รมต.สำนักฯ ยอมรับมีกระแสมือที่ 3 เตรียมก่อเหตุวุ่นวายหลังรู้ผลคำพิพากษายึดทรัพย์คืนนี้ หวังโค่นล้ม รบ. ย้ำ 10 จุด กทม.-ปริมณฑลตกเป็นเป้าเสี่ยง เตรียมนัดถกพรรคร่วมประเมินสถานการณ์ พร้อมใช้สื่อรัฐจัดรายการแจงคำพิพากษาอีกรอบ ชี้การเมืองอาจเกิด 2 ขั้วใหญ่ ระหว่าง “ทักษิณ” กลับมาเคลื่อนไหวผ่านเพื่อไทยต่อสู้กับประชาธิปัตย์
วันนี้ (26 ก.พ.) นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาระบุว่าการที่รัฐบาลจัดรายการพิเศษ ก่อนที่ศาลจะตัดสินคดียึดทรัพย์ก่อนหน้า 1 ชั่วโมง เหมือนรู้คำพิพากษาก่อนแล้วว่า ไม่มีการรู้ผลล่วงหน้า ประเด็นคือไม่ว่าผลคำพิพากษาจะออกมาอย่างไร จะยึดทั้งหมดหรือจะยึดบางส่วน หรือไม่ยึดเลยก็ตาม รายการก็คงจัดอยู่ เหตุผลที่ต้องจัดเพราะคดีนี้ถือเป็นคดีสำคัญอยู่ในความสนใจของพี่น้องประชาชน ซึ่งมีรายละเอียดของคดีมาก และเราเข้าใจว่ามีคนพยายามที่จะใช้ผลของคดีนี้นำไปสู่การสร้างเงื่อนไขในการปลุกระดมให้มีความเคลื่อนไหวกันต่อ เพราะการอ่านคำพิพากษาค่อนข้างจะใช้ระยะเวลาที่ยาวนาน คนที่ตั้งใจฟังจนครบทุกประเด็นคงจะมีจำนวนหนึ่ง แต่เนื่องจากเป็นภาษากฎหมายซึ่งมีความสลับซับซ้อนอย่างกรณีคดียุบพรรค ศาลใช้เวลาอ่านยาวนานมาก คนก็มีความเข้าใจน้อย เรามีความจำเป็นที่จะต้องชี้แจง
นายสาทิตย์กล่าวว่า ในวันนี้เฉพาะส่วนของช่อง 11 ได้มีการประสานกับสื่ออื่น เฉพาะในส่วนของ สวท.และกรมประชาสัมพันธ์ และเครือข่ายสื่อในต่างจังหวัด ประมาณ 4 พันคลื่น ภายใต้ชื่อรายการ “เดินหน้าสู่ความยุติธรรม” โดยจะมีการเชิญบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องและมีความรู้ทางกฎหมาย มาพูดคุยก่อนที่ศาลจะอ่านคำพิพากษา 1 ชั่วโมง เช่น อัยการสูงสุด ปลัดกระทรวงยุติธรรม อดีต คตส. นักวิชาการ ส.ว.บางส่วน ซึ่งรายการนี้จะออกอากาศถึงวันจันทร์ที่ 1 มี.ค. อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลอ่านคำพิพากษาจบก็จะมีการอธิบายถึงเหตุผลที่ใช้ในการพิพากษาทำไมถึงเป็นเช่นนั้น นักกฎหมายเข้าใจอย่างไร เป้าหมายใหญ่เพื่อต้องการทำความเข้าใจต่อคนที่ติดตามข่าว ฉะนั้นไม่ใช่เป็นการเดาผล
“สิ่งที่ผมห่วงและอยากจะเตือนไว้กรณีที่คุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยมีการพูดถึงการทำวิดีโอลิงก์มาเป็นระยะๆ และจะมีสื่อส่วนหนึ่งไปทำข่าว คิดว่าเรื่องนี้จะต้องใช้ความระมัดระวัง เพราะไม่เคยมีคดีใดที่ในเวลาที่ศาลกำลังอ่านคำพิพากษาแล้วจำเลยจะออกมาพูดจาทำนอง ที่อาจจะมีบางส่วนที่ไปทำให้เข้าใจตรงข้ามกับสิ่งที่ศาลกำลังดำเนินการอยู่ก็ได้ ต้องระวังเรื่องละเมิดอำนาจศาล ขอเตือนสื่อทุกท่านที่อาจจะมีการรายงาน เพราะน่าจะเป็นเรื่องที่กระทบต่อกระบวนการยุติธรรม แต่ผมไม่ได้ห้ามอะไร ถ้าใครดำเนินการอะไร ก็เป็นความรับผิดชอบของคนคนนั้นเอง” นายสาทิตย์กล่าว
