เคาะข่าวริมโขง : “นช.แม้ว” ซุกหัวดูไบจนได้เรื่อง โดนคนในหลอกสูญเงินมหาศาล เจ้าตัวอยู่ไม่เป็นสุข มองเงินจากกองภูเขา ตอนนี้เหลือยิบย่อย มุ่งหน้าทวง 76,000 ล้านคืน เล็งแบ่งเค้กเงินก้อนโตแลกวิ่งเต้นล้มคดี แฉ “นช.แม้ว” หาเหตุให้ “เสื้อแดง” ชุมนุม เพื่อยั่วทหาร หวังโน้มฟ้าแก้ปัญหาบ้านเมืองเหมือนคราวพฤษภาทมิฬ
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "เคาะข่าวริมโขง"
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทาง “อีสานทีวี” ช่วงเวลา 18.30-20.30 น. วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม มี นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยวันนี้ ได้มีการเชิญ นายโสภณ องค์การณ์ อดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และหนึ่งในพิธีกรรายการ NEWS HOUR สุดสัปดาห์ นายประพันธ์ คูณมี กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ และนายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ มาร่วมพูดคุยถึงหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศนัดชุมนุมวันที่ 10 ธ.ค.นี้ เพื่อแสดงเจตนารมย์เรียกร้องประชาธิปไตย และต่อต้านรัฐธรรมนูญ ปี 2550
นอกจากนี้ยังมีประเด็นใหม่ คือ เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกคนในนครดูไบ หลอกอมและฮุบเงินจำนวนมหาศาล ทำให้ต้องเดินทางออกจากรัสเซียกลับมาที่นครดูไบอีกครั้ง เพื่อติดตามทวงเงินจำนวนนี้
เริ่มต้นรายการ นายชัชวาลย์กล่าวเปิดประเด็นถึงการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงว่า แกนนำคนเสื้อแดง ได้ประกาศว่าจะชุมนุมวันที่ 10 ธ.ค.นี้ ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน แต่ถ้าหากว่าระหว่างการชุมนุมเกิดเหตุร้าย ก็จะชุมนุมต่อยืดเยื้อ โดยมีเป้าหมาย เพื่อบีบเกมและสร้างสถานการณ์ให้รุนแรง รวมทั้ง จะมีการดึงเอาสถาบันเบื้องสูงมาเกี่ยวข้อง
นายประพันธ์กล่าวว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดงได้ประกาศว่า การชุมนุมครั้งนี้นอกจากจะพูดถึงรัฐธรรมนูญ ปี 2550 แล้ว ยังถือเป็นการร่วมถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ด้วย ซึ่งตนคิดว่า เหตุผลการชุมนุมครั้งนี้ ไม่เหมาะสมและไม่สมควรกระทำ เนื่องจากวันที่ 10 ธ.ค. ยังอยู่ในช่วงวันเฉลิมฉลองงานของพระเจ้าแผ่นดิน จึงไม่เข้าใจว่าทำไมกลุ่มคนเสื้อแดงต้องเลือกวันชุมนุมช่วงนี้ ทั้งที่เป็นเวลาที่คนไทยทุกคนอยากร่วมกันมีความสุข แต่ทำไมคนเสื้อแดงถึงต้องออกมาสร้างความเดือดร้อน
นายสำราญกล่าวเสริมประเด็นนี้ว่า แท้จริงแล้ว กลุ่มคนเสื้อแดงหาเรื่องชุมนุม เพราะต้องการป่วนบ้านเมือง เพื่อให้ทหารกลุ่มหนึ่งออกมาปราบปรามจะได้เกิดความรุนแรง จากนั้นเป้าหมายสูงสุด คือ ต้องการบีบเกมให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ลงมาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเหมือนเมื่อครั้งช่วงพฤษภาทมิฬ ต่อจากนั้น ก็จะถึงช่วงเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รอคอย นั่นคือ การเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ และล้างความผิดทั้งหมด
