"พิภพ" แนะ รัฐควรดึงมวลชนเข้าร่วม เพื่อขับเคลื่อนกลไกรัฐให้ราบรื่น ชี้ แนวทางแก้ปัญหา ต้องให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วม อย่าปิดหูปิดตา ปชช. หรือกุมอำนาจไว้รัฐ ด้าน "นักวิชาการ" ติง รัฐมุ่งแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า จนลืมหาแนวทางแก้ปัญหาระยะยาว ดังนั้น ขอให้คะแนนผลงานแค่พอสอบผ่าน ในฐานะที่บริหารประเทศท่ามกลางสถานการณ์บ้านเมืองไม่ปกติ
รายการ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ทางเอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-22.00 น.วันศุกร์ที่ 25 ธ.ค. มี "แอน" จินดารัตน์ เจริญชัยชนะ รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งวันนี้ได้มีการเชิญ นายพิภพ ธงไชย แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และนายณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มาร่วมพูดคุยถึง วิวัฒนาการการเมืองไทยและผลงานรัฐบาลในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
นางจินดารัตน์ กล่าวประเด็นว่า ผลงานของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา หากให้วิเคราะห์มีจุดอ่อนหรือจุดแข็งอย่างไร นายณรงค์ กล่าวประเด็นนี้ว่า ตนขอแยกปัญหาที่รัฐบาลชุดนี้ต้องเผชิญเป็น 2 ระยะ แต่ทั้งนี้ ก่อนอื่นต้องให้เครดิตรัฐบาลชุดนี้ว่าเข้ามาในช่วงวิกฤตทางการเมือง ดังนั้น การบริหารประเทศในช่วงที่ประเทศเกิดปัญหา และสามารถทำผลงานเช่นนี้ได้ ก็ถือว่าใช้ได้ ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลทำอยู่คือการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า แต่ในส่วนปัญหาระยะยาว คือ สิ่งที่รัฐบาลกำลังจะเผชิญต่อไป ซึ่งถ้าหากให้วิพากษ์วิจารณ์ตรงๆ ก็ต้องขอพูดอย่างให้เกียรติว่า รัฐบาลชุดนี้ สนใจแต่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ามากเกินไป จนทำให้ลืมนึกถึงหนทางฝ่าฟันหรือแก้ไขปัญหาระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริตคอรัปชั่นหรือปัญหาบ้านเมืองอื่นๆ โดยตนมองว่า ถ้าหากจะให้ดี ต้องแก้ไขปัญหาทั้งระยะสั้นและระยะยาวไปพร้อมๆกัน เนื่องจากรัฐบาลต้องมองปัญหาวันข้างหน้าบ้าง ไม่ใช่มองแต่ปัญหาวันนี้
"ผลงานรัฐบาลชุดนี้ว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีนโยบายระยะยาว เน้นแต่การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ดังนั้น คำว่าประชาธิปัตย์ถึงเป็นได้แต่ในนามธรรม แต่รูปธรรมไม่สามารถทำได้ ซึ่งถ้าหากนายอภิสิทธิ์ อยากจะก้าวข้ามปัญหาต่างๆนี้ไป ต้องขจัดความหวาดกลัวทุกอย่าง และต้องถีบตัวเองให้พ้นจากระบบทุนนิยม" นายณรงค์ กล่าวถึง
นายพิภพ กล่าวประเด็นเดียวกันว่า หากจะแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเวลานี้ ต้องมุ่งแก้ให้ถูกจุด โดยอย่าหวังพึ่งพิงรัฐบาลฝ่ายเดียว ซึ่งประชาชนต้องรวมกลุ่มกัน เพื่อสร้างพลังให้เข้มแข็ง และเดินหน้าสู่เป้าหมายเดียวกัน เพราะที่ผ่านมา คนในสังคมเรียนรู้แล้วว่า การพึ่งพิงรัฐบาลหรือนักการเมืองไทยเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถนำไปสู่หนทางแก้ปัญหา ดังนั้น ประชาชนจึงต้องเริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อบ้านเมืองด้วยตนเอง
