เคาะข่าวริมโขง : “2 ทรราชนรกแตก” ถึงคราวตกที่นั่งลำบาก “นช.แม้ว” หลังพิงฝา ดิ้นพล่านล้างผิด ส่วน “ฮุนเซน” เกลอรักชักร่อแร่ หลังถูกหลายด้านรุมบีบจนเขมรหายใจไม่ออก จึงตัดสินใจยื่นคำขาด “นช.แม้ว” ต้องรีบเผด็จศึก รบ.ไทย ก่อนเขมรจะพังพินาศ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “เคาะข่าวริมโขง”
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทาง “อีสานทีวี” ช่วงเวลา 18.30-20.30 น. วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม มี น.ส.วรรษมน ช่างปรีชา นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งวันนี้ได้มีการเชิญ นายโสภณ องค์การณ์ อดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และหนึ่งในพิธีกรรายการ NEWS HOUR สุดสัปดาห์ และน.ส.อัญชะลี ไพรีรัก กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ มาร่วมพูดคุยถึงประเด็นข่าวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกรณี คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ที่ออกมาระบุว่า พร้อมที่จะเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งหลังจากคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเผยแพร่สู่ที่สาธารณะ ทำให้หลายฝ่ายมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน มีทั้งเห็นด้วยกับการเจรจาและไม่เห็นด้วยที่จะทำเช่นนั้น เพราะเท่ากับว่าเป็นการลบล้างความผิดให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ และทำให้การเมืองไทยกลับเข้าสู่วังวนเดิม
นายโสภณกล่าวถึงกรณีนี้ว่า หลังจากที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการชื่อ "ลับ ลวง พราง" โดยมี น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร เป็นผู้ดำเนินรายการและเป็นคนสัมภาษณ์ ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า แท้จริงแล้วมีคนใช้หรือไหว้วานให้โทรไปสัมภาษณ์ พล.อ.สุรยุทธ์ เพื่อเปิดประเด็นการเจรจาหรือไม่ เพราะหากถ้าให้วิเคราะห์เกมนี้ ตอนนี้ต้องยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ดูจะสิ้นท่าและหมดหนทางลงไปทุกขณะ ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุด คือ การเล่นไม้อ่อนด้วยการยอมเจรจา เพื่อยุติปัญหาทุกอย่างของตนเอง แต่เรื่องที่น่าสงสัยและยังไม่มีคำตอบ เป็นท่าทีของ น.ส.วาสนา เหตุใดจึงเลือกสัมภาษณ์ พล.อ.สุรยุทธ์ ซึ่งไม่ได้เป็นกระแส และไม่มีประเด็นอะไรช่วงนี้ ซึ่งมันก็ทำให้มองได้อีกว่า สาเหตุที่ น.ส.วาสนา ต้องการคำพูดจากปาก พล.อ.สุรยุทธ์ เนื่องจากจะได้สร้างความน่าเชื่อถือให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ามีบุคคลที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมาเปิดทางว่าพร้อมเจรจา ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องดูสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพล.อ.สุรยุทธ์ ด้วยว่าเป็นเช่นไร บุคคลทั้งสองมีสัมพันธภาพที่ลึกล้ำมาก
นายชัชวาลย์กล่าวเสริมว่า เวลานี้เหลืออีกเพียงอึดใจก็ถึงช่วงเวลาที่ศาลฎีกาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีและเหตุการณ์ปัจจุบัน โดยคดีนี้ มันทำให้มีความเป็นไปได้ว่า อาจจะมีอะไรบางอย่างทำให้คำตัดสินพลิกล็อกเหมือนตอนคดีกล้ายาง ที่นายเนวิน ชิดชอบ รอดพ้นจากความผิดอย่างหวุดหวิด
นายโสภณกล่าวว่า แท้จริงคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สมควรเจรจาคือคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งไม่ใช่ พล.อ.สุรยุทธ์ คนเดียว โดยคำพูดประโยคเดียว พล.อ.สุรยุทธ์ น่าจะพูดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ต้องกลับมาติดคุกก่อน ไม่ใช่เจรจาเพื่อลบล้างความผิด เพราะต้องอย่าลืมว่า ที่นี่คือประเทศไทย ไม่ใช่กัมพูชา ที่ใครจะสั่งกระบวนการยุติธรรมให้ซ้ายหันหรือขวาหันได้
