"ผ่าประเด็นร้อน"
แม้จะได้รับคำยืนยันจากนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ว่าการเข้าพบ “ป๋าเปรม” พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษเมื่อเย็นวันที่ 13 ม.ค.เป็นแค่การเข้าไปกราบเพื่ออวยพรปีใหม่ และได้รับพรกลับมาให้กำลังใจในเรื่องการบริหารบ้านเมืองให้ยึดความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ตั้ง ไม่มีอะไรนอกเหนือจากนี้เป็นพิเศษ ทั้งในเรื่องของที่ดินเขายายเที่ยง หรือที่ดินเขาสอยดาวที่กำลังจะถูกนำมาขยายผลทางการเมือง รวมไปถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือการยุบสภาใดๆ ทั้งสิ้น
พร้อมทั้งย้ำว่าข่าวที่รายงานออกมาว่ามีการพูดคุยกันในเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไม่เป็นความจริงและไม่จำเป็นต้องชี้แจงกับใครเพราะไม่เป็นความจริง หากจะชี้แจงก็คงเป็นหน้าที่ของสื่อเองเพราะเป็นฝ่ายที่นำเสนอไปเอง
ฟังจากคำพูดดังกล่าวของนายกฯถือว่า ไม่ธรรมดา และนี่แหละคือสาเหตุที่คนอย่าง “ทักษิณ ชินวัตร” หนักใจที่สุด และไม่อยากให้อยู่ในเก้าอี้ผู้นำได้นาน เพราะหากให้พูดกันแบบตรงๆก็ถือว่า “รอบจัดครบเครื่อง” ของจริง
ก็ต้องบอกว่าในสถานการณ์คุกรุ่น เชื่อว่าแค่ นายกฯ อภิสิทธิ์ นั่งรถผ่านหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ก็ถูกจับตาแทบไม่กระพริบกันแล้ว แต่นี่เข้าพบหารือกันนานค่อนชั่วโมงเป็นใครก็ต้องหูผึ่งกันเป็นแถว ที่ต้องบอกแบบนี้ก็เป็นเพราะทั้งสองฝ่ายถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในบ้านเมืองยุคนี้
ขณะเดียวกันเพื่อให้เห็นภาพรวมก็ต้องพิจารณาจากความเคลื่อนไหวบางอย่างตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วเพื่อมาเชื่อมโยงกับปัจจุบันและเชื่อว่าจะต่อเนื่องไปถึงอนาคต ทุกอย่างล้วนสัมพันธ์กัน ดังนั้นการพบกันของบุคคลสำคัญทั้งสองดังกล่าวแม้ว่าไม่จำเป็นต้องไปรับรู้ถึงเนื้อหาการสนทนา แต่มันก็มีความหมายโดยนัยทางการเมืองให้ทุกฝ่ายได้เห็นอยู่แล้ว
หากย้อนกลับไปเมื่อช่วงปลายเดือน ธ.ค.ปีที่แล้วที่มีบรรดาขุนทหารตบเท้าเข้าอวยพรปีใหม่ พล.อ.เปรม กันอย่างพร้อมหน้าเป็นปีแรก พร้อมทั้งเน้นย้ำให้ทุกคนยึดมั่นในพระราชดำรัสในเรื่องการทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ที่น่าสังเกตก็คือเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ พล.อ.เปรม สวมเครื่องแบบทหาร ซึ่งถูกมองว่านี่คือวาระ “พิเศษ” เป็นการส่งสัญญาณพร้อมรบกับ “ระบอบทักษิณ” ที่ประกาศสงครามกับ “อำมาตย์”
อย่างไรก็ดีเมื่อพิจารณาสถานการณ์เรื่อยมาจนถึงบัดนี้ ที่ ทักษิณ ได้สั่งการให้ “คนเสื้อแดง” เคลื่อนไหวเพื่อสร้างความปั่นป่วนทั้งในและนอกสภา โดยเฉพาะก่อนถึงวันพิพากษาคดียึดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบาทในวันที่ 26 ก.พ. ขณะที่ในสภานั้นอีกไม่นานคือหลังจากเปิดสภาสมัยสามัญวันที่ 21 ม.ค.ก็จะมีการยืนญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลทั้งคณะทันที