นายสาทิตย์กล่าวต่อว่า เวลานี้มีหลายคนเป็นห่วงความวุ่นวายหลังคำตัดสินภายในคืนที่ 26 ก.พ.นี้ ซึ่งความจริงแล้วฝ่ายข่าวก็ประเมินว่า อาจจะมีเหตุการณ์ที่บางฝ่ายพยายามจะสร้างขึ้นในคืนนี้ แต่ฝ่ายของเสื้อแดงไม่ว่าจะเป็นนายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง หรือใครก็ตามที่ออกมาพูดทำนองว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นในคืนนี้ไม่เกี่ยวกับคนเสื้อแดง และพูดหลายครั้ง ตนว่ายิ่งพูดยิ่งน่าสงสัยว่ากำลังคิดทำอะไรกันอยู่ แต่ในส่วนของฝ่ายความมั่นคงก็จะจับตาดูเรื่องนี้มาตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา ทราบว่าอาจจะมีบางฝ่ายพยายามสร้างสถานการณ์ความปั่นป่วนวุ่นวายให้เกิดขึ้นในคืนนี้ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดที่เป็นฐานที่มั่นของกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งฝ่ายความมั่นคงได้มีการประสานไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแล้ว และต้องยอมรับว่าคดียึดทรัพย์ระดับผู้นำประเทศ และมูลค่าของทรัพย์ 7.6 พันล้านบาท ประเทศไทยไม่เคยมีมาก่อน และประเด็นนี้เป็นที่สนใจทั้งในและต่างประเทศ
นายสาทิตย์กล่าวต่อว่า การชี้แจงเรื่องสื่อเราระมัดระวังเรื่องการใช้สื่อต่างประเทศคล้ายๆ กับตอนเกิดเหตุวันที่ 12-13 เม.ย. ดังนั้น ฝ่ายสำนักโฆษกรัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศ ก็เตรียมแผนที่จะชี้แจงเรื่องนี้ หลังมีคำพิพากษาออกมา หากมีข่าวอะไรไปปรากฏในสื่อต่างประเทศ ในทำนองที่อาจจะสร้างความเสียหายให้แก่กระบวนการยุติธรรมไทย เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้เรามีการเตรียมการที่รอบคอบมากขึ้น แต่ถ้านำเสนอข่าวที่ถูกต้อง และไม่มีผลกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมหรือต่อประเทศไทย ก็ไม่มีปัญหาที่ต้องไปชี้แจง แต่ถ้าคุณทักษิณหรือใครออกไปให้ข่าวสื่อต่างประเทศทำนองให้ความเสียหาย ฝ่ายเราก็เตรียมคนชี้แจงไว้แล้ว
เมื่อถามว่า ที่บอกว่าอาจมีการสร้างสถานการณความวุ่นวายเกิดขึ้นหลังจากมีคำพิพากษาสถานการณ์จะถึงขั้นไหน นายสาทิตย์กล่าวว่า โฆษก กอ.รมน.เคยออกมาแถลงว่าเป็นกลุ่มเหมือนกับมือที่ 3 ที่จะมาสร้างสถานการณ์ให้วุ่นวายมากขึ้น
“สถานการณ์ที่วุ่นวายนี้จะเป็นประโยชน์กับใครก็ต้องดูอีกที แต่เราเป็นห่วงว่าจะคล้ายกับกรณีเอ็ม 79 และระเบิดศาลฎีกา ฉะนั้น คืนนี้ต้องช่วยกันจับตามอง ผมขอเรียนว่าเฉพาะในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ถ้ามีเหตุผิดปกติใดๆ ที่สงสัยขอให้แจ้งที่สายด่วน 1555 เจ้าหน้าที่พร้อมที่จะไปดูแลภายใน 15 นาที ขอย้ำว่าเราเป็นห่วงอาจจะมีการสร้างสถานการณ์ถึงขั้นจะเผาอะไรหรือไม่ อะไรอย่างไร รวมถึงสถานการณ์ในรูปแบบอื่นๆ เช่น อาจจะมีคนออกมาชุมนุมจำนวนไม่มาก แต่จะมีผู้ไปสร้างสถานการณ์ให้เกิดความตื่นตระหนกตกใจเหล่านี้เป็นต้น ตรงนี้ต้องระมัดระวังเพราะเราไม่ทราบเป้าหมายที่ชัดเจน แต่พื้นที่ที่มีความเสี่ยงที่ กอ.