นายกรัฐมนตรีพร้อมแถลงผลงานรัฐครบ 1 ปี พรุ่งนี้ ปัดให้สื่อซัก รับไม่พอใจดับไฟใต้ แก้โกงชุมชนพอเพียง ไทยเข้มแข็ง ยันพร้อมหยุดให้สอบก่อนเดินหน้า ปลื้มปรับรายได้ เรียนฟรี เบี้ยยังชีพ จ่อดันกองทุนเงินออม ย้ำพยายามแก้สมานฉันท์ให้สิทธิทุกกลุ่ม โวแก้เศรษฐกิจเริ่มเห็นผล ซัดพวกชอบป่วนทำชาติไม่เดินหน้า
วันนี้ (22 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีถึงการเตรียมความพร้อมในการแถลงผลการดำเนินงานรัฐบาลภายใน 1 ปีที่ผ่าน ในวันพรุ่งนี้ (23 ธ.ค.) ว่า เรื่องนี้ ครม.ได้คุยกันตั้งแต่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกหน่วยงานก็ส่งข้อมูลมา ซึ่งทางทำเนียบฯกำลังรวบรวมอยู่ คาดว่าจะใช้เวลาในการแถลงผลการดำเนินงานประมาณ 30-40 นาที ซึ่งจะไม่เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนสักถาม โดยขอให้ไปถามในวันอื่นแทน ส่วนจะแถลงอะไรบ้างให้รอฟังพรุ่งนี้ โดยอาจจะพูดในส่วนงานด้านที่ไม่พอใจด้วย ซึ่งถ้าถามตนว่ามีงานด้านไหนพอใจไม่พอใจมันต้องแยก บางเรื่องเช่น ภาคใต้ ตนคิดว่าไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะพอใจผลที่เป็นอยู่ในขณะนี้ เพราะความรุนแรงยังมีอยู่ ถึงมันจะลดลง แต่มันก็อยู่ในระดับที่ตนเองยังไม่พอใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าตนไม่พอใจตัวนโยบาย ตนยังมีความเชื่อว่านโยบายที่ทำอยู่เป็นนโยบายที่ถูกต้อง แต่ต้องเดินหน้าให้เร็วขึ้น เดินหน้าให้เป็นรูปธรรมมากขึ้น
ส่วนโครงการที่มันสะดุดไปด้วยเหตุที่มีปัญหาเรื่องการทุจริต เช่น ชุมชนพอเพียง หรือไทยเข้มแข็งในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขที่ยังช้าอยู่ ต้องบอกว่าไม่พอใจ เพราะถ้าอยากให้มันเป็นไปตามที่ตั้งใจไว้มันต้องเดินได้แล้ว แต่ก็พร้อมที่จะหยุดเพื่อให้เกิดความโปร่งใสชัดเจน อันนี้เป็นสิ่งที่ต้องช่างน้ำหนักดูและต้องรักษาความสมดุลไว้ คือโครงการไหนเมื่อมีข้อครหาว่าทุจริต ต้องตรวจสอบให้โปร่งใสก่อนค่อยเดิน และก็พร้อมที่จะทำอย่างนั้น เพราะต้องการรักษามาตรฐานในเรื่องความโปร่งใสด้วย
ขณะที่โครงการที่น่าภูมิใจนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า มันมีหลายโครงการ คิดว่าโครงการปรับรายได้ การผลัดดันเรื่องการเรียนฟรี การทำระบบสวัสดิการซึ่งเยอะมากทั้งเบี้ยยังชีพ เบี้นคนพิการที่กำลังจะเริ่มในเดือนเมษายนปีหน้านี้ นอกจากนี้ รัฐบาลกำลังผลักดันกองทุนเงินออม กำลังสมทบเงินกองทุนสวัสดิการชุมชน งานเหล่านี้ถือว่าเป็นนโยบายที่หลายคนพูดกันมานาน แต่ไม่ได้ทำ และที่ทำนั้นไม่ได้ทำแค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่กำลังวางระบบไว้สำหรับอนาคตด้วย นี่คือตัวอย่าง
นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า สำหรับภาพรวมทางเศรษฐกิจ ภาพรวมของประเทศที่เดินหน้ามาในช่วงปีกว่าๆ หรือตั้งแต่ต้นปีมา ตนถือว่าเป็นสิ่งที่ได้ทำให้เราแก้ไขปัญหาที่รุนแรงมาเมื่อตอนที่ตนเองเข้ามารับหน้าที่ได้ระดับหนึ่ง ส่วนเรื่องความสมานฉันท์นั้น ตนไม่ได้พอใจเรื่องสถานภาพว่ายังมีความขัดแย้งอยู่ แต่สิ่งที่ตนได้ยืนยันและปฏิบัติให้เห็นคือ รัฐบาลแม้ว่าจะมีผู้ไม่เห็นด้วย มีผู้ที่ขัดแย้ง เราไม่ใช้ความรุนแรง เราให้โอกาส ให้สิทธิเสรีภาพ และไม่ปล่อยให้ปัญหาความขัดแย้งมาเป็นอุปสรรคต่อการบริหาร ดังจะเห็นได้จากการที่เราทำงานในสภาฯที่จะขลุกขลักอย่างไรก็ผลักดันงานออกมา รวมไปถึงนโยบายสำคัญๆ เอาเป็นว่าต่างประเทศที่เคยมองปลายปีที่แล้วว่ารัฐบาลในประเทศไทยจะขยับไปทางไหนไม่ได้เลย ปีนี้เขาก็ยอมรับว่าเราขับเคลื่อนแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งบางด้านเช่นปัญหาเรื่องการว่างงานทำได้ค่อนข้องดีเมื่อเทียบเคียงกับที่อื่นด้วยซ้ำ เพราะเป็นตัวเลขของการว่างงานที่ถือว่าถึงจุดสูงสุดในระดับที่ต่ำมากเทียบ กับประเทศอื่นๆ ที่เจอวิกฤตและขณะนี้เริ่มลดลงเร็วกว่าที่อื่น
อย่างไรก็ตาม การจำกัดวงความขัดแย้งก็เป็นเรื่องที่จะต้องทำต่อและอยากชี้ให้เห็นว่า 1 ปีที่ผ่านมาแม้ว่าการทำงานจะไม่เป็นที่พอใจของทุกคนและหลายเรื่องต้องปรับปรุง แต่หากมีความวุ่นวายในบ้านเมืองจากนี้ไปก็จะทำให้ประเทศสูญเสียโอกาสอย่างมาก เพราะขณะนี้ 1 ปีที่ผ่านมาได้วางรากฐานการที่จะเดินหน้าต่อไว้แล้ว ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจปีหน้าจะเป็นอย่างไรนั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตอนนี้ยังเชื่อว่าตัวเลขการขยายตัวน่าจะอยู่ที่ประมาณร้อยละ 3.5 แต่จะมีการปรับไปตามข้อมูลที่มีเข้ามามากขึ้นและยังมีปัจจัยที่ยังมีความอ่อนไหวอยู่ เช่น ราคาน้ำมัน เศรษฐกิจโลกและปัญหาภายในของเราเองด้วย