นายสำราญกล่าวต่อว่า ตนไม่เข้าใจกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ปากอ้างชุมนุมเพื่อต้องการถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ทำไมถ้าหากจงรักภักดีอย่างปากว่าจริง ไม่รอให้ผ่านพ้นช่วงเฉลิมฉลองวันพระชนมพรรษาไปก่อน ตนจึงอยากให้ประชาชนช่วยกันกดดันกลุ่มคนเสื้อแดงทุกวิถีทาง เพราะการกระทำดังกล่าว มันเป็นแค่เกมป่วนบ้านป่วนเมือง
นายชัชวาลย์กล่าวว่า วันนี้ทาง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เชื่อจะมีทหารพรานออกมาร่วมชุมนุมกับเสื้อแดงตามที่ เสธ.แดง ออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้
นายโสภณกล่าวว่า ตนว่าเวลานี้ภัยความมั่นคงอันดับหนึ่งของประเทศ ไม่ได้อยู่ที่กลุ่มคนเสื้อแดง แต่อยู่ที่ทหารและอดีตทหารไม่กี่คนที่ทำตัวไม่เหมาะสม และสร้างความเสียหายให้กับประเทศ ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาฯ คนที่ 2 หรือจะเป็น เสธ.แดง
นายสำราญกล่าวว่า ตนอยากให้กองทัพจัดระเบียบกับ เสธ.แดง ด้วยความเด็ดขาด เพราะลำพังเว็บไซต์ส่วนตัว เสธ.แดง ก็มีการโพสต์ข้อความขู่ฆ่าคนตลอดเวลา หากเป็นเช่นนี้แล้วสมควรที่กองทัพจะเก็บนายทหารผู้นี้ไว้หรือไม่ ทั้งนี้ หากกองทัพยังนิ่งเฉย โดยไม่จัดการอะไรกับ เสธ.แดง มันก็อาจทำให้คิดได้ว่า กองทัพกำลังใช้ เสธ.แดง เป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้าม ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงในที่สุดแล้วกองทัพก็จะถึงจุดเสื่อม
นายโสภณกล่าวเสริมว่า แท้จริงแล้วลักษณะนิสัยส่วนตัว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ไม่ใช่คนใจเย็น และค่อนข้างอารมณ์ร้อน ซึ่งตนก็แปลกใจที่ เสธ.แดง ไปด่าทอ พล.อ.อนุพงษ์ ให้คนเสื้อแดงฟัง ทำไม พล.อ.อนุพงษ์ ยังนิ่งเฉยอยู่ได้ หรือว่า เสธ.แดง กุมความลับกล่องดวงใจอะไร พล.อ.อนุพงษ์ เอาไว้
นายชัชวาลย์กล่าวถึงความเคลื่อนไหว พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ตอนนี้เดินทางออกจากรัสเซียกลับไปยังนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรส์ โดยบอกว่าจะมาอยู่นครดูไบ 2-3 วัน พร้อมทั้งพูดถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทย ว่าอย่าเสียเวลามาติดตามตัว ให้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า
นายโสภณกล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ถึงบุตรสาวคนเล็ก น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร มีข้อความว่า "อุ๊งอิ๊งพ่อมาถึงดูไบเรียบร้อยแล้วจ๊ะลูกรัก คิดถึงลูกมากนะ ถ้าตื่นนอนแล้วโทรมาหาพ่อด้วย"
