ล่าสุดนักการเมืองที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง อย่างเช่น บรรหาร ศิลปอาชา เนวิน ชิดชอบ สมศักดิ์ เทพสุทิน สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นต้น แต่กลับมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหวังจะคลายกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดกับพวกเขา
นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระบรมราโชวาทกับคณะรัฐมนตรีใหม่จำนวน 5 คน ที่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณตนก่อนการปฏิบัติหน้าที่เมื่อเย็นวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา อันประกอบด้วย ไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกรัฐมนตรี ชินวรณ์ บุณยเกียรติ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สุชาติ โชคชัยวัฒนากร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และ พรรณศิริ กุลนาถศิริ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งพระองค์ทรงเน้นย้ำให้ทำตามคำปฏิญาณตน “ให้ทำได้จริง”
นับเป็นพระมหากรุณาเป็นล้นพ้นที่ทรงห่วงใยบ้านเมือง แม้ยังทรงประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ยังอยู่ในช่วงพักฟื้นพระวรกาย ขอพระองค์ทรงพระเจริญ!!
ที่ผ่านมาหากสังเกตให้ดีพระบรมราโชวาทในระยะหลังมักจะทรงเน้นย้ำในเรื่องของความซื่อสัตย์สุจริตและให้ยึดมั่นในคำที่ถวายสัตย์ปฏิญาณ ซึ่งหากจะกล่าวกันแบบชาวบ้านทั่วไปก็คือ “อย่าผิดคำพูด” นั่นเอง
อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมากลับกลายเป็นว่าบ้านเมืองที่เกิดความวุ่นวายอย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้ สาเหตุสำคัญมาจากเรื่องที่นักการเมืองและข้าราชการระดับสูงบางส่วนที่มีตำแหน่งสำคัญล้วนไม่ซื่อสัตย์ ทุจริตฉ้อฉลและไม่เคารพกฎหมายและเจตนารมณ์ของกฎหมาย
หากพิจารณาให้ดีสาเหตุของการเดินขบวนขับไล่ ทักษิณ ชินวัตร และคณะตั้งแต่ปี 2548 เรื่อยมาก็ล้วนมาจากปัญหาการทุจริตทั้งสิ้น หลังจากที่เขาได้บิดเบือนและทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชนที่เคยทุ่มเทความศรัทธาให้ไว้อย่างเต็มเปี่ยม ไม่ใช่เป็นเพราะความ “อิจฉาริษยา” อย่างที่พยายามบิดเบือนแต่อย่างใด
เพราะหากเขาไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ทุจริตเชิงนโยบาย แต่งตั้งเครือญาติพวกพ้องให้ไปยึดกุมอำนาจในหน่วยงานราชการที่สำคัญในลักษณะของการสืบทอดอำนาจ หรือกรณีการขายหุ้น 73,000 ล้านบาทแล้วใช้วิธีซิกแซกโดยไม่ยอมเสียภาษีทำให้ความอดทนของประชาชนขาดผึงทำให้ต้องออกมาขับไล่เขาออกไปในที่สุด
ต่อมาถูกดำเนินคดีในข้อหาทุจริตอีกหลายคดี บางคดีถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุกในคดีที่ดินรัชดา 2 ปี แต่ ทักษิณ ก็ไม่ยอมรับคำตัดสินอ้างว่าไม่ยุติธรรม ถูกกลั่นแกล้ง และใช้มวลชนเครือข่ายที่ยังหลงเชื่อเคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจใหม่ เปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่ กลับกลายเป็นว่าปัญหาการทุจริตคอรัปชั่นกลับไม่ได้ลดลง หรือไม่ได้ถูกนำมาเป็นบทเรียน ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่เปลี่ยนคนโกงคนใหม่บางกลุ่มเข้าไปแทนที่เท่านั้น ซึ่งตัวอย่างที่เห็นเป็นรูปธรรมก็คือการทุจริตในกระทรวงสาธารณสุข ที่มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นมาและมีผลสรุปออกมาว่ามีการทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้างตามโครงการไทยเข้มแข็ง และกรณีที่เกิดขึ้นทำให้อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารสุข วิทยา แก้วภารดัย และ รัฐมนตรีช่วยว่าการฯ มานิต นพอมรบดี ต้องลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบ และกำลังจะมีการสอบสวนกันขนานใหญ่
หรือก่อนหน้านี้มีการทุจริตในโครงชุมชนพอเพียง รวมไปถึงความพยายามในการทุจริตจากโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน หรือแม้กระทั่งโครงการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่อีกหลายโครงการ ซึ่งแม้ว่าในเวลานี้ยังไม่เกิดการทุจริตอย่างชัดเจน แต่ก็มีการจับตามองกันว่าเป็นการตั้งโครงการขึ้นมาเพื่อหาผลประโยชน์จากค่านายหน้ากินค่าหัวคิว เช่นโครงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิในเฟส 2 มูลค่ากว่า7หมื่นล้านบาท
นอกจากนี้ ยังไม่เคารพเจตนารมณ์ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ กรณีพยายามหักล้างมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ป.ป.ช.ที่ชี้มูลความผิดร้ายแรงกต่อ 3 นายพลตำรวจ คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในความผิดจากการปราบปรามประชาชนในเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 และ พล.ต.ต.เพิ่มศักดิ์ ภราดรศักดิ์ อดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดอุดรธานี โดยคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.) ที่มี สุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯที่ได้รับมอบอำนาจจากนายกฯเป็นประธานได้มีมติรับคำอุทธรณ์ของนายตำรวจดังกล่าวให้กลับเข้ารับราชการ ทั้งที่เป็นมติที่ฝ่าฝืนคำสั่งของ ป.ป.ช.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ
แต่คนกลุ่มนี้ก็ไม่สนใจยังคงตะแบงยื่นเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ ทั้งที่เคยมีบรรทัดฐานปรากฎชัดเจนมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งแม้แต่นายกรัฐมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดไม่เห็นด้วยและสั่งให้ ก.ตร.ทบทวนมติใหม่ก็ยังไม่เป็นผล ซึ่งกรณีดังกล่าวถือได้ว่าน่าเศร้าเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรบริหารของฝ่ายตำรวจจะต้องเป็นผู้อำนวยความยุติธรรมกับประชาชนในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เป็นผู้รักษากฎหมาย แต่กลับไม่รู้สำนึกรับผิดชอบต่อผลที่ตัวเองกระทำลงไป ยังมีความพยายามปกป้องพวกเดียวกันเองอย่างหน้าตาเฉย
หรือล่าสุด นักการเมืองที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง อย่างเช่น บรรหาร ศิลปอาชา เนวิน ชิดชอบ สมศักดิ์ เทพสุทิน สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เป็นต้น แต่กลับมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อหวังจะคลายกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดกับพวกเขา
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่ในยุครัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลใหม่ ปัญหาการทุจริตยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไม่ได้ลดลงเลย แม้ว่าในความเป็นจริงอีกด้านต้องยอมรับว่าผู้นำรัฐบาลคือ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะมีท่าทีเอาจริงเอาจังในการป้องกันทุจริตก็ตาม แต่การไม่เคารพกฎหมายยังคงมีให้เห็นตำตาอยู่เสมอ
เมื่อสภาพการณ์ยังเป็นแบบนี้ เชื่อได้ว่าความวุ่นวายในบ้านเมืองก็ยังต้องดำเนินอยู่ต่อไป เนื่องจากเงื่อนไขสำคัญคือการทุจริต-ไม่เคารพกฎหมายไม่ได้ถูกขจัดให้เบาบางลงไป!!