xs
xsm
sm
md
lg

“อภิชาต” ฟิวส์ขาด! ฉุนถูกโยนขี้ตัดสินเงินบริจาค แย้มฟันธงหลังปีใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง
“อภิชาต” ฉุนถูกโยนขี้ตัดสินคดีเงินบริจาค 258 ล้าน รับสุดกดดันโดนให้ชี้ขาดวินิจฉัย บ่น “มันถูกต้องแล้วหรือ” ชี้ “น้าญัติ-สามสี” แค่เพื่อนร่วมรุ่น ไม่สนิท ถ้าซี้กันจะเรียก “ไอ้” เผย ปชป.ไม่เคยจุ้น แย้มเลื่อนฟันธงไปหลังปีใหม่ ขอพิจารณาอย่างรอบคอบ ยันจะทำให้เร็วที่สุด จี้ “จตุพร” นำหลักฐานแสดงเพิ่ม ไม่สนเสื้อแดงจ่อขนพวกป่วนหน้า กกต.

วันนี้ (22 ธ.ค.) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง กล่าวถึงการพิจารณาสำนวนเรื่องการบริจาคเงิน 258 ล้านของพรรคประชาธิปัตย์ว่า คงต้องดูในรายละเอียด เพราะตนวินิจฉัยเพียงคนเดียว ที่จะต้องทำอย่างรอบคอบ ล่าสุดในการประชุม กกต.วันนี้ (22 ธ.ค.) พึ่งจะรับทราบการขานมติ และตนได้ขอเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดโดยละเอียด ซึ่งการพิจารณาจะเร่งดำเนินการโดยเร็วที่สุด แต่คงไม่ใช่ในสัปดาห์นี้ คงจะเป็นหลังปีใหม่ไปเลย เพราะเอกสารมีตั้ง 7 พันหน้า ฉะนั้นต้องเห็นใจนายทะเบียนด้วย ซึ่งการพิจารณานั้นคงไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ ในฐานะที่ตนเป็นนายทะเบียนฯ ก็ต้องใช้เครื่องมือจากฝ่ายสืบสวน และต้องดูว่าหลักฐานอื่น ซึ่งตนก็จะใช้ดุลพินิจในการตัดสิน และตนจะรับภาระการพิจาณา แต่การพิจารณาให้ละเอียดชัดเจนไม่ใช่เรื่องง่ายๆ และหากใครมีหลักฐานว่ามีการโอนเงินให้พรรคประชาธิปัตย์ ก็ขอให้ส่งมาที่นายทะเบียนพรรคฯ ตนก็พร้อมจะนำมาพิจารณา ทั้งนี้จึงอยากให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย เอาเอกสารที่มีการอภิปรายในสภามาให้ ตนด้วยจะได้นำมาพิจารณา เพราะตนยังไม่เคยเห็น

ส่วนกรณีที่ นางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมือง ระบุว่า การสอบสวนมีความครบถ้วนแล้ว หากพิจารณาอีกก็อาจจะเป็นการยื้อเวลาได้นั้น นายอภิชาตกล่าวว่า ตอนนั้น กกต.ใช้เวลาสอบสวนไปกว่า 8 เดือน ซึ่งนางสดศรีก็บอกว่าเพียงพอแล้วจึงลงมติ แต่ก่อนหน้านั้น นายสมชัย จึงประเสริฐ กกต.ด้านการสืบสวนสอบสวนและวินิจฉัย บอกว่าอยากได้รายละเอียดข้อมูลมากกว่านี้ โดยเฉพาะจากดีเอสไอ ดังนั้น ตนจะดูว่าเพียงพอหรือยัง ส่วนการชี้แจงของนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ นั้นครบถ้วนแล้วและได้ชี้แจงตามที่ กกต.ต้องการมาทุกประเด็น