นายโสภณกล่าวต่อว่า ยิ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นถึงองคมนตรี ลำดับที่ 3 และยังเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี สมัย คมช. ดังนั้น น่าจะทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นปัญหากับประเทศไทย เพราะที่ผ่านมา รวมถึงเวลานี้ก็มีพฤติกรรมคิดล้มล้างรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังชอบหาเหตุจุดชนวนคนเสื้อแดง ให้ก่อความรุนแรงในบ้านเมืองมาแล้วหลายครั้ง แต่ทำไม พล.อ.สุรยุทธ์ ไม่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำไม่เหมาะสมบ้าง เหตุใดจึงออกมาพูดว่าพร้อมเจรจา
นายชัชวาลย์กล่าวเสริมคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าสุดท้ายแล้วก็จะส่งผลกระทบต่อสถาบันเบื้องสูง เพราะผู้คนก็จะคิดว่ามีบางสิ่งอยู่เหนือกฏหมาย ทั้งที่จริงๆแล้ว สถาบันเบื้องสูงไม่สมควรถูกโยงเข้ามายุ่งเกี่ยวแต่แรก
นายโสภณกล่าวว่า สมัยที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ได้เป็นรัฐบาล หลังจากที่ คมช. ยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอนนั้นรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ได้ฉายาว่า "ขิงแก่" คือ ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน และชอบปล่อยเวลาให้เสียของเปล่าๆ ไม่หนำซ้ำ ยังเลือกผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงต่างๆ โดยไร้ความเหมาะสม เพราะไม่สามารถทำงานได้ นอกจากนี้ ไม่น่าเชื่อว่า ยังมีการกินนอกกินในกันอีกในสมัยรัฐบาลดังกล่าว
น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า หลังจากที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีหลายบุคคลที่ขานรับเสมือนรู้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส. นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และพล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. ซึ่งทั้งหมดนี้ได้แสดงความคิดเห็นว่า เห็นด้วยกับแนวทางเจรจา พ.ต.ท.ทักษิณ
นายโสภณ กล่าวประเด็นนี้ว่า เกมนี้เดาได้ไม่ยาก คือ เวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังโดน สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา บีบให้เร่งเผด็จศึกรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เร็วไว เนื่องจากตอนนี้ กัมพูชาถูกแรงกดดันจากหลายด้าน หลังจากที่เปิดประเทศเป็นฐานถล่มและปั่นป่วนรัฐบาลไทย จนขณะนี้ ไม่มีใครอยากจะคิดคบค้าสมาคมกับกัมพูชา จึงส่งกระทบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เพราะไม่รู้ว่าหากสู้และใช้ความรุนแรงก่อนที่ศาลจะตัดสินคดียึดทรัพย์ จะสามารถกำชัยชนะได้หรือไม่ ฉะนั้น วิธีเดียวที่จะรอด คือ ต้องเปิดเกมเจรจา ก่อนที่กัมพูชาจะป่นปี้ เพราะสมเด็จฯ ฮุนเซน ชักศึกเข้าบ้านจนทำให้เป็นเช่นนี้
น.ส.อัญชะลี กล่าวเสริมว่า หากมีการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ จริง ก็เพราะต้องการปลดเปลื้องคดีความผิดต่างๆ และเหตุการณ์บ้านเมือง ก็จะย้อนกลับสู่เมื่อสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่ในประเทศไทย แต่ที่สิ่งที่ถือว่ารับไม่ได้ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อะไรคิด ถึงกล้ายื่นข้อเสนอว่า ถ้าต้องการเจรจาต้องย้อนเหตุการณ์กลับไปก่อนวันที่ 19 กันยายน 2549 นั่นคือ การคืนอำนาจทุกอย่างให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
นายโสภณกล่าวว่า เวลานี้ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และสมเด็จฯ ฮุนเซน มีตัวเร่งด้วยกันทั้งคู่ โดยตัวเร่งให้เผด็จศึกของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ที่ศาลจะตัดสินประมาณเดือนมกราคม ปีหน้า ขณะที่ทางสมเด็จฯ ฮุนเซน ก็มีตัวเร่งเป็นสภาพร่อแร่ของกัมพูชา ที่เวลานี้ย่ำแย่ เพราะเลือกยืนข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ “เคาะข่าวริมโขง”
