“การเมืองใหม่” จัดสัมมนา ตุลาการภิวัฒน์กับวาทะกรรม 2 มาตรฐาน “ไพศาล” ชี้แค่วาทกรรมของนักวิชาการบางพวก ยันศาลไม่ได้เกิดจาก คมช. จวกรัฐจะล่อ “สำราญ” หมิ่นศาล แต่กลับปล่อยคนพูดข่มขู่ผู้พิพากษาเฉย เชื่อไม่มีติดสินบน ด้าน “ส.ว.วรินทร์” ซัด “เรืองไกร” พูดทำคนสับสนทั้งเมือง ดูดาวหลัง 26 ก.พ.อำนาจมืดจะคลี่คลาย เชื่อถ้าศาลยึดทรัพย์ก็ไม่มีวุ่น-ไม่มียุบสภา-ลาออก-ปฏิวัติ ขณะที่ “ทวีศักดิ์” ชี้ตุลาการภิวัฒน์มีมานานแล้ว ซัดพวกพูด 2 มาตรฐานไม่เคยดูตัวเอง ยันต้องเคารพคำตัดสิน “เธียรธรรม” ชี้ “ทักษิณ” มีมาตรฐานเดียวคือต้องการเอาชนะตลอดกาล คาดหลังศาลตัดสินนักโทษไม่จบง่ายๆ
วันนี้ (24 ก.พ.) ที่พรรคการเมืองใหม่ (ก.ม.ม.) พรรคการเมืองใหม่จัดสัมมนาเวทีประชาชน (Pepople Forum) ครั้งที่ 5 หัวข้อ “ตุลาการภิวัฒน์กับวาทะกรรม 2 มาตรฐาน” โดยมี รศ.ทวีศักดิ์ สูทกวาทิน ประธานสภาอาจารย์ และรองศาสตราจารย์ประจำคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) นายวรินทร์ เทียมจรัส สว.สรรหา นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และนายเธียรธรรม เธียรสิริไชย รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เข้าร่วมเสวนา
โดย นายไพศาลกล่าวว่า คำว่า 2 มาตรฐานเป็นวาทกรรมของนักวิชาการบางพวกที่ทำให้สังคมคล้อยตาม โดยดึงอำนาจตุลาการ และดึงชนชั้นอำมาตย์มาใช้เคลื่อนไหว ทั้งนี้ ตนเห็นว่าคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท ไม่ใช่เป็นการพิจารณาตามหลักกฎหมายอาญาธรรมดา แต่เป็นไปตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ที่ประกาศอายัดไว้ก่อน โดยจะต้องพิสูจน์ตามหลักพิจารณาคดีความของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อีกระบบหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายอาญาที่ใช้อยู่ทั่วไป คือ ระบบการกล่าวหาที่ต้องพิสูจน์ แต่กรณีนี้ถือเป็นระบบไต่สวน ที่ต้องพิสูจน์และให้อำนาจศาลเรียกมาไต่สวนเอง ดังนั้นใครก็ตามก็ไม่ควรไปตำหนิศาลฯ เพราะศาลฯไม่ได้ตั้งมาสมัย คมช.และมีมาก่อน ปี 2540 รวมทั้ง พ.ร.บ.ป.ป.ช.ก็มีมาก่อน แต่กลับเอาประเด็นนี้ไปหลอกกันเอง ประกอบกับรัฐบาลก็ไม่ชี้แจง และคนบางจำพวกก็มาเข้าใจผิด ว่า ศาลและกฎหมาย ป.ป.ช.เกิดขึ้นสมัย คมช. ทั้งนี้ หากมีการยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดินในส่วนที่ร่ำรวยผิดปกติก็คือส่วนที่แจ้งไว้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับการสืบพยาน ซึ่งข้อเท็จจริงนั้น หากยังมีทรัพย์สินอยู่ในอังกฤษ สวิตเซอร์แลนค์ สิงคโปร์ หรือเกาะสวรรค์แห่งภาษี ว่ามีเท่าไร ถ้ามีพิสูจน์ว่ามีทรัพย์สินถึง 2 แสนล้าน มากกว่า 7.6 หมื่นล้าน ตรงนี้ก็อาจไม่พอที่จะยึดทรัพย์ตกเข้าสู่แผ่นดิน