นายโสภณกล่าวต่อว่า ตนไม่เข้าใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะโพสต์ข้อความหาใคร ทำไมไม่ติดต่อโดยตรงต้องโพสต์ข้อความให้คนอื่นรับรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรหรือคิดอะไรอยู่ ส่วนสาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องกลับมานครดูไบอีกครั้ง เพราะโดนอมเงินจำนวนมหาศาล โดยเรื่องนี้ต้องเกริ่นเรื่องราวว่า เมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่งเดินทางมาถึงนครดูไบครั้งแรก ได้สนใจลงทุนธุรกิจที่นั่น จึงมีโอกาสได้รู้จักกับนักแลกเปลี่ยนเงินตรามืออาชีพ และร่วมกันทำธุรกิจหากำไรจากส่วนต่างหลากหลายสกุลเงิน จนมีความสนิทสนมกัน ต่อมานักแลกเปลี่ยนเงินผู้นี้ ได้พา พ.ต.ท.ทักษิณ ไปรู้จักกับผู้ปกครองนครดูไบ อันดับ 4 และพาไปรู้จักทนายความมือหนึ่งของนครดูไบ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ สนใจเป็นพิเศษ เพราะอยากปรึกษาเรื่องคดีความต่างๆ ของตนเอง เพื่อให้ช่วยคิดหาช่องทางหลุดพ้นคดีต่างๆ ต่อมาเริ่มมีการจ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มรู้ว่า ตัวเองโดนนักแลกเปลี่ยนเงินและทนายมือหนึ่งนครดูไบ หลอกอมและฮุบเงินจำนวนมหาศาล โดยกว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว เพราะสูญเงินไปพอสมควร
นายสำราญกล่าวเสริมว่า เวลานี้เนื่องจากเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่กระจัดกระจาย ทำให้เจ้าตัวต้องการเก็บเงินก้อนโต 76,000 ล้านบาท ที่ถูกอายัดอยู่คืน ดังนั้น จึงเป็นที่มาว่าทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงหันมาเล็งเป้าใส่เงินก้อนนี้ โดยเท่าที่ทราบ ตอนนี้ไม้เด็ดของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ ให้ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา ช่วยวิ่งเต้นเรื่องคดีต่างๆ เพื่อแลกกับเงื่อนไขหั่นเงิน 76,000 ล้านบาทออกเป็นสองส่วน
นายประพันธ์กล่าวว่า ความจริงเงิน 76,000 ล้านบาท ส่อเค้าแน่ว่าจะถูกศาลยึด แต่อาจจะไม่เต็มจำนวน ยึดแค่บางส่วน แต่ถึงอย่างไรถ้าเป็นเช่นนั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจ พ.ต.ท.ทักษิณ แน่นอน เพราะถือว่าเงินจำนวนที่ถูกยึดไปไม่ชอบด้วยกฏหมายหรือจะเรียกภาษาชาวบ้าน ก็คือ เงินสกปรก
นายสำราญกล่าวปิดท้ายประเด็นนี้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ จะโดน 3 กฏเล่นงาน คือ 1.กฏแดง นั่นคือ ถูกคนเสื้อแดงรีดไถเงิน ให้เจ็บช้ำใจ 2.กฏหมาย เพราะเวลานี้คดีความทุจริตต่างๆ ใกล้งวดตัดสินเข้ามาทุกขณะ และ3.กฏแห่งกรรม ซึ่งถึงอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่รอดสำหรับผลแห่งการกระทำที่ตัวเองทำไม่ดีไว้
