ผ่าประเด็นร้อน
หลังมีคำตัดสินยึดทรัพย์ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 46,373,687,454.70 บาท ก็มีท่าทีอันขึงขังมาจากหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการขยายผลคำพิพากษาที่ตัดสินว่า ทักษิณ ชินวัตร ขณะเป็นนายกรัฐมนตรี ได้กระทำการออกมาตรการในกิจการโทรคมนาคม 5 มาตรการ คือ
1.การแปลงสัญญาสัมปทานกิจการโทรคมนาคม ด้วยการออกพระราชกำหนดภาษีสรรพสามิต ทำให้รัฐเสียหายกว่า 60,000 ล้านบาท
2.แก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่ปรับลดอัตราส่วนแบ่งรายได้จากการใช้บริการ โทรศัพท์เคลื่อนที่แบบใช้บัตรจ่ายเงินล่วงหน้า (PREPAID CARD) เอื้อประโยชน์ให้ แก่บริษัทแอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์วิส (เอไอเอส ) ทำให้รัฐเสียหาย ประมาณ 14,000 ล้านบาท
3.แก้ไขสัญญาโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่ออนุญาตให้ใช้เครือข่ายร่วม (ROAMING)
4.มีการแก้ไขสัญญาสัมปทานดาวเทียมโดยมิชอบ ทำให้รัฐเสียหาย ประมาณ 20,000 ล้านบาท
5.กรณีการอนุมัติเงินกู้ของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าวงเงิน 4 พันล้านบาทให้รัฐบาลพม่า เพื่อนำเงินไปซื้อสินค้าจากบริษัท ชินแซทเทิลไลท์ ทำให้รัฐเสียหายประมาณ 670 ล้านบาท
นั่นคือ มูลความผิดที่เตรียมนำคำพิพากษาศาลฎีกาฯมาขยายผลเพื่อเอาผิดทักษิณ ผู้เกี่ยวข้อง บริษัทเอกชน อดีตเจ้าหน้าที่รัฐซึ่งร่วมสร้างความเสียหายให้กับรัฐ ทั้งทางแพ่งและอาญา
โดยเฉพาะคนที่ออกมารับลูกคนแรกๆ ไม่ใช่ใครอื่น อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ประกาศให้อัยการรับเป็นเจ้าภาพในการศึกษาคำพิพากษาศาลฎีกา ว่าจะทำอย่างไรต่อไปได้บ้าง
รวมถึงการออกมาไล่บี้ของแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการคตส.ผู้อยู่เบื้องหลังการทำคดียึดทรัพย์ของคตส.ตัวจริงเสียงจริง ที่ล่าสุดเสนอให้รัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงไอซีที คือ ทีโอที-กสท.ต้องนำคำพิพากษาของศาลฎีกามาศึกษาและขยายผลต่อไป
ไม่ว่าจะเป็นกรณีการศึกษาความเป็นไปได้ในการเพิกถอนสัญญา หรือยื่นฟ้องเพื่อนำประโยชน์ของรัฐกลับคืนมา
เรื่องนี้ประชาชนทุกภาคส่วนต่างส่งเสียงสนับสนุนด้วยกันทั้งสิ้น เพราะเมื่อคำตัดสินของศาลฎีกาเขียนไว้ชัดเจนว่ามาตรการต่างๆที่ออกมาทั้ง 5 เรื่อง เป็นการออกมาโดยมิชอบ และเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทชินคอร์ป อันเป็นประโยชน์กับทักษิณ ครอบครัว และพวก อันเป็นประโยชน์ของคนไม่กี่คน แต่ทำให้รัฐและส่วนรวมคือประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ต้องสูญเสียประโยชน์ที่ควรได้
หรือการที่รัฐต้องเสียรายได้ที่ควรจะได้จากชินคอร์ป เอไอเอส ชินแซทเทิลไลท์ เพื่อนำไปพัฒนาระบบกิจการโทรคมนาคมให้ดีขึ้น แต่กลับนำเงินภาษีของประชาชนไปจัดซื้ออุปกรณ์หรือพัฒนากิจการโทรคมนาคม แทนที่จะนำเงินจากบริษัทเอกชนที่เป็นรายได้เข้ารัฐมาใช้ในส่วนนี้
รวมถึงหลายมาตรการที่ศาลฎีกาเห็นว่าออกโดยมิชอบและเอื้อประโยชน์ ก็เป็นการปิดโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจกิจการโทรคมนาคม ทำให้บริษัทคู่แข่งรายอื่นในกิจการโทรคมนาคมไม่ได้เข้ามาในตลาด อันทำให้ประชาชนผู้บริโภคขาดตัวเลือกที่มากกว่าในปัจจุบันจากผลพวงนโยบายเอื้อประโยชน์ เช่น การแปลงสัญญาสัมปทานมือถือและกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิตที่ทักษิณวางแผนสั่งการเป็นลำดับขั้นตอนผ่านลูกน้องในสังกัดกระทรวงต่างๆ เช่นกระทรวงการคลัง ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาในคดียึดทรัพย์