รมน.แถลงไปมีประมาณ 10 จุด เฉพาะในกรุงเทพฯ ส่วนในต่างจังหวัดก็ต้องเฝ้าระวังศาลากลางจังหวัด สถานีสื่อของรัฐ ซึ่งตอนนี้ก็มีการจัดเวรยามอย่างเต็มที่ ในส่วนของคนเสื้อแดงเป็นที่รับรู้ว่า การชุมนุมใหญ่จะเกิดขึ้นหลังคำพิพากษาในวันที่ 12 มี.ค.กลุ่มมือที่สามที่เข้ามาสร้างสถานการณ์อาจจะซ้ำเติมทำให้สถานการณ์มีความวุ่นวายมากขึ้น อาจนำไปสู่การล้มรัฐบาล หรือการได้ประโยชน์ของคนบางกลุ่ม ซึ่งต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดต่อไป แต่เราหวังว่าทุกฝ่ายจะยอมรับคำพิพากษา และกระบวนการยุติธรรม ปัญหาทุกอย่างจะได้เบาบางลง” นายสาทิตย์กล่าว
นายสาทิตย์กล่าวย้ำว่า เหตุที่ต้องชี้แจงคำพิพากษาเพราะกังวลว่าจะถูกหยิบไปเคลื่อนไหวใต้ดินและบิดเบือน หรือหยิบข้อมูลเฉพาะบางมุมไป ตรงนี้จะทำให้เกิดปัญหา และการเชิญคู่กรณีอย่าง คตส.มาให้ความเห็นแบบจัดสดอาจก็จะเกิดปัญหา เพราะ คตส.จะมาอธิบายความถูกต้องของตัวเองไม่ได้ ยกเว้นความเห็นทางวิชาการกฎหมายทั้งนั้น และรายการที่ทำหลังวันที่ 2 มี.ค.ก็ต้องมาดูอีกทีว่า ในเชิงข่าวสารแล้วต้องมีอะไรชี้แจงหรือไม่ เวลานี้เรื่องของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่เรื่องเฉพาะตัวบุคคลแล้ว แต่เป็นความเคลื่อนไหวมันกว้างขวาง และเป็นการต่อสู้กระทบต่อสถาบันในสังคมไทยด้วยในเชิงลึกต่อเนื่องหลายปี กระทบต่อกรณีไม่พึ่งประสงค์ เช่น กระทบต่อสถาบันองคมนตรี สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือผลกระเทือนต่อกระบวนการยุติธรรม
“การเคลื่อนไหวของคุณทักษิณครั้งนี้ เป็นการตั้งคำถามบทบาทสถาบันต่างๆ ในสังคมไทยเหมือนกัน ซึ่งจะเป็นเรื่องทำให้หลายสถาบันทบทวนบทบาทตัวเอง เช่น กระบวนการยุติธรรม ตรวจสอบมากขึ้น การบริหารตรวจสอบมากขึ้น การเคลื่อนไหวของคุณทักษิณถ้ากำหนดไว้ในสภา ไม่กระทบความสงบเรียบร้อย จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพได้ในสังคมไทย แต่ปัญหาเวลานี้มีกลุ่มที่ไปเคลื่อนไหวใต้ดิน และทิศทางการเคลื่อนไหวแตกต่างกันไปสุดขั้วกระทบสถาบัน เปลี่ยนแปลงโครงสร้างการปกครอง ถ้าหลังคำพิพากษานำไปสู่การเมือง 2 ขั้วมันก็น่าสนใจ สมมติแนว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมาโดยผ่านขั้วพรรคเพื่อไทย และอีกขั้วคือพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นพรรคคู่แข่งพรรคเพื่อไทย ผมคิดว่าถ้าแนวคิด 2 ฝ่ายต่อสู้ทางการเมืองและเป็นกระแสหลัก โดยผ่านระบบรัฐสภา จำกัดการเคลื่อนไหวนอกสภา จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงคุณภาพทางการเมืองได้ เพราะเดิมทีแนวทางการต่อสู้พรรคเมืองไม่ชัด แต่วันนี้แนวคิดแตกต่างกันได้ชัด ตอนนี้สิ่งที่จะมาคุยกันคือ การเมืองหลังคำพิพากษาจะเป็นอย่างไร โดยเป็นการคุยกันในรัฐบาล” นายสาทิตย์กล่าว และยังกล่าวทิ้งท้ายเป็นนัยด้วยว่า “ไม่คิดหรือว่าจะมีฝ่ายค้านบางส่วนมาสามัคคีกับรัฐบาล”