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทาง “อีสานทีวี” ช่วงเวลา 18.30-20.30 น. วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม มี น.ส.วรรษมน ช่างปรีชา นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งวันนี้ได้มีการเชิญ นายโสภณ องค์การณ์ อดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และหนึ่งในพิธีกรรายการ NEWS HOUR สุดสัปดาห์ และน.ส.อัญชะลี ไพรีรัก กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ มาร่วมพูดคุยถึงประเด็นข่าวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกรณี คำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ที่ออกมาระบุว่า พร้อมที่จะเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งหลังจากคำให้สัมภาษณ์ดังกล่าวเผยแพร่สู่ที่สาธารณะ ทำให้หลายฝ่ายมีความคิดเห็นที่แตกต่างกัน มีทั้งเห็นด้วยกับการเจรจาและไม่เห็นด้วยที่จะทำเช่นนั้น เพราะเท่ากับว่าเป็นการลบล้างความผิดให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ และทำให้การเมืองไทยกลับเข้าสู่วังวนเดิม
นายโสภณกล่าวถึงกรณีนี้ว่า หลังจากที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ในรายการชื่อ "ลับ ลวง พราง" โดยมี น.ส.วาสนา นาน่วม ผู้สื่อข่าวสายทหาร เป็นผู้ดำเนินรายการและเป็นคนสัมภาษณ์ ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า แท้จริงแล้วมีคนใช้หรือไหว้วานให้โทรไปสัมภาษณ์ พล.อ.สุรยุทธ์ เพื่อเปิดประเด็นการเจรจาหรือไม่ เพราะหากถ้าให้วิเคราะห์เกมนี้ ตอนนี้ต้องยอมรับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ดูจะสิ้นท่าและหมดหนทางลงไปทุกขณะ ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุด คือ การเล่นไม้อ่อนด้วยการยอมเจรจา เพื่อยุติปัญหาทุกอย่างของตนเอง แต่เรื่องที่น่าสงสัยและยังไม่มีคำตอบ เป็นท่าทีของ น.ส.วาสนา เหตุใดจึงเลือกสัมภาษณ์ พล.อ.สุรยุทธ์ ซึ่งไม่ได้เป็นกระแส และไม่มีประเด็นอะไรช่วงนี้ ซึ่งมันก็ทำให้มองได้อีกว่า สาเหตุที่ น.ส.วาสนา ต้องการคำพูดจากปาก พล.อ.สุรยุทธ์ เนื่องจากจะได้สร้างความน่าเชื่อถือให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ามีบุคคลที่เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมาเปิดทางว่าพร้อมเจรจา ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องดูสัมพันธ์ก่อนหน้านี้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ และพล.อ.สุรยุทธ์ ด้วยว่าเป็นเช่นไร บุคคลทั้งสองมีสัมพันธภาพที่ลึกล้ำมาก
นายชัชวาลย์กล่าวเสริมว่า เวลานี้เหลืออีกเพียงอึดใจก็ถึงช่วงเวลาที่ศาลฎีกาแผนกคดีผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะตัดสินคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีและเหตุการณ์ปัจจุบัน โดยคดีนี้ มันทำให้มีความเป็นไปได้ว่า อาจจะมีอะไรบางอย่างทำให้คำตัดสินพลิกล็อกเหมือนตอนคดีกล้ายาง ที่นายเนวิน ชิดชอบ รอดพ้นจากความผิดอย่างหวุดหวิด
นายโสภณกล่าวว่า แท้จริงคนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ สมควรเจรจาคือคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งไม่ใช่ พล.อ.สุรยุทธ์ คนเดียว โดยคำพูดประโยคเดียว พล.อ.สุรยุทธ์ น่าจะพูดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ต้องกลับมาติดคุกก่อน ไม่ใช่เจรจาเพื่อลบล้างความผิด เพราะต้องอย่าลืมว่า ที่นี่คือประเทศไทย ไม่ใช่กัมพูชา ที่ใครจะสั่งกระบวนการยุติธรรมให้ซ้ายหันหรือขวาหันได้
