ต้องมีการ "กลั่นกรอง" ทีมงานที่จะส่งไปดูแลความปลอดภัยให้กับ"กลุ่มเสี่ยง" ที่จะได้รับอันตรายเหล่านี้ด้วย ไม่ใช่ดันไปส่งพวก “ตำรวจแดง-ทหารแม้ว” ไปให้ เพราะขืนดันส่งคนเหล่านี้ไป แทนที่จะเป็นเรื่องดี ช่วยกันป้องกันสอดส่องไม่ให้เกิดเหตุร้าย กลับกลายเป็นกลับเป็นตรงกันข้าม คือ คอยรายงานความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ ให้พวกคนวางแผน สั่งการได้ทราบ แถมเปิดทางสะดวกให้
ขยับกันแล้วสำหรับฝ่ายกองทัพ กับท่าทีล่าสุดของ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ที่มีคำสั่งถึงทุกหน่วยขึ้นตรง เฝ้าระวัง “เหตุอันตรายการเมือง” ภายในประเทศ ในช่วง 3 วันอันตราย คือ 24 กุมภาพันธ์-27 กุมภาพันธ์ 2553
อันเป็นช่วงอันตรายก่อนและหลังวันตัดสินคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาท นช. ทักษิณ ชินวัตร ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นั่นคือในวันตัดสินคดี 26 ก.พ.53 และ หลังวันตัดสินคดีอีกหนึ่งวัน
โดยการให้ทหารช่วยฝ่ายตำรวจในการหาข่าว และช่วยดูแลความปลอดภัยบุคคลสำคัญและสถานที่สำคัญ เช่น องคมนตรี ผู้พิพากษา นายกรัฐมนตรี รวมถึงติดตามความเคลื่อนไหวของกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่จะทำการเคลื่อนไหวการเมืองในช่วงเวลานั้น
นี่ย่อมเป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่า แม้แต่ฝ่ายกองทัพ-ความมั่นคง ก็เริ่มได้กลิ่น ไม่สู้ดีแล้วว่า อาจเกิดเหตุรุนแรงทุกระดับขึ้นภายในประเทศในช่วงก่อน และหลังตัดสินคดียึดทรัพย์ ถึงได้เริ่มขยับออกมาช่วยตำรวจ และรัฐบาล ที่อาจรับมือไม่ไหว !
ยิ่งเมื่อล่าสุด ถึงขั้นที่ฝ่ายเพื่อไทย-เสื้อแดงโดย พลเอกพัลลภ ปิ่นมณี เปิดเผยระหว่างการเดินทางไปรับคำสั่งทักษิณ ชินวัตรที่ดูไบว่า
ภารกิจหลังจากกลับมาแล้ว จะจัดตั้ง “กองทัพประชาชนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” (กปช.) โดยให้ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย เป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด ของกองทัพประชาชน
โดยอ้างว่า เพื่อนำการต่อสู้ นำความสงบสุขและประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมา เพราะทนไม่ไหวกับสภาพบ้านเมือง
แค่นี้ก็เห็นแล้วว่า สงคราม “เสื้อแดง-ทักษิณ-เพื่อไทย” ครั้งนี้ เอากันถึงตาย !
ครั้นจะพึ่งหวังตำรวจดูแลความเรียบร้อย ก็ไม่เอาอ่าว ดูได้จากขณะนี้ตำรวจก็ยังดมกลิ่นตามตัว คนร้ายที่ปาถุงอุจจาระใส่บ้านพัก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ย่านสุขุมวิท 31 ยังไม่ได้
ขนาดบ้านพักผู้นำประเทศ ยังโดนขนาดนี้ ถูกมือดีปาอุจจาระ ก็ถือว่าร้ายแรงแล้ว เพราะเป็นการหยามกันชัดๆ แค่คนร้ายขี่มอเตอร์ไซด์คันเดียว ทำกันช่วงกลางวันแสกๆ ตำรวจยังงมโข่ง ทำอะไรไม่ได้ ระดมทีมสืบสวนฝีมือดีของนครบาลมาประชุมกันหลายรอบ ก็ยังไม่คืบหน้า
แค่ป่าวประกาศว่าได้เค้าคนร้ายแล้ว แต่ไม่เห็นจับเสียที
หากครั้งต่อไป เล่นระเบิดน้อยหน่า หรือยิงเอ็ม 79 เข้าใส่บ้านพักนายกรัฐมนตรี มีหวังตำรวจคงต้องเอาปี๊ปคุมหัวด้วยความอับอาย เพราะขนาดนายกรัฐมนตรี ผู้นำสูงสุดของประเทศ ยังดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้ไม่ได้ แล้วประชาชน ตาสีตาสา ธรรมดา จะไปหวังพึ่งอะไรตำรวจได้
เพราะไม่แน่ครั้งหน้าคนร้าย คนวางแผน คนสั่งการ อาจเล่นหนักกว่านี้ ถึงขั้นหวังเอาชีวิตนายกรัฐมนตรีก็เป็นไปได้!
