สำหรับวัตถุประสงค์และสาระสำคัญของร่างแก้ไขฉบับ คปพร.นั้น ต้องการนำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 กลับมาใช้ ซึ่งนอกจากเป็นการจงใจฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่ผ่านการลงประชามติจากประชาชนมาแล้ว ขณะเดียวกันยังส่อเจตนาล่วงละเมิดพระราชอำนาจ เนื่องจากมีการแก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ในประเด็นที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งองคมนตรี ซึ่งเดิมเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย แต่ร่างของ คปพร.ได้ตัดทิ้งไป ซึ่งรวมไปถึงการไม่รับรองสถานะขององคมนตรี
ต้องเรียกว่า “เฒ่าร้อยเล่ห์” จริงๆสำหรับ ชัย ชิดชอบ ที่ใช้อำนาจประธานรัฐสภาบรรจุญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับพรรคร่วมรัฐบาล (ยกเว้นประชาธิปัตย์) เข้าสู่การพิจารณาของที่ประชุมสภา เมื่อวานนี้ (11 ก.พ.) แม้ว่าในที่สุดแล้วเสียงส่วนใหญ่ได้ลงมติด้วยคะแนน 278 ต่อ 212 เสียงให้เลื่อนการพิจารณาญัตติดังกล่าวออกไปก่อน ก็ตาม แต่นั่นก็หมายความว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าวได้คาอยู่ในสภาตีคู่อยู่กับร่างฉบับ คปพร.ฉบับของ “เหวง โตจิราการ” ที่ดำเนินการในนามภาคประชาชนสังกัด ทักษิณ ชินวัตร ไปเรียบร้อยแล้ว
แม้ว่ามติของที่ประชุมรัฐสภาดังกล่าวจะเลื่อนออกไปก่อน แต่ก็เป็นไปได้ว่าต่อไปนี้หากมีโอกาสเหมาะเมื่อไหร่ก็อาจฉวยจังหวะช่วงชุลมุนหยิบขึ้นมาพิจารณารับหลักการในวาระที่ 1 เมื่อไหร่ก็ได้ โดยอาศัยความร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยและวุฒิสมาชิกบางส่วนรวมหัวโหวตกันตามใจชอบ
ที่ผ่านมา บุญจง วงศ์ไตรรัตน์ จากพรรคภูมิใจไทยก็ได้เผยท่าทีในเชิงข่มขู่ออกมาให้เห็นแล้วว่าพร้อมจะร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยหากพรรคประชาธิปัตย์ไม่ร่วมแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยให้เหตุผลว่า ในร่างฉบับของ เหวง ได้ครอบคลุมในเรื่องการแบ่งเขตเลือกตั้งอยู่ด้วย
สำหรับวัตถุประสงค์และสาระสำคัญของร่างแก้ไขฉบับ คปพร.นั้น ต้องการนำรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 กลับมาใช้ ซึ่งนอกจากเป็นการจงใจฉีกรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 ที่ผ่านการลงประชามติจากประชาชนมาแล้ว ขณะเดียวกันยังส่อเจตนาล่วงละเมิดพระราชอำนาจ เนื่องจากมีการแก้ไขในหมวดพระมหากษัตริย์ในประเด็นที่เกี่ยวกับการแต่งตั้งองคมนตรี ซึ่งเดิมเป็นไปตามพระราชอัธยาศัย แต่ร่างของ คปพร.ได้ตัดทิ้งไป ซึ่งรวมไปถึงการไม่รับรองสถานะขององคมนตรี
นอกจากนี้ยังมีการ “หมกเม็ด” เพื่อปูทางไปสู่การนิรโทษกรรมให้กับผู้ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองหลังจากมีความผิดจากการทุจริตการเลือกตั้งในกรณียุบพรรค รวมไปถึงความผิดจากการใช้อำนาจมิชอบทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งย่อมหมายรวมไปถึงบรรดาแกนนำคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังพรรคร่วมรัฐบาลทั้งหมด รวมทั้ง ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของพรรคเพื่อไทย และอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และพรรคเพื่อไทยอีกหลายคนในเวลาต่อมา
ส่วนการยื่นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญของพรรคร่วมรัฐบาลแม้ว่าจะมีอยู่ 2 มาตรา คือ มาตรา 190 ที่จะแก้ไขในกรณีทำสัญญากับต่างประเทศไม่ต้องนำเข้าที่ประชุมรัฐสภาเพื่อขอความเห็นชอบ โดยอ้างว่าเพื่อความสะดวกในการบริหารงาน และอีกประเด็นหนึ่งเกี่ยวข้องกับการแบ่งเขตเลือกตั้งให้เล็กลงหรือเรียกว่าเขตเดียวเบอร์เดียว อ้างว่าเพื่อความสะดวกในการดูแลประชาชนให้ทั่วถึง