ช่วงต่อมา นายชัชวาลย์เปิดประเด็นความคืบหน้าคดี นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุมตัว ซึ่งวันนี้ นางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์ ได้ยื่นขอให้กระทรวงการต่างประเทศเปลี่ยนทนายความให้บุตรชาย พร้อมทั้งเรียกร้องว่า ไม่ต้องให้มีการประกันตัว นายศิวรักษ์ เพราะเกรงว่าจะทำให้คดีล่าช้า
นายประพันธ์กล่าวประเด็นนี้ว่า หลังนายศิวรักษ์ถูกจับกุมตัว ตนว่ากระทรวงการต่างประเทศของไทย ดำเนินการด้วยวิธีทางการทูตอย่างดีที่สุดแล้ว แม้ลึกๆ จะรู้ว่าเรื่องนี้แท้จริงเป็นการจัดฉาก แต่ก็สงวนท่าทีระหว่างประเทศไว้ สำหรับเรื่องทนายความ นายศิวรักษ์ เท่าที่ตนทราบกว่าจะมีการคัดเลือกทนายความผู้นี้ ทางการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้คัดเลือกอย่างดีที่สุดแล้ว ซึ่งตนก็เห็นว่าสมเหตุสมผล แต่ไม่เข้าใจว่า นางสิมารักษ์ ทำไมกลับมองว่าทำผลงานไม่เข้าตา ทั้งที่ คนที่ผิดสังเกตและผิดปกติจริงๆ คือ นางสิมารักษ์ ที่ยกข้ออ้างแปลกขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปขอให้พรรคเพื่อไทยช่วยเหลือ ทั้งที่ควรน่าจะไปหากระทรวงการต่างประเทศของไทย หรือจะเป็นการปัดยื่นประกันตัวบุตรชาย ซึ่งผิดปกติ ที่อย่างน้อยที่สุดไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาตัว นายศิวรักษ์ ออกมาเรือนจำก่อน แต่ทำไม นางสิมารักษ์ ไม่ทำสิ่งที่สมควรทำ
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสงสัยยิ่งกว่านั้น ข้อหานายศิวรักษ์คือ จารกรรมข้อมูล ถึงขั้นต้องถูกทางการกัมพูชาควบคุมตัวกล่าวหาว่าเป็นสายลับที่รัฐบาลไทยส่งมาล้วงข้อมูลตารางการบิน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งนั่นอาจหมายถึงความปลอดภัยถึงชีวิต แต่ทำไมพอ นางสิมารักษ์ เดินทางไปเยี่ยมบุตรชายที่กัมพูชา กลับมีรัฐมนตรีหรือนายทหารระดับสูงให้การต้อนรับขับสู้อย่างดี ไม่เหมือนปกติเวลาที่ญาติต้องการไปเยี่ยมผู้ต้องหาในเรือนจำ ตนถึงไม่เข้าใจว่า นางสิมารักษ์ ต้องจะทำอะไรกันแน่
นายโสภณกล่าวว่า ที่น่าสังเกตอีกอย่าง คือ คดีนายศิวรักษ์ ศาลกัมพูชาจะตัดสินวันที่ 8 ธ.ค.นี้ ตนแปลกใจว่าทำไมรีบร้อน ทั้งที่เกมนี้ กัมพูชาที่ผูกใจเจ็บรัฐบาลไทยมาตลอด ทำไมไม่เลือกหรือถ่วงคดีนายศิวรักษ์ไว้ เพื่อกดดันและกลั่นแกล้งรัฐบาลไทย แต่ทำไมต้องรีบร้อนตัดสินเร็วเช่นนี้ หรือเพราะว่าละครเรื่องนี้ต้องรีบจบแล้ว เนื่องจากบทละครชักเลอะเทอะไปกันใหญ่ จึงลากต่อไปไม่ไหว
ช่วงสุดท้ายของรายการ จบด้วยประเด็นการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่ง นายสำราญ กล่าวว่า ดูความน่าจำเป็น มี 4 รายชื่อที่น่าจะถูกปรับออกจาก ครม. ได้แก่ นายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศึกษาธิการ และนายวิทยา แก้วภารดัย รมว.สาธารณสุข ส่วน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดถึงผลงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เชื่อว่าไม่ถูกปรับออกจาก ครม. แน่นอน นอกจากนี้ ยังอาจจะได้ตำแหน่งที่สูงกว่าเดิมก็เป็นได้