นายโสภณกล่าวต่อว่า ยิ่ง พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นถึงองคมนตรี ลำดับที่ 3 และยังเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี สมัย คมช. ดังนั้น น่าจะทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นปัญหากับประเทศไทย เพราะที่ผ่านมา รวมถึงเวลานี้ก็มีพฤติกรรมคิดล้มล้างรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังชอบหาเหตุจุดชนวนคนเสื้อแดง ให้ก่อความรุนแรงในบ้านเมืองมาแล้วหลายครั้ง แต่ทำไม พล.อ.สุรยุทธ์ ไม่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถึงสิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ทำไม่เหมาะสมบ้าง เหตุใดจึงออกมาพูดว่าพร้อมเจรจา
นายชัชวาลย์กล่าวเสริมคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.สุรยุทธ์ ว่าสุดท้ายแล้วก็จะส่งผลกระทบต่อสถาบันเบื้องสูง เพราะผู้คนก็จะคิดว่ามีบางสิ่งอยู่เหนือกฏหมาย ทั้งที่จริงๆแล้ว สถาบันเบื้องสูงไม่สมควรถูกโยงเข้ามายุ่งเกี่ยวแต่แรก
นายโสภณกล่าวว่า สมัยที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ได้เป็นรัฐบาล หลังจากที่ คมช. ยึดอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ ตอนนั้นรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ ได้ฉายาว่า "ขิงแก่" คือ ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน และชอบปล่อยเวลาให้เสียของเปล่าๆ ไม่หนำซ้ำ ยังเลือกผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงต่างๆ โดยไร้ความเหมาะสม เพราะไม่สามารถทำงานได้ นอกจากนี้ ไม่น่าเชื่อว่า ยังมีการกินนอกกินในกันอีกในสมัยรัฐบาลดังกล่าว
น.ส.อัญชะลี กล่าวว่า หลังจากที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มีหลายบุคคลที่ขานรับเสมือนรู้ล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ ผบ.สส. นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และพล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. ซึ่งทั้งหมดนี้ได้แสดงความคิดเห็นว่า เห็นด้วยกับแนวทางเจรจา พ.ต.ท.ทักษิณ
นายโสภณ กล่าวประเด็นนี้ว่า เกมนี้เดาได้ไม่ยาก คือ เวลานี้ พ.ต.ท.ทักษิณ กำลังโดน สมเด็จฯ ฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา บีบให้เร่งเผด็จศึกรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เร็วไว เนื่องจากตอนนี้ กัมพูชาถูกแรงกดดันจากหลายด้าน หลังจากที่เปิดประเทศเป็นฐานถล่มและปั่นป่วนรัฐบาลไทย จนขณะนี้ ไม่มีใครอยากจะคิดคบค้าสมาคมกับกัมพูชา จึงส่งกระทบหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ หรือความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ดังนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ จึงไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว เพราะไม่รู้ว่าหากสู้และใช้ความรุนแรงก่อนที่ศาลจะตัดสินคดียึดทรัพย์ จะสามารถกำชัยชนะได้หรือไม่ ฉะนั้น วิธีเดียวที่จะรอด คือ ต้องเปิดเกมเจรจา ก่อนที่กัมพูชาจะป่นปี้ เพราะสมเด็จฯ ฮุนเซน ชักศึกเข้าบ้านจนทำให้เป็นเช่นนี้
น.ส.อัญชะลี กล่าวเสริมว่า หากมีการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ จริง ก็เพราะต้องการปลดเปลื้องคดีความผิดต่างๆ และเหตุการณ์บ้านเมือง ก็จะย้อนกลับสู่เมื่อสมัยที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังอยู่ในประเทศไทย แต่ที่สิ่งที่ถือว่ารับไม่ได้ คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้อะไรคิด ถึงกล้ายื่นข้อเสนอว่า ถ้าต้องการเจรจาต้องย้อนเหตุการณ์กลับไปก่อนวันที่ 19 กันยายน 2549 นั่นคือ การคืนอำนาจทุกอย่างให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
นายโสภณกล่าวว่า เวลานี้ทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และสมเด็จฯ ฮุนเซน มีตัวเร่งด้วยกันทั้งคู่ โดยตัวเร่งให้เผด็จศึกของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ คดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ที่ศาลจะตัดสินประมาณเดือนมกราคม ปีหน้า ขณะที่ทางสมเด็จฯ ฮุนเซน ก็มีตัวเร่งเป็นสภาพร่อแร่ของกัมพูชา ที่เวลานี้ย่ำแย่ เพราะเลือกยืนข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