ซึ่งมีการประเมินว่าความต้องการที่แท้จริงอยู่ที่ประเด็นหลังคือเรื่องการแก้ไขเขตเลือกตั้งให้เล็กลงนั่นแหละ ส่วนเรื่องมาตรา 190 เพียงแค่ให้ดูดีเป็นการกลบเกลื่อนเท่านั้น
ทั้งนี้ หากติดตามความเคลื่อนไหวมาตั้งแต่ต้นจะพบว่าเป็นความต้องการของบรรดาเจ้าของพรรคร่วมรัฐบาลตัวจริงที่แอบชักใยอยู่หลังม่าน เช่น บรรหาร ศิลปอาชา เจ้าของพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ถึงขั้นลงทุนออกโรงทำหน้าที่ประสานงานกับพรรคร่วมอื่นๆโดยตรง เนวิน ชิดชอบ จากพรรคภูมิใจไทย รวมไปถึง สุวัจน์ ลิปพัลลภ จากพรรครวมใจไทยชาติพัฒนา และ สุชาติ ตันเจริญ จากพรรคเพื่อแผ่นดิน เป็นต้น
สิ่งที่สังคมรังเกียจการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ เนื่องจากเห็นว่าเป็นแก้ไขเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองขี้โกง และเขี้ยวลากดินล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประโยชน์ของชาวบ้านเลยแม้แต่น้อย ที่สำคัญบางฉบับคือฉบับที่ พรรคเพื่อไทยและ ทักษิณ ชินวัตร อยู่เบื้องหลังก็คือส่อไปในทางละเมิดพระราชอำนาจ และคุกคามสถาบันองคมนตรีเสียอีก
แม้ว่าโดยข้อเท็จจริงแล้วรัฐธรรมนูญสามารถแก้ไขได้ แต่น่าจะให้เกียรติกับประชาชน เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่มักถูกกล่าวหาว่ามีที่มาจากเผด็จการ คมช.แต่ก็เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่ผ่านการรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายทั่วประเทศระหว่างการยกร่าง และยังได้ผ่านการลงประชามติเป็นครั้งแรก ดังนั้นหากจะแก้ไขก็ต้องถามประชาชนก่อน
ประเด็นคำถามก็คือบรรดานักการเมืองที่กำลังผลักดันให้แก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่นั้นมีสิทธิอะไรมาชี้นำการเคลื่อนไหว ทั้งที่เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ การผลักดันแก้ไขรัฐธรรมนูญของบรรดานักธุรกิจการเมืองเขี้ยวลากดินที่เห็นแก่ตัวเหล่านี้จะก่อให้เกิดวิกฤตการเมืองรอบใหม่ให้เกิดขึ้นมาอีกรอบ เพราะล่าสุดฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยคือ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเริ่มเคลื่อนไหวคัดค้านแล้ว เนื่องจากเห็นว่าการแก้ไขครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับประชาชน เป็นแค่ผลประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น
เริ่มจากมีการยื่นเรื่องของประธานวุฒิสภา ประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เพื่อแสดงตนขอถอดถอน ชัย ชิดชอบ ออกจากตำแหน่งประธานรัฐสภา เนื่องจากเห็นว่าจงใจทำผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงจะยื่นถอดถอนบรรดา ส.ส.ที่ร่วมลงชื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกด้วย
สิ่งที่จับตาก็คือ วิกฤตการเมืองที่ดำเนินมาอย่างยืดเยื้อ สาเหตุเป็นเพราะนักการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน โดยไม่สนใจความรู้สึกของประชาชน และที่ผ่านมาตั้งแต่พรรคพลังประชาชนเป็นรัฐบาล มี สมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีก็มีความพยายามแก้ไขเพื่อลบล้างความผิดให้กับ ทักษิณ ชินวัตร กับพวก ทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่
ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกันหากนักการเมืองยังไม่เลิกเห็นแก่ตัว ยังย่ำยีความรู้สึกของชาวบ้านและดึงดันจะแก้ไขให้ได้ โดยสมคบกับประธานรัฐสภาที่อาจจะหยิบยกเอาร่างแก้ไขที่คาอยู่ในสภาทั้งสองฉบับมาพิจารณาในอนาคตข้างหน้าก็จะกลายเป็นชนวนระเบิดรอบใหม่ ซึ่งคราวนี้น่าจะหนักกว่าเดิมหลายเท่า!!