นายกฯ เชื่อ “เนวิน” ไม่ร่วม “เพื่อไทย” ขุดรัฐธรรมนูญ 40 ใช้ บอกถ้าแก้นอกเหนือจาก 2 ประเด็นต้องทำประชามติ ชี้ผลีผลามไปประชาชนจะเดือดร้อน มั่นใจคุยพรรคร่วมได้ โบ้ยสื่อถามนำทำป่วน ยันพรรคไม่เห็นด้วยเปลี่ยนระบบเลือกตั้ง แต่ก็ไม่ค้านพรรคร่วมยื่นแก้ ปัดโยนกลองให้พวกยื่นยื้อเวลา ยันเป็นเรื่องของสภาฯ ล้วนๆ ดักทางฝ่ายค้านชิงยื่นแก้ ชี้ในสภาฯ ก็มีอยู่ แต่หากทำชาติวุ่นแน่
วันนี้ (29 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย ประกาศว่าหากรัฐบาลไม่รีบดำเนินการจะร่วมมือกับพรรคเพื่อไทยนำรัฐธรรมนูญปี 40 มาใช้ว่า ตนคิดว่าไม่มีเหตุผลที่จะทำอย่างนั้น เพราะแนวทางที่เคยคุยกันไว้ตั้งแต่ต้น คือ การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในประเด็นที่เห็นว่าเป็นปัญหา โดยพูดมาชัดเจนมาตลอดว่าจะไม่สร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง เราทำมาหลายทาง ทั้งทางที่เรานึกว่าไปได้แล้วแต่เมื่อฝ่ายค้านปฏิเสธก็มาทบทวนกันใหม่ ได้ข้อยุติเหลือ 2 ประเด็น นำเสนอสภาไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ซึ่งคาดว่าคงจะมีการคุยกันหลังปีใหม่ แต่ถ้านอกเหนือ 2 ประเด็นนี้แล้วไม่ทำประชามติ ก็น่าจะเกิดความขัดแย้งขึ้นในสังคมก็ไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล บ้านเมือง นำไปสู่ความขัดแย้ง บั่นทอนการทำงานของรัฐบาล พรรคการเมืองทุกพรรคก็เดือดร้อน แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ตนคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหา เดี๋ยวคงพูดคุยกัน ส่วนที่ดูเหมือนว่าตอนนี้พรรคร่วมใจร้อนอยากให้แก้รัฐธรรมนูญนั้น มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาของตน มันเป็นเรื่องที่เป็นปัญหาในปี 2551 ต้องเรียนรู้ว่าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น น่าจะช่วยกันเดินในแนวทางเดินไปข้างหน้าได้ บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้ การไปผลีผลามตัดสินใจที่ทำให้บ้านเมืองเกิดความวุ่นวายขึ้นไม่ได้ช่วยใครทั้งสิ้น ประชาชนเดือดร้อน
นายอภิสิทธิ์กล่าวยืนยันว่า ตนมั่นใจที่จะสามารถคุยกับพรรคร่วมได้ เพราะมีเหตุผลชัดเจน และตนไม่ได้คิดว่าพรรคร่วมเรื่องบีบหรืออะไร ตนรู้สึกเข้าใจและเห็นใจพรรคการเมืองหลายพรรคต้องการที่จะแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ เมื่อถามถึงสาเหตุว่าทำไมถึงไปไกลถึงขั้นจะเข้าร่วมกับพรรคฝ่ายค้าน นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ไม่ทราบว่าคำพูดเหล่านี้เป็นคำตอบหรือมาจากคำถามว่าอะไร เพราะบางทีเห็นถามกันน่ากลัวเหลือเกินเช่น ไปถามว่า “นายกฯ หรือพรรคประชาธิปัตย์เขาไม่เอา เขาเบี้ยวจะทำอย่างไร” มันขึ้นอยู่กับคำถาม และตนยืนยันว่าไม่ได้เบี้ยวสัญญาอะไร ทุกอย่างตรงหมด ส่วนที่ว่า 2 ประเด็นที่เสนอโดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับการเลือกตั้งนั้น พรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วยกับการให้มี ส.