นางจินดารัตน์ กล่าวเปิดประเด็น การต่อสู้ของประชาชนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน สามารถเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองไปในทิศทางใด นายณรงค์ กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วง 14 ตุลา ต้องยอมรับว่าคนในสังคมหมดหวังกับระบบการปกครอง ดังนั้น จึงเลือกที่จะลงมือทำอะไรนอกสภาด้วยตัวเอง แต่ต่อมา พอยุคสมัยเปลี่ยนไป การต่อสู้ของประชาชนกับระบบการเมืองไทย ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อีกครั้ง จากนโยบายการเปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า ซึ่งสาเหตุนี้ทำให้การเมืองไทย ก้าวเข้าสู่กลไกทางตลาดที่ยึดมั่นถือมั่นแต่แนวคิดปัจเจกนิยม ที่เน้นสร้างฐานะและความร่ำรวยให้แก่ตนเอง โดยไม่สนใจประโยชน์ส่วนรวม
นายพิภพ กล่าวเสริมประเด็นนี้ว่า การรวมกลุ่มประชาชนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน สำหรับตนคิดว่าเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ โดยที่เห็นเด่นชัดในปัจจุบัน คือ การต่อสู้และรวมกลุ่มของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่รวมกลุ่มกัน เพื่อก้าวไปสู่เป้าหมายร่วมกัน ซึ่งถือกำเนิดจากการชุมนุมนอกสภา และปัจจุบันได้ก้าวผ่านช่วงเวลาดังกล่าวด้วยการตั้งพรรคการเมืองใหม่ เพื่อขับเคลื่อนการเมืองไทยให้แตกต่างไปจากเดิม หลังจากที่ พันธมิตรฯ ได้เรียนรู้ว่าประชาธิปไตยมีปัญหา เพราะรัฐไม่เปิดโอกาสให้คนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ซึ่งเห็นได้ชัดถึงเหตุและผล ว่าอำนาจรัฐอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาบ้านเมืองไทย เช่นเดียวกันกับระบบการเมือง ที่ไม่สามารถจัดการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้
นายณรงค์ กล่าวเสริมว่า การรวมกลุ่มของพันธมิตรฯ มีเป้าหมาย มีแนวทาง มีการรวมคน และมีกระบวนการอย่างชัดเจน โดยปรากฏการณ์ของพันธมิตรฯ ต้องยอมรับว่า ถือเป็นการรวมกลุ่มแบบใหม่ หลังจากที่ภาคอุตสาหกรรมทำให้ช่องว่างผู้คนห่างกันมากขึ้น แต่สังคมพันธมิตรฯ เป็นกลุ่มที่เปิดรับข้อมูลข่าวสาร และไม่ตกเป็นเหยื่อของผู้อื่นได้ง่าย
"ความรู้สึกเชิงสาธารณะเมื่อก่อนมันมากกว่าเวลานี้ ดังนั้น จึงทำให้เวลานี้คนคิดถึงแต่เรื่องของตัวเอง ไม่อยากทำอะไรเพื่อส่วนรวม เช่น การรวมกลุ่มกันเพื่อเรียกร้องอะไรต่างๆ โดยหลังจากที่บรรลุเป้าหมายก็หยุดแค่นั้น ไม่ทำอะไรต่อ แล้วพอเกิดปัญหาอะไรอีก ก็มาแก้ไขใหม่ๆ" นายณรงค์ กล่าว
น.ส.จินดารัตน์ กล่าวประเด็น ความเป็นไปได้หากรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความสำคัญกับการรวมกลุ่มมวลชน ควบคู่ไปกับการบริหารบ้านเมือง นายพิภพ กล่าวว่า ตนคิดว่าเวลานี้ รัฐบาลมัวแต่เอาเวลามาหวาดระแวงพลังมวลชน โดยเฉพาะพันธมิตรฯ ซึ่งในความจริงแล้ว รัฐบาลน่าจะเอาเวลาไปปฏิสัมพันธ์และให้ความสำคัญกับมวลชนมากกว่านี้ เพราะถ้าหากมีพลังมวลชนคอยสนับสนุน ตนเชื่อว่าจะสามารถทำให้กลไกทางการเมืองต่างๆ ขับเคลื่อนแบบราบรื่น เนื่องจากมีพลังมวลชนคอยหนุน ดังนั้น ตนจึงอยากสูตรสั้นๆให้ เพื่อแนะนำ นายอภิสิทธิ์ ว่าถ้าหากอยากทำงานให้มีประสิทธิภาพ ต้องให้ความสำคัญกับภาคประชาชน ไม่เช่นนั้น ปัญหาทุกอย่างก็จะทำได้แค่ประคองสถานการณ์ไว้ หากไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วม