จึงควรอย่างยิ่งที่ตำรวจ และทหาร จะต้องมีการดูแลความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน บ้านพัก-สถานที่ทำงานของกลุ่มบุคคลสำคัญ ที่มีความเสี่ยงต่อการลอบประทุษร้าย อย่างเข้มข้นในช่วงต่อจากนี้ เช่น ศาลฎีกาฯ องค์คณะตุลาการผู้พิจารณาสำนวนคดียึดทรัพย์ อดีตกรรมการ คตส. แกนนำฝ่ายอัยการที่คุมสำนวนคดียึดทรัพย์ และเป็นคนว่าความดำเนินคดีในชั้นศาลฎีกาฯ ตลอดถึงองคมนตรีทุกท่าน เพราะหลายคนในกลุ่มนี้ ก็ไม่ค่อยมีตำรวจ หรือมีคนดูแลความปลอดภัยให้ จึงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะของแบบนี้จะมาแก้ไขในภายหลังนั้นไม่ได้ หากถึงจุดคับขัน มีคำสั่งบัญชาการลับให้จัดการข่มขวัญ-ข่มขู่ กว่าจะเริ่มวางแผนรับมือ อาจสายเกินไป จึงควรแล้วที่ทหาร-ตำรวจ จะต้องมีการเตรียมการรับมือกันไว้แต่เนิ่นๆ
อย่างไรก็ตาม ก็ต้องมีการ ”กลั่นกรอง” ทีมงานที่จะส่งไปดูแลความปลอดภัยให้กับ “กลุ่มเสี่ยง” ที่จะได้รับอันตรายเหล่านี้ด้วย ไม่ใช่ดันไปส่งพวก
“ตำรวจแดง-ทหารแม้ว”
หรือพวกที่มีใจใฝ่ไปทางระบอบทักษิณ หรือหนุนหลังพวกป่วนบ้านเผาเมืองอย่างพวก นปช.-คนเสื้อแดง เพราะขืนดันส่งคนเหล่านี้ไป แทนที่จะเป็นเรื่องดี ช่วยกันป้องกันสอดส่องไม่ให้เกิดเหตุร้าย กลับเป็นตรงกันข้าม คือคอยรายงานความเคลื่อนไหวของคนกลุ่มนี้ ให้พวกคนวางแผน สั่งการได้ทราบ แถมเปิดทางสะดวกให้ เช่น การช่วยดูว่ามีกล้องวงจรปิดติดอยู่ที่ไหนบ้าง ในบ้านพัก หรือที่ทำงาน และจะต้องทำอย่างไรให้พ้นจากการถูกจับภาพได้ หรือส่งข้อมูลว่า ให้ลงมือนอกบ้าน ที่ทำงาน ตอนไหนสะดวก จะได้ไม่ต้องกังวลการถูกติดตามตัว หรือจับภาพได้
จนเปิดทางให้กลุ่มผู้วางแผน มีการส่งคนร้าย ไปทำการข่มขู่ด้วยวิธีการต่างๆ เช่นโยนระเบิดใส่บ้านพัก หรือปาอุจจาระใส่รถยนต์ ขณะขับจากที่ทำงานเพื่อกลับบ้านพัก
แบบนี้ แทนที่จะเป็นการช่วยป้องกันดูแลไม่ให้เกิดเหตุร้าย กลับกลายเป็นการส่ง คนร้าย ในคราบทหาร ตำรวจไปช่วยเคลียร์ทางสะดวกให้
มันก็บรรลัยกันหมด หากไม่คำนึงถึงข้อเตือนที่เรา-“ทีมข่าวการเมือง” แจ้งเตือนกันไว้
เพราะการข่าวปิดลับ ที่ทีมข่าวเรารู้มาก็คือ ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายๆ ปี 2552 ก่อนที่จะเกิดเหตุคนร้ายวางระเบิดบ้านพัก นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ที่มีบทบาทสำคัญในการสอบสวนและเอาผิดกับบิ๊กตำรวจ-การเมือง ในกรณี 7 ตุลาทมิฬ แต่ปรากฏว่าคนร้ายได้ข้อมูลผิด เพราะบ้านพักที่โดนปาระเบิด นายวิชาได้ขายไปแล้ว รวมถึงก่อนการวางระเบิดข่มขู่หน้าสำนักงานป.ป.ช. ถนนพิษณุโลก
ได้มีการส่งทีมตำรวจ ไปยังบ้านพักของบรรดาเหล่าอดีต คตส.-กรรมการป.ป.ช.เพื่อขอถ่ายภาพบ้านพักส่วนตัวทุกจุดโดยละเอียด เช่น มีทางเข้า-ทางออก ในบ้านกี่ทาง ถนนโดยรอบเป็นอย่างไรบ้าง สามารถตัดเชื่อมออกไปทางไหนได้บ้าง มีห้องพักกี่ห้องในบ้านพัก บันไดอยู่ตรงไหน กล้องโทรทัศน์วงจรปิดมีไหม ถ้ามีแล้วติดไว้ตรงไหนบ้าง ถ่ายภาพได้กว้างขนาดไหน โดยกรรมการคตส.รายหนึ่ง เห็นว่าบ้านพักเป็นเรื่องส่วนตัว ไม่ควรที่บุคคลภายนอกมารับรู้ จึงปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลกับตำรวจ และไม่ให้ถ่ายภาพ หรือทำแผนผังใดๆ ทั้งสิ้น
