“บิ๊กป๊อก” รับมีทหารนอกแถวบ้าง ก็ต้องพยายามให้เข้ากรอบ ลั่นไม่เคยกลัวปฏิวัติ ปัดตั้งพยัคฆ์บูรพาสุมหัวทำปฏิวัติ ยัน คนฉลาดไม่ทำกัน หวัง ผบ.ทบ.ใหม่จะไม่ทำ โวตั้งนายทหารตามขั้น ชี้ปัญหาใต้มีคนบางพวกต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ยันต้องรักษา 3 จังหวัดให้อยู่ในราชอาณาจักรไทย เอาชนะใจคน 2 ล้านชีวิต และโจรใต้ให้ได้ เชื่อบางส่วนเริ่มพอใจ ซัดคนคิดเขตปกครองพิเศษปัญหาจะจบหรือ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ให้สัมภาษณ์
วันนี้ (27 ธ.ค.) พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงทิศทางของกองทัพภายหลังตนเกษียณอายุราชการในปี 2553ว่า ไม่ว่าใครจะรับตำแหน่งในหน้าที่ใดก็แล้วแต่ ทุกคนต้องคิดว่า ภายใต้บทบาทภารกิจในหน่วยงานที่ตัวเองรับผิดชอบ จะทำอย่างไรให้หน่วยงานนั้น มีความเจริญ และสามารถปฎิบัติหน้าที่ตามภารกิจได้ ทั้งนี้ก็ได้มีการพูดคุยกับกำลังพลถึงการดำเนินการในด้านต่างๆ ว่าจะดำเนินงานไปในทิศทางใด การที่จะปฎิบัติหน้าที่ตามบทบาท ต้องไปดูว่าจะต้องทำอย่างไรให้องค์กรมีขีดความสามารถที่จะทำเช่นนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกำลังพล ด้านการสร้างอุดมการณ์ที่จะให้กำลังพลยึดมั่นในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน เรียกว่าการเตรียมกำลัง อีกส่วนหนึ่งก็คือในเรื่องการฝึกหัดกำลังพลให้สามารถปฏิืบัติหน้าที่ได้ เพราะบทบาทภารกิจหลักของเราก็คือการป้องกันประเทศ รักษาอธิปไตยของประเทศ ในส่วนของยุทโธปกรณ์ก็ยังคงใช้ของเดิมอยู่
ส่วนงานที่ยังไม่ได้ทำก่อนเกษียณนั้น พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า เรื่องการจัดเตรียมกำลังให้พร้อมปฎิบัติ การปลูกฝังอุดมการณ์ของคนเป็นเรื่องสำคัญ และต้องทำให้ดีกว่านี้ สาเหตุเจ้าหน้าที่โครงสร้างของเราก็คือนายทหารและนายสิบไม่ค่อยมีปัญหา จะมีนอกแถวนอกลู่ไปบ้างก็ว่าไปตามกฎระเบียบ วัตถุดิบมาจากสังคมในประเทศเราจึงต้องประเมินว่า ค่านิยมวัยรุ่นในตอนนี้เป็นอย่างไร แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่ดีไปเสียหมด แต่แนวคิดจะเปลี่ยนไปจากเดิม
“สังคมเปลี่ยนไป ยึดถือวัตถุมากขึ้น คิดแต่สิ่งใกล้ตัวของตัวเอง ผลประโยชน์ของตนเอง ความอดทนน้อย รักความสบายมากขึ้น ก็ต้องพยายามฝึกเขาให้อยู่ในกรอบที่จะทำเพื่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เหมือนในอดีตบรรพชนของเราที่ทำกันคนสมัยก่อน ไม่มีวาระอย่างอื่น มีวาระอย่างเดียวก็คือทำเพื่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ที่เคารพยิ่ง พวกเขาจึงได้เป็นห่วงสัมคมในปัจจุบัน เรื่องนี้ต้องเดินหน้าต่อไปเรื่อย ๆ ใครที่ขึ้นมาดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.คนต่อไปก็ต้องทำไปเรื่อยๆ หยุดไม่ได้” พล.อ.อนุพงษ์กล่าว