นายไพศาลกล่าวถึงกรณีกระแสข่าวการติดสินบนองค์คณะผู้พิพากษาด้วยว่า ตนสงสัยว่าเหตุใดรัฐบาลจึงไม่ไปจัดการกับพวกที่ไปรณรงค์ไล่ล่าผู้พิพากษา ซึ่งร้ายแรงกว่ากรณีของ นายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ที่พูดในเรื่องดังกล่าว กลับไม่ดำเนินการตามกฎหมาย โดยส่วนตัวตนไม่เชื่อว่าจะมีการติดสินบน เพราะองค์คณะผู้พิพากษาจะภูมิใจในการทำงานที่ถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ของนักกฎหมาย และสังคมโลก ซึ่งถือเป็นเกียรติในการตัดสินคดีเช่นนี้
ด้าน นายวรินทร์กล่าวถึงกรณีที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา กล่าวถึงมาตรฐานของตุลาการบนเวทีการเสวนาของกลุ่มคนเสื้อแดงว่า วันนี้เราเอานักกฎหมายเอกชน มาอธิบายกฎหมายมหาชน ซึ่งถือเป็นคนละเรื่องกัน เพราะนายเรืองไกร เป็นนักกฎหมายเอกชน ที่มาอ้างคำพิพากษาที่เป็นสถานะกฎหมายนั้นมาอ้าง จนคนสับสนกันทั้งแผ่นดิน
“ผมเห็นว่ามันเป็นชะตากรรมของรัตนโกสินทร์หรือไม่ เพราะดาวพฤหัสฯ ตามราศีธนู มีดาวเสาร์มากุม ถ้าโจรครองเมืองจะเข้ามาซื้อศาลทุกครั้ง เพราะเวลามีปัญหาพวกโจร จะเข้ามาซื้อตัวโหวตมันเป็นอย่างนั้น ขณะที่ดาวพฤหัสฯ จะมาเข้ายังราศีกุมภ์ มาอยู่ที่เดือนราหู ผมก็บอกว่า ต่อไปนี้อำนาจมืดๆ ในวันที่ 26 ก.พ.นี้ จะคลี่คลาย” นายวรินทร์กล่าว
นายวรินทร์ยังกล่าวทฤษฎีทยอยยึดทรัพย์ ที่กลุ่มเสื้อแดงวิเคราะห์กันด้วยว่า ถือเป็นทฤษฎีแปลกประหลาด จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะกฎหมายยึดทรัพย์ไม่ใช่เป็นเรื่องของรีดนมวัว ที่รีดทีละถังจนเป็น “ทฤษฎีรีดนมวัว” ทั้งนี้ ตนเห็นว่าคนที่ต้องธรณีศาล ฟ้าดินก็ไม่เป็นใจ ทำอะไรก็ไม่ขึ้น โบราณเขาว่าธรณีจะสูบ ดวงของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นดวงดาวพินทุบาทว์ชะตา (ที่มักว่าดวงแตก) และเกิดมาแล้ว เป็นดวงราหูอมจันทร์ ถ้าปีนี้คาดการณ์ก็คือ “ดวงตายโหง” หากเขาจะกลับมาประเทศไทยได้ คือ เอากระดูกกลับมา และขณะนี้ดาวอังคารไปอยู่จันทร์และเดินไปอยู่ข้างหลัง จะไม่มีการปฏิวัติ หากใครที่คิดคดทรยศต่อแผ่นดิน พวกนั้นจะตายหมด
“หลังวันที่ 26 ก.พ. ถ้าศาลพิจารณายึดทรัพย์ ผมไม่เชื่อจะเกิดความวุ่นวายเพราะฟ้าลิขิตไว้แล้วว่าจะไม่มีการปฏิวัติ เพราะดาวอังคาร ราศีกรกฎ เข้าสู่ลาภะ (แปลว่า การได้ หมายถึง ลาภ ลาภลอย) ไปที่ดวงอริทั้งหมด ถูกกุมดาวพฤหัส ดาวพุธ พูดอย่างไรก็เสียหมด เหมือนฟ้าลิขิตว่า หากมีท่อน้ำเลี้ยงก็จะถูกตัดขาด จัดตั้งได้ไม่เกิน 30% ที่มาด้วยใจ และ 70% ก็จ้างมาคือเฉลี่ยหัวละพันต่อวัน ผมคำนวณว่า ถ้ามาแสนคนก็ต้องใช้เงิน 200-300 ล้านบาทต่อวัน ถามว่า ขาใหญ่ที่ไหนจะจ่ายเท่านี้ ถ้าท่อน้ำเลี้ยงถูกตัดจะเป็นอย่างไร ผมมั่นใจว่า รัฐบาลก็จะไม่ออกไม่ยุบสภา และไม่มีปฏิวัติ”
