นายกรัฐมนตรีมอบนโยบายบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ โวอนุมัติแล้ว 4,500 โครงการ กว่า 1.8 หมื่นล้าน แนะวางแผนพัฒนาพื้นที่ จ่อจัดประชาคมเศรษฐกิจพอเพียง ปลายเดือนนี้
วันนี้ (18 ม.ค.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ในการประชุมเชิงปฏิบัติการการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัด สู่การปฏิบัติตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันนี้รัฐบาลมีความตระหนักถึงความสำคัญในการกระจายอำนาจให้แก่ส่วนท้องถิ่นเป็นอย่างมาก แต่ต้องยอมรับว่ากลไกที่จะใช้แก้ไขปัญหายังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ดังนั้น การทำงานในลักษณะดังกล่าวอาจจะได้ผลในบางพื้นที่หรือบางช่วง แต่ก็ยังไม่เป็นระบบเท่าที่ควร
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ปีงบประมาณ 52-53 นี้ มีความพยายามเริ่มต้นกระบวนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัด แต่เนื่องจากยังขาดความชัดเจนด้านกฎหมาย กฎระเบียบ รวมทั้งเวลาที่ไม่มีเวลาเพียงพอในการจัดการงบประมาณจึงทำให้เดินหน้าไปได้ ไม่ดีเท่าที่ควร แต่อย่างไรก็ตามยังถือว่ายังเดินหน้าไปได้ เพราะฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดทำงบประมาณก็มีความเข้าใจว่า ต้องปฏิบัติตามแผนของกลุ่มจังหวัดและจังหวัด
“ตอนนี้อนุมัติโครงการไปแล้ว 4,500 โครงการ ใช้งบประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท คาดว่าในปีงบประมาณ 54 จะใช้ตัวเลขในยอดรวมที่ใกล้เคียงกับตัวเลขที่ผ่านมา โดยสิ่งที่อยากเน้นย้ำคือความเข้าใจที่ตรงกันในเรื่องวิธีการและหลักคิดใน การจัดทำงบประมาณส่วนนี้” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ยังได้กล่าวถึงหลักคิดในการทำงบประมาณว่า โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะปรากฏอยู่ในแผนของกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งจะมีการอนุมัติทั้งจากงบประมาณปกติและเงินกู้ไทยเข้มแข็ง ทั้งนี้ ทราบว่าความต้องการของท้องถิ่นมีมาก แต่อย่างไรก็ดี การจัดสรรงบประมาณในส่วนนี้จะหมายถึงการบริหารพื้นที่หรือ กลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ คือการบริหารที่มียุทธศาสตร์ไม่ใช่เพียงเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน
“หลักคิดที่สำคัญที่สุด คือ ทุกกลุ่มจังหวัดจะมีความต้องการ คิดจากกลุ่มจังหวัดก่อนว่าภาพที่ชัดเจนของแต่ละภาคแต่ละกลุ่มมียุทธศาสตร์ การพัฒนาอย่างไร วางตำแหน่งของพื้นที่ตัวเองว่าจะมีการเจริญก้าวหน้าอย่างไร และใช้ตัวนั้นเป็นหลักในการคิดว่าจะมีโครงการอะไรไปเสริมจากการลงทุนจากงบ ประมาณปกติ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่ออีกว่า การจัดทำโครงการนั้น 1.ต้องบังคับตัวเองให้ออกจากกรอบของการจัดการงบประมาณแบบปกติ 2.ต้องเชื่อมโยงโครงการมายังยุทธศาสตร์ของท้องถิ่น โดยมีการปรึกษาหารือกับทุกฝ่ายทั้งประชาชน เอกชน และผู้ที่ได้รับส่วนได้ส่วนเสีย สำหรับสถานการณ์ที่จะต้องตระหนักเป็นพิเศษนั้น นายอภิสิทธิ์ วิเคราะห์ว่า 1.สภาพความเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค โดยต้องทำยุทธศาสตร์ที่ตอบโจทย์กับประโยชน์ที่จะได้รับจากการเชื่อมโยงกับ ประเทศเหล่านั้น 2.การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยในส่วนของภาคเกษตรกรรมนั้นจะต้องคิดไปไกลถึงการแปรรูป ระบบโลจิสติกส์ ส่วนภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยง จะผลักดันเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์คือการดึงเอาทุนทางสังคม อาทิ ภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรม มาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ตนมองถึงการวิเคราะห์ต่อไปถึงสถานการณ์ที่ 3 คือ สภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน ซึ่งในหลายประเทศมีความตื่นตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งเริ่มมีการกำหนดประเด็นด้านภูมิอากาศมาเป็นเงื่อนไขในการค้าการลงทุนด้วย ดังนั้น ในแต่ละพื้นที่ควรนำประเด็นนี้มาเชื่อมโยงกับสองประเด็นข้างต้น ทั้งนี้ มองว่าอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังจะมีการเติบโตและเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งประเทศไทยถือว่าได้เปรียบและมีโอกาสรวมถึงลู่ทางมาก
“ประเด็นสุดท้ายในเชิงทิศทางนโยบาย คือ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง โดยปลายเดือนนี้มีการทำประชาคมทั้งประเทศเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้นับเป็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ด้วย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งหมดถือว่ามีบทบาทสำคัญในการระดมความร่วมมือได้ดี ที่สุด จึงต้องปฏิบัติงานอย่างเต็มที่” นายอภิสิทธิ์กล่าว