ส.เขตเดียวเบอร์เดียวหรือไม่ นาย อภิสิทธิ์กล่าวปฏิเสธว่า ไม่ใช่ ตนพูดไว้ในที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคว่ารัฐบาลไม่ต้องเสนอ ให้พรรคการเมืองที่อยากจะเสนอ สามารถเสนอให้สภาพิจารณาได้ทั้ง 2 ประเด็น ตามมาตรา 190 พรรคประชาธิปัตย์เห็นด้วย ส่วนเรื่องเขตเลือกตั้ง จุดยืนของพรรคไม่เห็นด้วย และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถ้ามีการเสนอจริงทางพรรคก็ต้องมาพิจารณาว่าจะตัดสินใจอย่างไร
ส่วนการที่ตนปล่อยให้เป็นกลไกของสภา ทั้งที่พรรคร่วมไม่มีทิศทางเดียวกันในการเสนอนั้น ไม่ได้ถือเป็นการยื้อเวลา ซึ่งนายอภิสิทธิ์อธิบายว่า ประเด็นแรก เรื่องของการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่เรื่องของฝ่ายบริหาร เพราะฝ่ายบริหารไม่มีเสียงข้างมากในสภา บางครั้งนักเขียนนักวิเคราะห์ไม่เข้าใจหลักจะอธิบายให้ทราบ ประเด็นที่ 2 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่ให้สภาพิจารณาเพราะ ไม่ใช่เรื่องการบริหารนโยบาย จริงๆ แล้วเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ คือ ไม่ต้องการให้รัฐบาลเปลี่ยนกติกาของบ้านเมือง การเปลี่ยนกติกาของบ้านเมืองต้องอาศัยเสียงข้างมากกว่า ฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลขณะใดขณะหนึ่งถือเป็นหลักที่เขียนในรัฐธรรมนูญมาโดยตลอด ฉะนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องนโยบายรัฐบาล แต่สิ่งที่รัฐบาลคุยกันและเป็นแนวปฏิบัติ คือ เราจะทำอย่างไรไม่ให้ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอุปสรรคต่อการบริหารราชการแผ่นดิน ฉะนั้น ตนสนใจในบทบาทรัฐบาลตรงนี้ เดิมที่เห็นว่ารัฐบาลเสนอได้คือ นโยบายสมานฉันท์ แต่วันนี้นโยบายสมานฉันท์ไม่อาจทำได้ด้วยรัฐธรรมนูญอีกต่อไปเนื่องจากไม่ครบทุกพรรค รัฐบาลดูเพียงว่าอย่าให้เรื่องนี้เป็นปัญหากับบ้านเมืองในเรื่องความขัดแย้ง สมานฉันท์ ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าพรรคร่วมเข้าใจในสิ่งที่ตนพูด และถ้าได้มีการคุยกันก็คงเข้าใจ ส่วนถ้าพรรคร่วมที่มีเสียงส่วนมากจะรับได้ไม่เป็นปัญหาใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สมมุติว่า เป็นเรื่องการเสนอต่อสภาว่า ผ่านหรือไม่ผ่าน ต้องรับได้อยู่แล้วเพราะไม่ใช่นโยบายรัฐบาล ทั้งนี้พรรคเพื่อไทยไม่จำเป็นจะต้องชิงยื่นแก้ไขก่อน เพราะขณะนี้ในสภามีร่างที่จะนำรัฐธรรมนูญปี 2540 มาใช้อยู่แล้ว เพียงแต่ตนเชื่อว่าร่างในลักษณะนั้นมันมีปัญหาเรื่องความขัดแย้งแน่นอน เป็นเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องการนิรโทษกรรม