ขณะที่ รศ.ทวีศักดิ์ กล่าวว่า คนไปเข้าใจผิดกันว่า “ตุลาการภิวัฒน์” เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 25 เม.ย.49 ที่ องค์คณะศาลปกครองเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่อันที่จริงแล้ว ตุลาการภิวัฒน์ตามโครงสร้างสังคมไทยเรามีมานานแล้ว แต่สังคมไทยไม่ได้รับรู้ จนกระทั่งพระองค์มีพระราโชวาทต่อศาล จนนำสู่การประชุมของศาล 3 ฝ่ายทำให้ไปดูเหมือนว่าวันที่ 25 เม.ย.49 และคดีความต่างๆ ก็ออกมาเร็ว ที่มีคดีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครอง และความมั่นคง เช่น คดีเลือกตั้งที่ศาลปกครองพิพากษาให้เป็นโมฆะ ประกอบกับตามอำนาจที่มีอยู่ในแล้วในระบบ และมาพิจารณาคดีที่เกี่ยวกับการปกครองอย่างแท้จริง เช่นเดียวกับคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯก็มีกรณีของนายรักเกียรติ ซึ่งเป็นโครงสร้างตามปกติแล้ว
“ถ้าทำความเข้าใจว่า 2 มาตรฐาน ไม่ใช้เป็นการกำหนดและเลือกปฏิบัติ ในระหว่างที่เกิดเหตุการณ์ต่าง ๆขึ้นในขณะนั้น แต่เห็นว่า 2 มาตรฐานเป็นไปตามปกติของสังคม ที่มีการปฏิบัติที่แตกต่างเช่น รัฐบาลเลือก กระทำกับกลุ่มคนที่ด้อยโอกาสทางสังคม ให้เขารับในสิ่งดีๆ โดยธรรมชาติคนมีโอกาสดี รัฐก็ต้องหานโยบายสาธารณะต่างๆ ให้เขาถือเป็นการปิดช่องว่างในสังคม ขณะที่ด้านไม่ดี ก็มีกระบวนการที่กำหนดไว้ แต่คนที่จะเข้าถึง ก็มีความแตกต่างกันเพราะคนในสังคมมีสถานภาพทางเศรษฐกิจการเงิน พรรคพวกไม่เท่ากัน ความรู้ความสามารถเป็นปัญหา”
รศ.ทวีศักดิ์ กล่าว่วา แต่ด้านการเมืองกลับเอากระบวนการยุติธรรมมาใช้ อ้างว่าคนที่เสียเปรียบคือคนที่ความรู้น้อย เงินก็น้อย พวกก็น้อยโอกาสที่เข้าจะเข้าสู่ความเป็นธรรมจึงมีความยุ่งยากมากกว่า พวกที่ช่วยเหลือกัน คือ พวก 2 มาตรฐาน การเอามาพูดในประเด็นการเมือง ที่โต้ตอบเรื่อง 2 มาตรฐาน พวกนี้กลับไม่ย้อนไปดูว่าเขามีเงินมากกว่า มีพรรคพวกมากกว่า มีความรู้มากกว่า แต่คนพวกนี้ไม่สามารถใช้ความได้เปรียบไปถึงคำพิพากษาที่อยากได้ จึงมาบอกว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรม และบอกว่า 2 มาตรฐาน จึงต้องมาดูว่ากรณีพวกนี้ เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องหรือไม่ พราะเขาเคยได้เปรียบ มีตำแหน่ง มีอำนาจหน้าที่ของรัฐ มีกลไก ในอดีตจึงจะได้ประโยชน์
ทั้งนี้ รศ.ทวีศักดิ์ เห็นว่า กรณีพยายามติดสินบนศาล ตรงนั้นถ้าเป็นจริงถือว่าไร้มาตรฐาน เพราะหากมีมาตรฐานต้องมีกระบวนการชัดเจน แต่กลับปฏิบัติโดยไม่ต้องการให้เป็นไปตามกระบวนการหรือหลักการที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตามตนแนะนำว่า เวลาที่มีการพิพากษาตัดสินผู้ใด ศาลจะต้องมีคำพิพากษาส่วนบุคคล ในองค์คณะที่ใช้เหตุผลข้อเท็จจริงที่สามารถดูได้