วันนี้ (18 ม.ค.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวมอบนโยบายการบริหารงานจังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ในการประชุมเชิงปฏิบัติการการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัด สู่การปฏิบัติตอนหนึ่งว่า ปัจจุบันนี้รัฐบาลมีความตระหนักถึงความสำคัญในการกระจายอำนาจให้แก่ส่วนท้องถิ่นเป็นอย่างมาก แต่ต้องยอมรับว่ากลไกที่จะใช้แก้ไขปัญหายังไม่ได้รับการพัฒนาเท่าที่ควร ดังนั้น การทำงานในลักษณะดังกล่าวอาจจะได้ผลในบางพื้นที่หรือบางช่วง แต่ก็ยังไม่เป็นระบบเท่าที่ควร
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ปีงบประมาณ 52-53 นี้ มีความพยายามเริ่มต้นกระบวนการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัด แต่เนื่องจากยังขาดความชัดเจนด้านกฎหมาย กฎระเบียบ รวมทั้งเวลาที่ไม่มีเวลาเพียงพอในการจัดการงบประมาณจึงทำให้เดินหน้าไปได้ ไม่ดีเท่าที่ควร แต่อย่างไรก็ตามยังถือว่ายังเดินหน้าไปได้ เพราะฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งเกี่ยวข้องกับการจัดทำงบประมาณก็มีความเข้าใจว่า ต้องปฏิบัติตามแผนของกลุ่มจังหวัดและจังหวัด
“ตอนนี้อนุมัติโครงการไปแล้ว 4,500 โครงการ ใช้งบประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท คาดว่าในปีงบประมาณ 54 จะใช้ตัวเลขในยอดรวมที่ใกล้เคียงกับตัวเลขที่ผ่านมา โดยสิ่งที่อยากเน้นย้ำคือความเข้าใจที่ตรงกันในเรื่องวิธีการและหลักคิดใน การจัดทำงบประมาณส่วนนี้” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ยังได้กล่าวถึงหลักคิดในการทำงบประมาณว่า โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะปรากฏอยู่ในแผนของกระทรวง ทบวง กรม ซึ่งจะมีการอนุมัติทั้งจากงบประมาณปกติและเงินกู้ไทยเข้มแข็ง ทั้งนี้ ทราบว่าความต้องการของท้องถิ่นมีมาก แต่อย่างไรก็ดี การจัดสรรงบประมาณในส่วนนี้จะหมายถึงการบริหารพื้นที่หรือ กลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ คือการบริหารที่มียุทธศาสตร์ไม่ใช่เพียงเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของประชาชน
“หลักคิดที่สำคัญที่สุด คือ ทุกกลุ่มจังหวัดจะมีความต้องการ คิดจากกลุ่มจังหวัดก่อนว่าภาพที่ชัดเจนของแต่ละภาคแต่ละกลุ่มมียุทธศาสตร์ การพัฒนาอย่างไร วางตำแหน่งของพื้นที่ตัวเองว่าจะมีการเจริญก้าวหน้าอย่างไร และใช้ตัวนั้นเป็นหลักในการคิดว่าจะมีโครงการอะไรไปเสริมจากการลงทุนจากงบ ประมาณปกติ” นายอภิสิทธิ์กล่าว
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่ออีกว่า การจัดทำโครงการนั้น 1.ต้องบังคับตัวเองให้ออกจากกรอบของการจัดการงบประมาณแบบปกติ 2.ต้องเชื่อมโยงโครงการมายังยุทธศาสตร์ของท้องถิ่น โดยมีการปรึกษาหารือกับทุกฝ่ายทั้งประชาชน เอกชน และผู้ที่ได้รับส่วนได้ส่วนเสีย สำหรับสถานการณ์ที่จะต้องตระหนักเป็นพิเศษนั้น นายอภิสิทธิ์ วิเคราะห์ว่า 1.สภาพความเชื่อมโยงระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้านและภูมิภาค โดยต้องทำยุทธศาสตร์ที่ตอบโจทย์กับประโยชน์ที่จะได้รับจากการเชื่อมโยงกับ ประเทศเหล่านั้น 2.การสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยในส่วนของภาคเกษตรกรรมนั้นจะต้องคิดไปไกลถึงการแปรรูป ระบบโลจิสติกส์ ส่วนภาคอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยง จะผลักดันเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์คือการดึงเอาทุนทางสังคม อาทิ ภูมิปัญญา ศิลปวัฒนธรรม มาสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ
นายอภิสิทธิ์กล่าวต่อว่า ตนมองถึงการวิเคราะห์ต่อไปถึงสถานการณ์ที่ 3 คือ สภาพภูมิอากาศและภาวะโลกร้อน ซึ่งในหลายประเทศมีความตื่นตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งเริ่มมีการกำหนดประเด็นด้านภูมิอากาศมาเป็นเงื่อนไขในการค้าการลงทุนด้วย ดังนั้น ในแต่ละพื้นที่ควรนำประเด็นนี้มาเชื่อมโยงกับสองประเด็นข้างต้น ทั้งนี้ มองว่าอุตสาหกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมกำลังจะมีการเติบโตและเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งประเทศไทยถือว่าได้เปรียบและมีโอกาสรวมถึงลู่ทางมาก
“ประเด็นสุดท้ายในเชิงทิศทางนโยบาย คือ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง โดยปลายเดือนนี้มีการทำประชาคมทั้งประเทศเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้นับเป็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์จังหวัดและกลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ ด้วย โดยผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งหมดถือว่ามีบทบาทสำคัญในการระดมความร่วมมือได้ดี ที่สุด จึงต้องปฏิบัติงานอย่างเต็มที่” นายอภิสิทธิ์กล่าว