คลิกที่นี่ เพื่อฟังรายการ "เคาะข่าวริมโขง"
รายการ “เคาะข่าวริมโขง” ออกอากาศทาง “อีสานทีวี” ช่วงเวลา 18.30-20.30 น. วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม มี นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยวันนี้ ได้มีการเชิญ นายโสภณ องค์การณ์ อดีตบรรณาธิการข่าวเศรษฐกิจของหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น และหนึ่งในพิธีกรรายการ NEWS HOUR สุดสัปดาห์ นายประพันธ์ คูณมี กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่ และนายสำราญ รอดเพชร โฆษกพรรคการเมืองใหม่ มาร่วมพูดคุยถึงหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะกรณีกลุ่มคนเสื้อแดงประกาศนัดชุมนุมวันที่ 10 ธ.ค.นี้ เพื่อแสดงเจตนารมย์เรียกร้องประชาธิปไตย และต่อต้านรัฐธรรมนูญ ปี 2550
นอกจากนี้ยังมีประเด็นใหม่ คือ เรื่อง พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกคนในนครดูไบ หลอกอมและฮุบเงินจำนวนมหาศาล ทำให้ต้องเดินทางออกจากรัสเซียกลับมาที่นครดูไบอีกครั้ง เพื่อติดตามทวงเงินจำนวนนี้
เริ่มต้นรายการ นายชัชวาลย์กล่าวเปิดประเด็นถึงการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดงว่า แกนนำคนเสื้อแดง ได้ประกาศว่าจะชุมนุมวันที่ 10 ธ.ค.นี้ ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน แต่ถ้าหากว่าระหว่างการชุมนุมเกิดเหตุร้าย ก็จะชุมนุมต่อยืดเยื้อ โดยมีเป้าหมาย เพื่อบีบเกมและสร้างสถานการณ์ให้รุนแรง รวมทั้ง จะมีการดึงเอาสถาบันเบื้องสูงมาเกี่ยวข้อง
นายประพันธ์กล่าวว่า นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ในฐานะแกนนำคนเสื้อแดงได้ประกาศว่า การชุมนุมครั้งนี้นอกจากจะพูดถึงรัฐธรรมนูญ ปี 2550 แล้ว ยังถือเป็นการร่วมถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ด้วย ซึ่งตนคิดว่า เหตุผลการชุมนุมครั้งนี้ ไม่เหมาะสมและไม่สมควรกระทำ เนื่องจากวันที่ 10 ธ.ค. ยังอยู่ในช่วงวันเฉลิมฉลองงานของพระเจ้าแผ่นดิน จึงไม่เข้าใจว่าทำไมกลุ่มคนเสื้อแดงต้องเลือกวันชุมนุมช่วงนี้ ทั้งที่เป็นเวลาที่คนไทยทุกคนอยากร่วมกันมีความสุข แต่ทำไมคนเสื้อแดงถึงต้องออกมาสร้างความเดือดร้อน
นายสำราญกล่าวเสริมประเด็นนี้ว่า แท้จริงแล้ว กลุ่มคนเสื้อแดงหาเรื่องชุมนุม เพราะต้องการป่วนบ้านเมือง เพื่อให้ทหารกลุ่มหนึ่งออกมาปราบปรามจะได้เกิดความรุนแรง จากนั้นเป้าหมายสูงสุด คือ ต้องการบีบเกมให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ ลงมาแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเหมือนเมื่อครั้งช่วงพฤษภาทมิฬ ต่อจากนั้น ก็จะถึงช่วงเวลาที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รอคอย นั่นคือ การเดินทางกลับประเทศไทย เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษ และล้างความผิดทั้งหมด
