ร้อง ไม่มีมูลเหตุเพียงพอที่จะกล่าวหาผู้คัดค้านที่ 3 ถือหุ้นแทน เมื่อไม่มีมาตรฐานในการตรวจสอบ เพราะไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเพียงพอที่จะมาใช้กล่าวหาว่าผู้คัดค้านที่ 3 เป็นผู้ถือหุ้นแท้จริงหรือไม่ จึงควรยกคำร้องของอัยการสูงสุด
ผู้คัดค้านที่ 3 ยืนยันว่าการที่นายพานทองแท้ ผู้คัดค้านที่ 2 ขายหุ้น ชินคอร์ปฯ ให้กับผู้คัดค้านที่ 3 นั้น เป็นการตัดสินใจโดยอิสระ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ไม่ได้บังคับผู้คัดค้านที่ 2 ให้ต้องขายแต่อย่างใด ขณะที่การบริหารจัดการหุ้นดังกล่าวนั้น ผู้คัดค้านที่ 3 ได้มอบหมายให้ นางกาญจนภา ดูแลและจัดการทรัพย์สินต่างๆ และเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน การลงทุนให้ โดยผลประโยชน์ที่ได้รับจากการทำธุรกรรมทั้งหมดตกอยู่กับผู้คัดค้านที่ 3 และการที่ผู้คัดค้านที่ 3 ฝากเงินที่ได้จากการขายหุ้นไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์ หลายแห่ง หลายสาขา เนื่องจากต้องการบริหารผลตอบแทน เรื่องดอกเบี้ย และเป็นการบริหารความเสี่ยงที่จะไม่ฝากเงินไว้กับธนาคารใดทั้งหมดไว้แห่งเดียว ผู้คัดค้านที่ 3 จึงขอให้ศาลมีคำพิพากษายกคำร้องของอัยการสูงสุด ในส่วนที่เกี่ยวกับทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 2 และขอให้เพิกถอนการอายัดทรัพย์และหลักทรัพย์จำนวน 23,529,837,028.60 บาท ของผู้คัดค้านที่ 3 พร้อมดอกผลของยอดเงินดังกล่าว
รายงานข่าวแจ้งว่าวันนี้ (11 ก.พ.) เวลา 10.00 น. นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา จะเดินทางไปยังศาลฎีกา ฯ เพื่อยื่นคำร้องต่อศาล กรณีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ ( คตส.) บางคนออกมาให้สัมภาษณ์ และกรณีที่สื่อมวลชนมีการนำเสนอรายงานพิเศษที่อาจจะกระทบคดียึดทรัพย์ที่ทั้งสองในฐานะที่เป็นผู้คัดค้านคดีดังกล่าวจะได้รับความเสียหาย เพื่อให้ศาลพิจารณาและมีคำสั่งให้หยุดดำเนินการดังกล่าว.