ทำให้ประเมินตรงกันว่าเป็นการเคลื่อนไหวเพื่อกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมาให้ได้ไม่ว่าจะเป็นทางใดทางหนึ่ง เช่นรัฐประหารล้มกระดานแล้วนับหนึ่งใหม่โดยการนิรโทษกรรมความผิด หรือเมื่อเกิดเหตุรุนแรงแบบ “พฤษภาทมิฬ” แล้วมีการไกล่เกลี่ยเลิกแล้วต่อกันรวมไปถึง ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ส่วนจะเป็นไปได้แค่ไหนนั้นค่อยมาว่ากันอีกทีหนึ่ง
วกกลับมาที่เรื่องการเข้าพบ พล.อ.เปรม ของ นายกฯ อภิสิทธิ์ มันก็ดันอยู่ในช่วงสถานการณ์มรสุมกำลังเริ่มตั้งเค้าพอดี และบังเอิญว่าบุคคลสำคัญในสถาบันองคมนตรีบางคนกำลังตกเป็นเป้าโจมตีอย่างหนัก เริ่มตั้งแต่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่กำลังมีปัญหาครอบครองที่ดินบนเขายายเที่ยงโดยมิชอบเป็นประเดิมมาตั้งแต่ต้นปีใหม่ และเป้าหมายต่อไปของคนเสื้อแดงก็คือที่ดินสนามกอล์ฟบนเขาสอยดาว จังหวัดจันทร์บุรี ซึ่งหากพูดกันอย่างตรงไปตรงมาก็เพื่อต้องการเชื่อมโยงไปให้ถึง พล.อ.เปรม นั่นเอง
และที่ผ่านมา นายกฯอภิสิทธิ์ ก็พยายามตัดเกมด้วยการให้ยึดกฎหมายเป็นบรรทัดฐาน พร้อมเร่งรัดให้เจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ดำเนินการโดยไม่ต้องไปสนใจว่าใครเป็นเจ้าของ โดยเฉพาะที่ดินบริเวณเขายายเที่ยงเพื่อไม่ให้เป็นเงื่อนไขเป็นข้ออ้างในการปลุกระดมในเรื่องของการดำเนินการสองมาตรฐาน ซึ่งบังเอิญว่าหลังจากที่นายกฯได้ให้สัมภาษณ์แบบนี้แล้วก็ได้เข้าพบกับ พล.อ.เปรม ในวันเดียวกัน
แม้ว่ามีคำยืนยันจากปากของ นายกฯอภิสิทธิ์ เป็นการเข้าพบเพื่ออวยพรปีใหม่ ไม่ได้หารือกันถึงประเด็นร้อนทางการเมืองอื่นๆดังกล่าว แต่การเข้าพูดคุยกันของบุคคลทั้งสองมันก็ย่อมทำให้เป็นที่จับตามองแบบไม่กระพริบกันอยู่แล้ว
เพราะหลังจากนั้นมีการปล่อยข่าวตามมาว่ามีการหารือกันในเรื่องการแก้ขรัฐธรรมนูญ การยุบสภา รวมไปถึงประเด็นที่ดินเจ้าปัญหา ทำให้ระดับ “ขาใหญ่” ถึงกับสะดุ้งกันเป็นแถว และคิดกันไปต่างๆนานา แม้กระทั่ง ทักษิณ ชินวัตร ถึงกับนั่งไม่ติดต้องทวิตเตอร์เข้ามาแซวให้จัดเป็นเรียลลิตี้ถ่ายทอดสดการเข้าพบไปเสียเลย หรือมีแกนนำเสื้อแดงรีบออกมาชี้นำทันทีว่านี่คือใบเสร็จการอยู่เบื้องหลังของรัฐบาลทำนองแทรกแซงทางการเมืองอะไรประมาณนั้น
ดังนั้นไม่ว่าจะมองในมุมไหนการเข้าพบ พล.อ.เปรมในครั้งนี้ถือว่ามีความหมาย แม้ไม่ต้องสนใจว่าเนื้อหาในบทสนทนาจะมีประเด็นอะไรบ้างก็ตาม เพราะแค่เปิดเผยว่า “พล.อ.เปรม ให้พรให้กำลังใจ” แค่นี้มันก็สื่อความหมายได้ดีว่ายังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากบ้านสี่เสา
ขณะเดียวกันหากมองในความเป็นจริงนาทีนี้ มีแต่ อภิสิทธิ์ นี่แหละที่เป็นความหวังสุดท้ายของ “อำมาตย์” ที่พอไว้ใจได้ !!