“ผ่าประเด็นร้อน”
ในที่สุด ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ก็ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีอายัดทรัพย์ของ “ทักษิณ ชินวัตร” จำนวน 7.6 หมื่นล้านบาท ที่ถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ จากการใช้อำนาจในทางมิชอบ เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจของตัวเองและครอบครัวระหว่างที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนานกว่า 5 ปี โดยศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ.เวลาบ่ายโมงตรง
ก่อนหน้านี้ ศาลได้นัดไต่สวนพยานเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 12 ม.ค. ซึ่งเป็นบุคคลที่น่าสนใจคือ สิทธิชัย โภคัยอุดม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ (ไอซีที) และ สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ จากทีดีอาร์ไอ รวมไปถึงบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) และจากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ซึ่งหากได้เห็นสรุปความจากเนื้อข่าวที่รายงานเข้ามาจะพบว่าการเบิกความของแต่ละคนได้มัด ทักษิณ แน่นหนา
เป็นการใช้การใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ฉ้อฉล และเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจในเครือข่ายของตัวเองอย่างชัดเจน ซึ่งสัญญาณที่น่าสนใจอีกอย่างก็ศาลได้ยกเลิกการไต่สวนพยายนเพิ่มเติมในวันที่ 14 ม.ค.และให้คู่ความแถลงปิดคดีด้วยลายลักษณ์อักษรภายใน 30 วัน แล้วนัดพิพากษาในวันที่ 26 ก.พ.ทันที
แม้ไม่อาจก้าวล่วง แต่ก็อาจเป็นเพราะทุกอย่างชัดเจนพร้อมมูลแล้ว อีกทั้งพยายนที่เข้าเบิกความดังกล่าวก็เป็นการเพิ่มเติมเข้ามาเพื่อความรอบคอบป้องกันข้อครหา ตามที่ฝ่ายทักษิณ ที่พยายามระบุกันล่วงหน้าในทำนองว่ามีการตั้งธงเอาไว้แล้ว รู้ว่าจะมีการพิพากษากันในวันนั้นวันนี้ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ต้องพิจารณากันต่อมาก็คือ เมื่อมีการกำหนดวันพิพากษากันออกมาแล้ว ฝ่าย ทักษิณ จะดำเนินการอย่างไรต่อไป จะนั่งรอลุ้นวันชี้ชะตากันเฉยๆ หรือว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะถึงวันนั้นหรือไม่ และถ้าจะทำจะทำอย่างไร
หลายคนได้ประเมินเอาไว้ล่วงหน้านานแล้วว่า ทักษิณต้องก่อเหตุก่อนที่จะถึงวันพิพากษา เพื่อล้มกระดานให้ได้ เพราะพิจารณาจากสัญญาณรู้กันอยู่แล้วว่าจะดำเนินการให้เสร็จสิ้นภายในเดือนมกราคมหรืออย่างช้าไม่เกินกลางเดือน ก.พ. ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้เริ่มชิมลางในเรื่องการไล่บี้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี เพื่อคืนที่ดินที่ครอบครองโดยมิชอบที่บริเวณเขายายเที่ยง เป็นการเคลื่อนไหวนำร่องของ “คนเสื้อแดง” เป็นงานแรก