จึงสมควรอย่างยิ่งที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างเช่นทีโอที-กสท.จะนิ่งเฉยไม่ได้ ต้องทำการศึกษาวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาอย่างละเอียด เพื่อนำไปขยายผลในการปกป้องผลประโยชน์ของรัฐต่อไป ไม่ว่าจะเป็นกรณีความเป็นไปได้ในการยกเลิกสัญญาที่เสมือนกับเป็นสัญญาทาสที่ทักษิณวางไข่ทิ้งไว้ อาทิ การทบทวนสัญญาการปรับลดส่วนแบ่งระบบพรีเพดของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ที่ศาลฎีกาฯ ตัดสินด้วยเสียงข้างมากจนเป็นคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ว่าเป็นการออกนโยบายที่ผิดพลาด โดยกระทรวงไอซีทีต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการตรวจสอบการแก้ไขสัญญา เพื่อตรวจสอบการให้เหตุผลในการแก้ไขสัญญาทั้งหมดของระบบพรีเพดในสมัยรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร
ว่ามีที่มาที่ไปอย่างไรใครต้องรับผิดชอบ และควรรีบเร่งแก้ไขสัญญาครั้งนี้โดยเร็วหรือจะกลับไปตั้งหลักด้วยการศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้สัญญาฉบับก่อนที่จะมีการแก้ไขว่าทำได้หรือไม่ รัฐได้ประโยชน์มากกว่าหรือไม่
ไม่ใช่นิ่งเฉยเป็นสากกะเบือ เพราะนั่งทับขี้กันเอาไว้
หรือการฟ้องร้องเอาผิดทั้งคดีอาญาและคดีแพ่ง กับผู้เกี่ยวข้องที่ร่วมมือกับทักษิณ ชินวัตร ออก 5 มาตรการเอื้อประโยชน์ชินคอร์ปโดยมิชอบ ไม่ว่าจะเป็นอดีตผู้บริหารทีโอที-กสท.-กระทรวงคมนาคม ไอซีที กรมสรรพากร กรมสรรพสามิต ในขณะนั้น
รวมถึงแม้แต่ฝ่ายการเมืองที่รับใบสั่งจากทักษิณ ชินวัตร มาออกมาตรการ อันทำให้ประเทศชาติเสียหายหลายแสนล้านบาท ไม่ว่าจะเป็น นพ.สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี อดีต รมว.ไอซีที นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีตรมว.คมนาคม เป็นต้น
ทั้งหมดไม่ใช่การเช็กบิลหรือไล่ล่าเอาผิดไม่หยุดหย่อนกับทักษิณ ชินวัตร แต่เป็นการทำในสิ่งที่ถูกต้อง คือ ปกป้องรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวม
จึงควรที่กระทรวงไอซีทีโดยระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รมว.ไอซีที ที่โลกลืมจะต้องแสดงภาวะผู้นำในการทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง ผ่านทีโอที และ กสท ไม่ใช่ดีแต่จะเดินหน้าผลักดันโครงการ 3 จี แบบออกหน้าออกตา เพียงเพราะเห็นว่าเป็นโครงการขนาดใหญ่ผลประโยชน์หลายแสนล้านบาท
แต่เรื่องที่จะทำให้ต้องปะทะกับฝ่ายทักษิณกลับไม่กล้า
จึงควรต้องติดตาม บทบาทของกระทรวงไอซีทีโดยเฉพาะรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงอย่างใกล้ชิดว่า จะทำอย่างไรในเรื่องนี้
ส่วนเรื่องคดีอาญานั้นแทบไม่ต้องพูดถึง คำพิพากษาของศาลฏีกาฯ ระบุชัดเจนทักษิณกับพวกร่วมกันทำผิด หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องนำไปขยายผลทางคดีอาญากับทักษิณและตัวละครที่ถูกระบุชื่อในคำพิพากษาศาลฎีกา ว่ามีส่วนร่วมกระทำความผิดกับทักษิณ ชินวัตร หลายต่อหลายเรื่อง โดยเฉพาะกรณี “ซุกหุ้นชินคอร์ป” อันเป็นการแจ้งบัญชีเท็จต่อ ป.ป.ช.และไม่แจ้งการถือครองหุ้นที่แท้จริงของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯต่อก.ล.ต.อันเป็นการทำผิดกฎหมายหลายกรรมหลายวาระ เช่น รัฐธรรมนูญ-กฎหมาย ป.ป.ช.
ซึ่งโทษคดีอาญาในเรื่องซุกหุ้นของทักษิณในครั้งนี้ถือว่าหนักหนายิ่งนัก เพราะเมื่อมีคำพิพากษาของศาลฎีกาฯระบุไว้ชัดเจนนี้ด้วยมติองค์คณะฯที่เห็นเป็นเอกฉันฑ์ 9 ต่อ 0 เสียงว่าทักษิณปกปิดการถือหุ้นชินคอร์ป -แจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จ ก็ยากแล้วที่ทักษิณจะรอดพ้นคดีซุกหุ้นไปได้
แม้ทักษิณจะไม่ได้อยู่ในประเทศไทยแต่การสอบสวนเอาผิดของ ป.ป.ช.ก็สามารถดำเนินต่อไปได้ เพียงแต่จะมีปัญหาตอนที่ต้องแจ้งข้อกล่าวหาและส่งฟ้องดำเนินคดีเท่านั้น เพราะไม่สามารถเอาตัวทักษิณมาส่งฟ้องได้
ถ้าไม่มารับผิด ทักษิณก็หมดสิทธิ์หวนคืนสู่แผ่นดินไทย และไม่แน่ว่าทั้งครอบครัว ซึ่งตอนนี้ก็ชัดเจนแล้วว่า ล้วนเป็นคนดีจอมปลอมทั้งนั้น จะต้องไร้แผ่นดินอยู่พร้อมกันในคราวนี้