นายสำราญกล่าวต่อว่า ตนไม่เข้าใจกลุ่มคนเสื้อแดงว่า ปากอ้างชุมนุมเพื่อต้องการถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ทำไมถ้าหากจงรักภักดีอย่างปากว่าจริง ไม่รอให้ผ่านพ้นช่วงเฉลิมฉลองวันพระชนมพรรษาไปก่อน ตนจึงอยากให้ประชาชนช่วยกันกดดันกลุ่มคนเสื้อแดงทุกวิถีทาง เพราะการกระทำดังกล่าว มันเป็นแค่เกมป่วนบ้านป่วนเมือง
นายชัชวาลย์กล่าวว่า วันนี้ทาง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ไม่เชื่อจะมีทหารพรานออกมาร่วมชุมนุมกับเสื้อแดงตามที่ เสธ.แดง ออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้
นายโสภณกล่าวว่า ตนว่าเวลานี้ภัยความมั่นคงอันดับหนึ่งของประเทศ ไม่ได้อยู่ที่กลุ่มคนเสื้อแดง แต่อยู่ที่ทหารและอดีตทหารไม่กี่คนที่ทำตัวไม่เหมาะสม และสร้างความเสียหายให้กับประเทศ ไม่ว่าจะเป็น พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย รองประธานสภาฯ คนที่ 2 หรือจะเป็น เสธ.แดง
นายสำราญกล่าวว่า ตนอยากให้กองทัพจัดระเบียบกับ เสธ.แดง ด้วยความเด็ดขาด เพราะลำพังเว็บไซต์ส่วนตัว เสธ.แดง ก็มีการโพสต์ข้อความขู่ฆ่าคนตลอดเวลา หากเป็นเช่นนี้แล้วสมควรที่กองทัพจะเก็บนายทหารผู้นี้ไว้หรือไม่ ทั้งนี้ หากกองทัพยังนิ่งเฉย โดยไม่จัดการอะไรกับ เสธ.แดง มันก็อาจทำให้คิดได้ว่า กองทัพกำลังใช้ เสธ.แดง เป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดฝ่ายตรงข้าม ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริงในที่สุดแล้วกองทัพก็จะถึงจุดเสื่อม
นายโสภณกล่าวเสริมว่า แท้จริงแล้วลักษณะนิสัยส่วนตัว พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ไม่ใช่คนใจเย็น และค่อนข้างอารมณ์ร้อน ซึ่งตนก็แปลกใจที่ เสธ.แดง ไปด่าทอ พล.อ.อนุพงษ์ ให้คนเสื้อแดงฟัง ทำไม พล.อ.อนุพงษ์ ยังนิ่งเฉยอยู่ได้ หรือว่า เสธ.แดง กุมความลับกล่องดวงใจอะไร พล.อ.อนุพงษ์ เอาไว้
นายชัชวาลย์กล่าวถึงความเคลื่อนไหว พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ตอนนี้เดินทางออกจากรัสเซียกลับไปยังนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรส์ โดยบอกว่าจะมาอยู่นครดูไบ 2-3 วัน พร้อมทั้งพูดถึงกระทรวงการต่างประเทศของไทย ว่าอย่าเสียเวลามาติดตามตัว ให้เอาเวลาไปทำอย่างอื่นดีกว่า
นายโสภณกล่าวเสริมว่า นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังได้โพสต์ข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ถึงบุตรสาวคนเล็ก น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร มีข้อความว่า "อุ๊งอิ๊งพ่อมาถึงดูไบเรียบร้อยแล้วจ๊ะลูกรัก คิดถึงลูกมากนะ ถ้าตื่นนอนแล้วโทรมาหาพ่อด้วย"