ส่วนงานใหญ่คราวต่อไปที่มีการจองกฐินกันล่วงหน้าก็คือ พรรคเพื่อไทยได้รับคำสั่งให้ถอดเสื้อแดงแล้วใส่สูทย้ายเข้าสภาเพื่อถล่มรัฐบาลในญัตติซักฟอกในช่วงเปิดสภาสมัยสามัญที่กำหนดขึ้นในปลายเดือนนี้ ซึ่งแม้เป้าหมายเพื่อโค่นล้มรัฐบาล แต่ปัญหาใหญ่ก็คือจนถึงบัดนี้พรรคเพื่อไทยยังไม่สามารถหาบุคคลมาเป็นผู้นำพรรคฝ่ายค้านได้เลย ขณะเดียวกันในทางกฎหมายก็บังคับเอาไว้ว่าเมื่อยื่นญัตติซักฟอกและถอดถอนนายกรัฐมนตรีก็ต้องเสนอชื่อนายกฯคนใหม่ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งก็เกิดคำถามว่าจะเอาใครเป็นแคดิเดตนายกฯคนใหม่
แต่ถึงอย่างไรเชื่อว่า การซักฟอกรัฐบาลจะต้องเกิดขึ้น ส่วนจะทำพร้อมๆกันไปกับการเคลื่อนไหวนอกสภาของ “คนเสื้อแดง” แบบสองแรงบวกหรือไม่ ฝ่ายทักษิณ คงต้องพิจารณากันอย่างถี่ถ้วนแน่นอน เพราะอย่างที่บอกตั้งแต่แรกก็คือเป้าหมายหลักก็คือต้องการให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ แต่ตามกฎหมายก็มีข้อกำหนดเอาไว้เช่นเดียวกันว่าระหว่างที่ยื่นซักฟอกอยู่นั้นห้ามไม่ให้นายกฯชิงยุบสภาหนีไปก่อน
ดังนั้น เชื่อว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงจะต้องเกิดขึ้นก่อนหรือหลังการซักฟอก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นการรุกรบขั้นแตกหัก เหมือนกับการทุ่มกำลังครั้งสุดท้ายไม่แพ้ก็ชนะอย่างที่แกนนำบางคนได้เคยประกาศเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
นั่นเป็นความมุ่งมั่นของ “ทักษิณ” และเครือข่ายที่จะต้องทำทุกทางเพื่อล้มกระดาน และเชื่อว่าเป้าหมายเฉพาะหน้าน่าจะเหลือแค่กดดันให้ยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่เท่านั้น หรืออย่างมากก็คงต้องการให้เกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย “พฤษภาทมิฬ” แล้วมีการไกล่เกลี่ยนิรโทษความผิดให้กับทุกฝ่าย แต่ทั้งสองอย่างคงจะเกิดขึ้นได้ยาก
เนื่องจากรัฐบาลโดยเฉพาะ นายกรัฐมนตรี อภสิทธิ์ เวชชาชีวะ กำลังเริ่มกุมสภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในแง่ของเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว พืชผลทางการเกษตรแทบทุกตัวกำลังราคาดี ไม่ว่าจะเป็น ข้าวหรือยางพารา ประเภทที่เคยโม้เอาไว้ว่า ทักษิณ ทำให้ยางราคากิโลละ 100 บาทนั้นก็ไม่จริงเพราะเชื่อว่าอีกไม่นานในยุคอภิสิทธิ์ ราคายางกำลังไต่ไปถึงและมีแนวโน้มอาจขึ้นไปสูงกว่าเสียอีก เมื่อทุกอย่างกำลังฟื้นตัว ก็คงไม่มีไครอยากทำลายบรรยากาศ
ที่สำคัญก็คือ บรรดาพรรคร่วมทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนระดับ “เขี้ยวลากดิน” ยังไม่มีความพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง และการเป็นรัฐบาลได้ใช้งบประมาณก็เป็นยอดปราถนาอยู่แล้วจะไปเสี่ยงทำไม นอกจากนี้การทุจริตก็ไม่ถึงกับโจ๋งครึ่ม และดูท่าทีของนายกฯก็เอาจริงเอาจัง
ดังนั้น นาทีนี้แม้ว่า ทักษิณ จะพยายามดิ้นรนเพื่อให้ยุบสภา แต่ในสถานการณ์ความเป็นจริงแล้วยังไม่น่าเป็นไปได้ ส่วนจะปลุกม็อบเสื้อแดงออกมาป่วนก่อนคำพิพากษาคดียึดทรัพย์ ก็เชื่อว่าในสถานการณ์ที่คนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย ก็คงปลุกไม่ขึ้น เพราะสังคมรู้ทัน ขณะเดียวกันเมื่อหันไปดูความเคลื่อนไหวของฝ่าย “อำมาตย์” ก็ยังแพ็กกับกองทัพกันแน่น
เมื่อพิจารณาจากทุกองค์ประกอบแล้วทุกอย่างไม่เป็นใจ และสำหรับ ทักษิณ ชินวัตร อาจจะจบแล้วจริงๆ!!