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า กองทัพต้องอยู่ต่อไป ไม่ว่าใครจะมาเป็น ผบ.ทบ. สถาบันกองทัพไม่ใช่ของเขา หรือใครที่ชอบเอามาอ้าง มันไม่ใช่ คนที่คิดแบบนั้นไม่เข้าใจ เป็นเหมือนอำนาจสถาบันหลักไม่ใช่ของส่วนตัว ใครที่มาปกครองอย่าคิดแบบตื้นๆ ซึ่งตนอยากจะเรียนให้คนตาสว่างว่า เพราะอะไรจึงปกครองกองทัพได้และไม่กลัวการปฏิวัติ ไม่เคยกลัวแม้แต่นิดเดียว อยากจะยกตัวอย่างเรื่องที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าตนตั้งบูรพาพยัคฆ์ ตนไม่ตั้งบูรพาพยัคฆ์ เพราะการตั้งบูรพาพยักฆ์เป็นการสิ้นคิดที่สุด คือตั้งพวกกันเอง ถ้าคุมไม่ได้ก็โดนปฏิวัติล้านเปอร์เซ็นต์ ทำอย่างนั้นไม่ได้ ไปดูรายละเอียดในเรื่องการปรับย้ายนายทหารในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่มีข้อติฉินนินทาทุกส่วนก็ต้องเติบโตขึ้นมา จัดแบบนี้ไม่มีการปฏิวัติ สำคัญที่สุดคือต้องมีคุณธรรม และให้ทุกส่วนมีโอกาสเติบโตขึ้นมาตามธรรมชาติของเขา เอาคนบูรพาพยัคฆ์มาสุมหัวกันปฎิวัติแน่นอน คนฉลาดไม่ทำแบบนั้น ตนก็มั่นใจว่า ผบ.ทบ.คนต่อไปก็ไม่ทำเช่นนั้น
ผู้บัญชาการทหารบกยังกล่าวถึงสถานการณ์ในภาคใต้ด้วยว่า เป็นปัญหาของคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการเปลี่ยนการปกครอง หรือบางคนอาจจะใช้คำว่าการแบ่งแยกดินแดน ซึ่งดูรุนแรงไปและจะส่งผลในแง่ลบในการปฏิบัติงานต่อไปในอนาคต แต่มีคนส่วนหนึ่งพยายามจะทำให้การปกครองไม่อยู่ในภายใต้อำนาจรัฐบาลไทย ทั้งนี้วิธีการดังกล่าวใช้วิธีการก่อการร้าย การรบกองโจร การก่อความไม่สงบ ซึ่งคนไปเพ่งเล่งอยู่เรื่องเดียวคือคิดว่าเหตุการณ์สงบทุกอย่างก็จะจบ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ เพราะสาเหตุจริงๆคือเขาต้องการเปลี่ยนการปกครอง นั้นคือเรื่องใหญ่ สิ่งสำคัญคือและเป็นเป้าหมายต้องรักษา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้อยู่ภายใต้อาณาจักรไทย โดยมีคน 2 ล้านกว่าคนอาศัยอยู่ และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นคนจำนวนนี้ก็ยังต้องอยู่ที่นี่ แต่จะทำอย่างไรให้เขาเต็มใจอยู่โดยที่ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นนั้นเป็น เรื่องที่จะต้องทำ แต่ปัญหาในสถานการณ์ขณะนี้ก็คือมีคนกลุ่มหนึ่งพยายามสร้างความวุ่นวายทุกรูปแบบ
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวว่า แนวทางของเราในปัจจุบันคือการส่งคนลงไปตามแนวการเมืองนำการทหาร จากการที่ตนได้ประเมินคือการใช้กลไกการเมืองไปพัฒนาให้ชีวิตคน 2 ล้านคน เอาชนะจิตใจของเขานี้คือเรื่องหลัก และเขาก็จะไม่คิดแยกตัว ซึ่งการเอาชนะจิตใจของคนถือเป็นเรื่องยากแต่ก็ต้องทำ เพราะไม่มีวิธีอื่น ส่วนคนอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นผู้ก่อการร้าย ใช้วิธีผิดกฎหมายอาญา กฎหมายของไทย เราดำเนินคดีกับเขา อย่างไรก็ตามถามว่าเราต้องเอาชนะจิตใจของเขาเหมือนคน 2 ล้านคน เราก็ต้องทำเพื่อหาทางโน้มน้าวจิตใจเขามาให้ได้ ใครที่มีคดีก็ต้องว่าไปตามนั้น ไม่มีใครแก้ได้เว้นแต่ว่ารัฐบาลและรัฐสภาเห็นร่วมกันว่าจะแก้ปัญหาไหนเช่น การนิรโทษกรรม เป็นเรื่องที่เกินหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ปกติที่จะทำได้ เมื่อมีหลักฐานว่าเขาฆ่าคน วางระเบิด ก็ต้องหาหลักฐานนำตัวมาดำเนินคดี ในส่วนหนึ่งก็พยายามเปลียนความคิดเขาใช้ทหารเข้าไปสร้างความเข้าใจ เพื่อจะให้ทุกคนมีความพึงพอใจ