นายอภิชาตกล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า ใครว่าตนไม่กล้าตัดสินใจ ตนกล้าตัดสินใจ และตนก็ไม่ได้ประวิงเวลา แต่ทุกอย่างมันตกอยู่ที่ตน มันถูกต้องหรือ ไม่อยากเถียงกับสื่อ แต่คุณไปดูรูปที่ลงในสื่อฉบับหนึ่งสิ มันถูกต้องไหม นี่แหละคือความกดดัน เพราะฉะนั้น เมื่อตนจะทำอะไรจะต้องทำให้ถูกต้องที่สุด จึงต้องดูให้ชัดเจน ทุกคนจะได้ไม่ต้องมาว่าตน ซึ่งตนจะตัดสินใจในเวลาที่เหมาะสม และยืนยันจะทำให้เร็วที่สุด ไม่ยืดเยื้อ แต่ต้องให้เวลาหน่อยคิดว่าประมาณหลังปีใหม่ไปแล้ว ปีนี้คงไม่ทัน ส่วนที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะมาชุมนุมกดดัน กกต.นั้น ก็ไม่เป็นไร ตนก็ทำดีที่สุดแล้ว

นอกจากนี้ นายอภิชาตยังกล่าวว่า ยอมรับว่า นายบัญญัติ บรรทัดฐาน ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เป็นเพื่อนร่วมรุ่นสถาบันเดียวกัน แต่ไม่ใช่เป็นเพื่อนซี้ และก็ไม่เคยอยู่ห้องเดียวกับนายบัญญัติ หรือนั่งรถคันเดียวกันเลย ซึ่งถ้าเป็นเพื่อนซี้ตนจริงๆ ตนจะเรียกว่า “ไอ้” แต่กับนายบัญญัติ ตนเรียกว่าคุณมาโดยตลอด ส่วนนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ก็อยู่คนละคณะไม่พบเจอกัน แต่เราต้องให้ความเคารพกันต้องแยกขอบเขตกันให้ได้ ดังนั้น ขอให้เข้าใจด้วย และการที่เป็นเพื่อนร่วมรุ่นก็ไม่จำเป็นต้องซี้กันทุกคน อย่างไรก็ตาม ไม่ทำให้ตนต้องถอดใจ เพราะไม่อย่างนั้นคนที่จะเข้ามาเป็น กกต.ต่อไปก็ต้องจำกัดคุณสมบัติไม่ต้องเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองไทย เพราะไม่เช่นนั้นจะมีเพื่อนหรือ ยืนยันพรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมายุ่งในการพิจารณาสำนวนนี้ แม้แต่โทรศัพท์จากใครในพรรคก็ไม่เคยมีมาถึงเลย ส่วนผลสำรวจที่ไม่เชื่อมั่นในการพิจารณาของ กกต.ต่อกรณีนี้นั้น นายอภิชาตกล่าวว่า สื่อต้องช่วย กกต.ด้วย เพราะตนรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมสำหรับตนเลย

ด้านนายวิสุทธิ์ โพธิแท่น กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านกิจการมีส่วนร่วม กกต.1 เสียงที่พิจารณาเห็นควร ส่งเรื่องให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากเห็นว่ากระทำความผิดกรณีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ว่า นายอภิชาตในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองจะพิจารณาสำนวนดังกล่าวเสร็จเมื่อใด ก็อยู่ที่ดุลพินิจของนายอภิชาต และตนก็ไม่ได้ตรวจสอบในกระบวนการนั้นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองจะดำเนินการอย่างไร ส่วนนายอภิชาต จะใช้วินิจฉัยออกมาไม่ว่าทางใด จะต้องนำเข้าที่ประชุมเพื่อพิจารณาหรือไม่นั้นตนขอให้ไปถามนายอภิชาต เพราะเรื่องนี้เป็นข้อกฎหมาย

เมื่อถามว่า แต่โดยส่วนตัวเสนอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ถือเป็นการทำข้ามขั้นตอนที่นายทะเบียนต้องเห็นชอบก่อนหรือไม่ นายวิสุทธิ์ กล่าวว่า ตนได้ทำหน้าที่ของตนแล้ว และไม่ต้องการจะไปโต้แย้งกับใคร เพราะกฎหมายมีเหตุผลของมันอยู่ ซึ่งตนก็จะยื่นยันในมติเดิมที่ได้ตัดสินใจไปแล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น