นายโสภณกล่าวต่อว่า ตนไม่เข้าใจ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าจะโพสต์ข้อความหาใคร ทำไมไม่ติดต่อโดยตรงต้องโพสต์ข้อความให้คนอื่นรับรู้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรหรือคิดอะไรอยู่ ส่วนสาเหตุที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องกลับมานครดูไบอีกครั้ง เพราะโดนอมเงินจำนวนมหาศาล โดยเรื่องนี้ต้องเกริ่นเรื่องราวว่า เมื่อครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เพิ่งเดินทางมาถึงนครดูไบครั้งแรก ได้สนใจลงทุนธุรกิจที่นั่น จึงมีโอกาสได้รู้จักกับนักแลกเปลี่ยนเงินตรามืออาชีพ และร่วมกันทำธุรกิจหากำไรจากส่วนต่างหลากหลายสกุลเงิน จนมีความสนิทสนมกัน ต่อมานักแลกเปลี่ยนเงินผู้นี้ ได้พา พ.ต.ท.ทักษิณ ไปรู้จักกับผู้ปกครองนครดูไบ อันดับ 4 และพาไปรู้จักทนายความมือหนึ่งของนครดูไบ ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณ สนใจเป็นพิเศษ เพราะอยากปรึกษาเรื่องคดีความต่างๆ ของตนเอง เพื่อให้ช่วยคิดหาช่องทางหลุดพ้นคดีต่างๆ ต่อมาเริ่มมีการจ่ายเงินเป็นค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ จนกระทั่ง พ.ต.ท.ทักษิณ เริ่มรู้ว่า ตัวเองโดนนักแลกเปลี่ยนเงินและทนายมือหนึ่งนครดูไบ หลอกอมและฮุบเงินจำนวนมหาศาล โดยกว่าจะรู้ตัวก็สายไปแล้ว เพราะสูญเงินไปพอสมควร
นายสำราญกล่าวเสริมว่า เวลานี้เนื่องจากเงินของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่กระจัดกระจาย ทำให้เจ้าตัวต้องการเก็บเงินก้อนโต 76,000 ล้านบาท ที่ถูกอายัดอยู่คืน ดังนั้น จึงเป็นที่มาว่าทำไม พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงหันมาเล็งเป้าใส่เงินก้อนนี้ โดยเท่าที่ทราบ ตอนนี้ไม้เด็ดของ พ.ต.ท.ทักษิณ คือ ให้ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา ช่วยวิ่งเต้นเรื่องคดีต่างๆ เพื่อแลกกับเงื่อนไขหั่นเงิน 76,000 ล้านบาทออกเป็นสองส่วน
นายประพันธ์กล่าวว่า ความจริงเงิน 76,000 ล้านบาท ส่อเค้าแน่ว่าจะถูกศาลยึด แต่อาจจะไม่เต็มจำนวน ยึดแค่บางส่วน แต่ถึงอย่างไรถ้าเป็นเช่นนั้น ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจ พ.ต.ท.ทักษิณ แน่นอน เพราะถือว่าเงินจำนวนที่ถูกยึดไปไม่ชอบด้วยกฏหมายหรือจะเรียกภาษาชาวบ้าน ก็คือ เงินสกปรก
นายสำราญกล่าวปิดท้ายประเด็นนี้ว่า ท้ายที่สุดแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ จะโดน 3 กฏเล่นงาน คือ 1.กฏแดง นั่นคือ ถูกคนเสื้อแดงรีดไถเงิน ให้เจ็บช้ำใจ 2.กฏหมาย เพราะเวลานี้คดีความทุจริตต่างๆ ใกล้งวดตัดสินเข้ามาทุกขณะ และ3.กฏแห่งกรรม ซึ่งถึงอย่างไร พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่รอดสำหรับผลแห่งการกระทำที่ตัวเองทำไม่ดีไว้
ช่วงต่อมา นายชัชวาลย์เปิดประเด็นความคืบหน้าคดี นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกกัมพูชาจับกุมตัว ซึ่งวันนี้ นางสิมารักษ์ ณ นครพนม มารดานายศิวรักษ์ ได้ยื่นขอให้กระทรวงการต่างประเทศเปลี่ยนทนายความให้บุตรชาย พร้อมทั้งเรียกร้องว่า ไม่ต้องให้มีการประกันตัว นายศิวรักษ์ เพราะเกรงว่าจะทำให้คดีล่าช้า