“ดังนั้น การตัดสินคดีจะออกมาจะอย่างไรก็ตาม เราก็ต้องเคารพการตัดสิน และยอมรับการบังคับใช้กฎหมายนั้น แต่สามารถที่จะมาช่วยกันดูข้อบกพร่องและเสนอให้แก้ไขได้ เพื่อให้เป็นไปตามหลักนิติรัฐ แต่กรณีแบบที่ พ.ต.ท.ทักษิณ คิดจะไม่ยอมรับและพยายามที่กลายป่วนกันไปมา”
ทางด้าน นายเธียรธรรมกล่าวว่า มาตรฐานทั้งหมดอยู่ที่ประชาชน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงที่ใช้พลังของประชาชน ที่ใดไม่มีพลังประชาชนที่นั้นจะไม่มีความเป็นธรรม ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นว่า ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม แต่มาขยันฟ้องชาวบ้านนั้น ตนเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีมาตรฐานเดียว ที่ต้องการชนะตลอดกาล คดีที่เขาชนะซุกหุ้นภาคแรก ถือเป็นคดีที่ปกป้องเขามานาน และใช้มาตรฐานว่าหากแพ้ในศาล เขาจะใช้การยึดทำลาย หรือหากอยากให้เป็นพวกก็เข้าไปซื้อมา ถ้าไม่ยอมจะใช้กฎหมายบีบบังคับ ถ้าไม่ยอมอีกก็หาทางลงใต้ดินเพื่อนำมาใช้ เป็นอำนาจพรรคพวกเงินตรา ที่เขายังยืนอยู่บนจุดนั้น
“ผมเห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณยังเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลง เป็นมาตรฐานเดียว ไม่ใช่ 2 มาตรฐาน แต่สำหรับเราเขาพยายามเป็นคนที่ไม่มีมาตรฐาน ไร้มาตรฐาน เพียงแต่ว่าในสังคมไทย คือการบังคับใช้กฎหมาย ยังพึ่งพวก มีบารมี มีอำนาจ เหมือนกับกรณีฆ่าคนตายไม่ผิด”
นอกจากนี้ นายเธียรธรรมยังเชื่อว่า หลังวันที่ 26 ก.พ. พ.ต.ท.ทักษิณจะไม่จบ เพราะเขาต้องการเข้ามาเป็นชนชั้นปกครองเหมือนเดิม ซึ่งตนไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่สำนึก ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณทำตามที่ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ แนะนำให้เสียภาษี หรือมาตั้งกองทุนช่วยคนจน หรือมีข้อเสนอให้เขามาเป็น อธิการบดี ม.ชินวัตร เขาก็จะกลายเป็นวีรบุรุษ แต่ตอนนี้ถือว่าจบแล้ว ส่วนกระแสข่าวสินบนศาลนั้น ตนเชื่อว่ามีความพยายาม โดยเฉพาะมีคดีความที่เกิดมาก่อนหน้านี้ และมีการทำมาโดยตลอด แต่ตนไม่เชื่อว่าองค์คณะผู้พิพากษาจะรับ เพราะนี้คือคดีประวัติศาสตร์ แต่ตนเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะพยายามมทุกวิถีทาง โดยเฉพาะพยายามตีข่าวเพื่อจะฟ้องศาลโลก เพื่อประกาศข่มขู่ไว้ก่อน เป็นมาตรฐานที่ซื้อไม่ได้ก็จะนำไปสู่การข่มขู่ คุกคามและพร้อมจะเข่นฆ่าถ้าทำได้ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องมีหน้าที่รักษาคนดีไม่ใช่รักษาคนชั่ว