“ซึ่งต่างจากการเมืองที่บางคนพูดถึงถ้าให้เขาปกครองตัวเองในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เขาจะพอใจและจบ ซึ่งผมไม่ทราบว่ากล่องดำตรงนี้คืออะไร จะให้ปกครองพิเศษอย่างไร ในอนาคตจะเป็นบวกเป็นลบอย่างไร ต้องไปตอบคำถามตรงนั้นก่อน และรู้ได้อย่างไรว่าถ้าเขาได้รับการปกครองพิเศษแล้วเขาจะจบ ถ้าเป็นปัญญาชนทั่วไปเขาก็ไม่คิดอะไร แค่ให้เขาอยู่ดีกินดี ไม่เบียดเบียน ลูกหลานของเขาได้เรียนหนังสือสูงๆ ไม่มีใครคิด แต่ถ้าเป็นกลุ่มคนที่ไม่ดีก่อเหตุรุนแรง ถ้าเอาไปใส่ไว้อย่างนั้น ถ้าเข้าลักษณะที่เป็นหนทางที่เขาต้องการเขาหยุด ผมเชื่อ แต่เราจะดีหรือไม่ดีก็ลองไปคิดกันเอาเอง การที่เอาเรื่องการปกครองพิเศษไปเสนอเขา ผมไม่รู้ว่าอะไร แล้วใครพอใจ ประชาชนทั่วไปหรือใคร แต่ผมเชื่อว่าประชาชนทั้ง 2 ล้านคนมีความพอใจที่เราลงไปพัฒนา” ผบ.ทบ.กล่าว
พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลปัจจุบันเพิ่งได้ทำเต็มที่ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เพราะก่อนหน้านั้นเป็นแผนงานของรัฐบาลเก่าที่ทำไว้ รัฐบาลปัจจุบันใช้การพัฒนาโดยผ่านกลไกของคณะรัฐมนตรีพิเศษ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งทำแผนงานตามกระทรวง ทบวงกรม ซึ่งจะสอดคล้องกับแนวพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่อง การเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ซึ่งการพัฒนากำลังเดินไปได้ดีพอสมควร ซึ่งสิ่งสำคัญคือคน 2 ล้านคนในพื้นที่ ถ้าใจไม่อยู่ เราเอาเขาไม่อยู่แน่นอน แต่ตอนนี้ตนมั่นใจว่าคน 2 ล้านเขาอยู่กับเรา ตัวชี้วัดตรงนี้ไม่มีใครได้สังเกตุ การพัฒนาในเชิงคุณภาพไปได้ดีมากทีเดียว ในส่วนของด้านการทหารเราส่งคนลงไปอยู่ในพื้นที่กับประชาชนเฉลี่ยแล้ว 700 กว่าฐาน แต่ละฐานรับผิดชอบประมาณ2-3หมู่บ้าน ทหารทั้ง 700 ฐานทำงานเกือบเกือบ 3,000 งานต่อวัน ทั้งลาดตระเวณ ตั้งจุดตรวจ เพื่อดูแลความปลอดภัยให้คน 2 ล้านคน แต่ก็ยังมีคนถามว่าทำไมยังเกิดเหตุการณ์ อย่างนี้เดินไม่ถูก ก็วนเวียนกันอยู่แบบนั้น ซึ่งแนวทางถูกกำหนดมาแน่นอนตามรัฐบาลไม่มีใครเคยเปลี่ยน ไอ้ที่ออกมาร้องแว้ดๆ อยากบอกว่ารัฐบาลไหนเขาก็ทำแบบนี้ ที่ร้องเย้วๆ ตอนที่ตัวเองทำก็เป็นแนวทางนี้ แต่เพราะอะไรถึงยังเกิดเหตุการณ์ ตนก็จะยกตัวอย่าง เช่นใน กทม. ซึ่งมีตำรวจอยู่ก็ยังมีการปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์ ข่มขืน ถ้าอย่างหลักการณ์ถ้ามี 100 จุด เราดูแลดีหมดก็ไม่เกิดเหตุการณ์ แต่ถ้าดูแลได้ 97 จุด อีก 3 จุดย่อหย่อนก็จะเกิดเหตุ ซึ่งการที่เราส่งทหารไปอยู่กับประชาชน สร้างความเข้าใจ ในขณะเดียวกันเราก็ทำในเชิงรับคือการป้องกัน ถ้าป้องกันได้ดีคือไม่มีช่องเหตุการณ์ก็ไม่เกิด แต่มีจุดบางจุดที่เราดูไม่ไหวเขาก็มีโอกาสที่จะทำได้ ถึงแม้ว่าจะมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแต่ในเชิงปริมาณลดลง