นายประพันธ์กล่าวประเด็นนี้ว่า หลังนายศิวรักษ์ถูกจับกุมตัว ตนว่ากระทรวงการต่างประเทศของไทย ดำเนินการด้วยวิธีทางการทูตอย่างดีที่สุดแล้ว แม้ลึกๆ จะรู้ว่าเรื่องนี้แท้จริงเป็นการจัดฉาก แต่ก็สงวนท่าทีระหว่างประเทศไว้ สำหรับเรื่องทนายความ นายศิวรักษ์ เท่าที่ตนทราบกว่าจะมีการคัดเลือกทนายความผู้นี้ ทางการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้คัดเลือกอย่างดีที่สุดแล้ว ซึ่งตนก็เห็นว่าสมเหตุสมผล แต่ไม่เข้าใจว่า นางสิมารักษ์ ทำไมกลับมองว่าทำผลงานไม่เข้าตา ทั้งที่ คนที่ผิดสังเกตและผิดปกติจริงๆ คือ นางสิมารักษ์ ที่ยกข้ออ้างแปลกขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไปขอให้พรรคเพื่อไทยช่วยเหลือ ทั้งที่ควรน่าจะไปหากระทรวงการต่างประเทศของไทย หรือจะเป็นการปัดยื่นประกันตัวบุตรชาย ซึ่งผิดปกติ ที่อย่างน้อยที่สุดไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเอาตัว นายศิวรักษ์ ออกมาเรือนจำก่อน แต่ทำไม นางสิมารักษ์ ไม่ทำสิ่งที่สมควรทำ
นายประพันธ์กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ สิ่งที่น่าสงสัยยิ่งกว่านั้น ข้อหานายศิวรักษ์คือ จารกรรมข้อมูล ถึงขั้นต้องถูกทางการกัมพูชาควบคุมตัวกล่าวหาว่าเป็นสายลับที่รัฐบาลไทยส่งมาล้วงข้อมูลตารางการบิน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งนั่นอาจหมายถึงความปลอดภัยถึงชีวิต แต่ทำไมพอ นางสิมารักษ์ เดินทางไปเยี่ยมบุตรชายที่กัมพูชา กลับมีรัฐมนตรีหรือนายทหารระดับสูงให้การต้อนรับขับสู้อย่างดี ไม่เหมือนปกติเวลาที่ญาติต้องการไปเยี่ยมผู้ต้องหาในเรือนจำ ตนถึงไม่เข้าใจว่า นางสิมารักษ์ ต้องจะทำอะไรกันแน่
นายโสภณกล่าวว่า ที่น่าสังเกตอีกอย่าง คือ คดีนายศิวรักษ์ ศาลกัมพูชาจะตัดสินวันที่ 8 ธ.ค.นี้ ตนแปลกใจว่าทำไมรีบร้อน ทั้งที่เกมนี้ กัมพูชาที่ผูกใจเจ็บรัฐบาลไทยมาตลอด ทำไมไม่เลือกหรือถ่วงคดีนายศิวรักษ์ไว้ เพื่อกดดันและกลั่นแกล้งรัฐบาลไทย แต่ทำไมต้องรีบร้อนตัดสินเร็วเช่นนี้ หรือเพราะว่าละครเรื่องนี้ต้องรีบจบแล้ว เนื่องจากบทละครชักเลอะเทอะไปกันใหญ่ จึงลากต่อไปไม่ไหว
ช่วงสุดท้ายของรายการ จบด้วยประเด็นการปรับคณะรัฐมนตรี ซึ่ง นายสำราญ กล่าวว่า ดูความน่าจำเป็น มี 4 รายชื่อที่น่าจะถูกปรับออกจาก ครม. ได้แก่ นายธีระ สลักเพชร รมว.วัฒนธรรม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศึกษาธิการ และนายวิทยา แก้วภารดัย รมว.สาธารณสุข ส่วน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดถึงผลงานไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เชื่อว่าไม่ถูกปรับออกจาก ครม. แน่นอน นอกจากนี้ ยังอาจจะได้ตำแหน่งที่สูงกว่าเดิมก็เป็นได้