ซึ่งอดีต คตส. คนดังกล่าวยอมรับว่า ลึกๆที่ไม่ให้ความร่วมมือดังกล่าว เพราะก็ไม่ไว้ใจ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใคร คนที่ได้ข้อมูลไป พอได้ไปแล้วจะเอาไปให้ผู้บังคับบัญชาระดับไหน หรือส่งให้ตำรวจกองบังคับการไหนบ้าง แล้วจะมีการส่งต่อไปถึงใครบ้าง
เพราะขนาดข้อมูลส่วนบุคคล เช่น ที่ตั้งบ้านพักของกรรมการป.ป.ช. ซึ่งก็เป็นข้อมูลในทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง ซึ่งมีไว้ให้กับหน่วยงานด้านความมั่นคงได้มีพาสเวิรด์ส่วนตัวเข้ามาดูเพื่อใช้งานกรณีจำเป็น โดยเฉพาะตำรวจ เพื่อช่วยในการสอบสวนติดตามคดีความต่างๆ ไม่ใช่ข้อมูลที่จะเข้ามาดูกันเล่นๆได้
ก็ยังพบว่าในช่วงก่อนเกิดเหตุคนร้ายปาระเบิดใส่บ้านพักหลังเก่าของนายวิชา มหาคุณ มีตำรวจสันติบาลเข้าไปดูข้อมูลที่ตั้งบ้านพักดังกล่าว ซึ่งเข้าใจว่ายังไม่ได้มีการแจ้งการย้ายชื่อเข้าออก กับสำนักงานเขต จึงทำให้ข้อมูลยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง คนร้ายจึงเข้าใจผิด คิดว่าเป็นบ้านพักของนายวิชา มหาคุณ จึงโยนระเบิดผิดบ้าน
โดยอดีตกรรมการ คตส. ดังกล่าวเปิดเผยว่า แต่เท่าที่รู้ก็มีหลายคนให้ความร่วมมือ ซึ่งก็เป็นเรื่องสิทธิในการตัดสินใจของแต่ละคน แต่สำหรับอดีตคตส. คนนี้บอกว่า ยากที่ไว้ใจใครได้ในเรื่องแบบนี้ โดยเฉพาะ“คนสีกากี” !
ทั้งหมด “ทีมข่าวการเมือง” ขอกระตุกเตือนไปยังผู้รับผิดชอบต่อความมั่นคง และการดูแลความเรียบร้อย ความสงบสุขภายในประเทศ ว่า อย่าได้ประมาทกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ต่อจากนี้ต้องเฝ้าระวังทุกเรื่อง หาข่าวให้เข้มข้น และเจาะลึก โดยเฉพาะเป้าประสงค์ของผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองว่าต้องการอะไร คิดจะทำอะไร และจะลงมือแบบไหน
เพราะหากคนทำหน้าที่อย่างสุจริต ตรงไปตรงมา ไม่ได้ทำอะไรผิด คิดชั่วกับคนอื่นและสังคม แต่กลับไม่ได้รับการปกป้องดูแลจากเจ้าหน้าที่รัฐ จนถูกข่มขู่ ข่มขวัญ แม้คนเหล่านี้จะมีจิตใจอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว หรือหวาดกลัว แต่ก็อาจทำให้ใจเสียได้ หากเห็นว่ารัฐไม่เหลียวแลดูแลชีวิต และทรัพย์สิน โดยเฉพาะในยามที่สถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน จึงควรที่ทุกฝ่ายต้องปกป้องดูแลความปลอดภัยให้พวกเขา และทำให้เขามั่นใจว่า ไม่มีอันตรายใดๆจะมาย่างกรายได้ หากยึดมั่นในความสุจริต และการทำหน้าที่อย่างซื่อตรง
ขณะเดียวกัน ไม่ใช่ว่าไปตื่นตัวกับข่าวลือข่าวปล่อยทุกเรื่องแบบนั้น ก็ไม่ไหว จะกลายเป็นตกหลุมพรางคนร้าย ที่สร้างเป้าหลอก จนละเลยการป้องกันเป้าจริง
อีกทั้งก็ต้องตรวจสอบตรวจตรา คนในด้วยกันเองด้วยว่า มีใครเป็นไส้ศึก หรือคอยส่งข่าวให้กับฝ่ายวางแผนสร้างสถานการณ์หรือไม่ เพราะต้องยอมรับความจริงว่า คนกลุ่มนี้มีกองกำลังที่เป็นพรรคพวก ลูกน้องเก่า แทรกซึมอยู่ในทุกหน่วย ตั้งแต่ฝ่ายปกครอง-ทหาร-ตำรวจ ที่พร้อมทำงานรับใช้คนกลุ่มนี้ เพื่อแลกกับผลประโยชน์บางอย่างในภายหลัง
พวกนี้แหละ อ.ต.ร.ไอ้ตัวร้ายของจริง